เมื่อวาน เวลา 14:10 • การเกษตร

กะทกรกป่า กินได้ แต่มีข้อควรระวัง

ลักษณะของกะทกรกป่า
• ลำต้น: เป็นไม้เถาเลื้อย มีขนปกคลุมตามเถาและใบ
• ใบ: ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ ขอบใบหยัก 3–5 แฉก ผิวใบมีขนสากมือ
• ดอก: ดอกเดี่ยว สีขาวอมม่วงหรือชมพูอ่อน มีเส้นลายม่วงตรงกลาง ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
• ผล: กลมเล็ก ขนาดประมาณ 1–2 เซนติเมตร ผลดิบมีสีเขียว พอสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือส้มอมแดง เนื้อในมีเมล็ดสีดำ
• ส่วนหุ้มผล: มีเส้นใยหุ้มผลเหมือนตาข่าย ช่วยป้องกันแมลง
• การเจริญเติบโต: พบได้ทั่วไปตามป่า ริมทาง หรือพื้นที่รกร้าง ชอบแดดจัดและขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด
ข้อดีของกะทกรกป่า
• สมุนไพรบำรุงสุขภาพ: ใช้ทั้งต้นเป็นยาขับเสมหะ แก้อาการนอนไม่หลับ ลดไข้ และแก้อักเสบ
• ผลกินได้: ผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว ทานสดหรือนำไปทำขนมก็ได้
• ปลูกง่าย: โตเร็ว ดูแลง่าย ทนแล้งและทนโรคพอสมควร
• ประโยชน์ทางการแพทย์พื้นบ้าน: นิยมใช้ใบและรากเป็นยาภายนอก เช่น รักษาแผลสด แมลงกัดต่อย
• เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า: ผลสุกมักเป็นอาหารของนกและสัตว์ขนาดเล็ก
ข้อเสียของกะทกรกป่า
• กลิ่นไม่พึงประสงค์: ส่วนของต้น โดยเฉพาะเมื่อขยี้หรือหัก จะมีกลิ่นเหม็นฉุน (ชื่อ “foetida” ในภาษาละตินแปลว่า “เหม็น”)
• เป็นวัชพืชได้: เจริญเติบโตเร็วมาก หากปล่อยไว้ อาจขึ้นปกคลุมพืชอื่นจนทำให้พืชเศรษฐกิจเติบโตลำบาก
• มีพิษอ่อน ๆ: ส่วนที่ยังไม่สุก โดยเฉพาะเมล็ดดิบ อาจมีสารไซยาโนจีนิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic glycosides) ที่เป็นพิษหากกินมากเกิน
• ต้องระวังการใช้ทางยา: การใช้ในปริมาณมากหรือติดต่อกันนานโดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์สมุนไพร อาจส่งผลต่อระบบประสาทหรือระบบหายใจ
ผลแก่จัด
มีทั้งลูกดิบลูกสุก
เนื้อสุกแอบคล้ายแก้วมังกร แต่รสชาติต่างกัน
โฆษณา