เมื่อวาน เวลา 11:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

อัตราส่วนทางการเงินสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้: ส่องงบการเงินให้เห็น "ของดี"

เคยสงสัยไหมว่านักลงทุนมืออาชีพเขาดูอะไรในงบการเงินบริษัทที่เราสนใจ? นอกจากตัวเลขกำไรขาดทุนแล้ว ยังมี "เครื่องมือลับ" ที่ช่วยให้เห็นศักยภาพและความเสี่ยงของบริษัทได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม นั่นก็คือ "อัตราส่วนทางการเงิน" ครับ
คิดง่ายๆ ว่าอัตราส่วนทางการเงิน คือการนำตัวเลขสำคัญๆ ในงบการเงินมาเปรียบเทียบกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เรามองข้ามไป หากเปรียบงบการเงินเป็นเหมือนร่างกาย อัตราส่วนทางการเงินก็เหมือนการวัดชีพจร ความดัน หรือการตรวจเลือด ที่ช่วยบอก "สุขภาพ" ของบริษัทได้นั่นเองครับ
ทำไมนักลงทุนต้องรู้จักอัตราส่วนทางการเงิน?
• ช่วยเปรียบเทียบ: ทำให้เราเปรียบเทียบความสามารถของบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างเป็นธรรม
• ช่วยประเมิน: บอกได้ว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีไหม มีหนี้สินมากเกินไปหรือเปล่า บริหารจัดการทรัพย์สินเก่งแค่ไหน
• ช่วยคาดการณ์: แนวโน้มของอัตราส่วนต่างๆ อาจช่วยให้เราคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตได้
• ช่วยตัดสินใจ: เป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจว่าจะลงทุนในบริษัทนี้ดีหรือไม่
5 อัตราส่วนทางการเงินหลัก ที่นักลงทุนควรรู้จัก:
1. อัตราส่วนแสดงความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios): กำไรเน้นๆ เนื้อๆ!
-อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin): [\frac{\text{กำไรขั้นต้น}}{\text{รายได้จากการขาย}}] บอกว่าขายของได้กำไร "หยาบๆ" กี่เปอร์เซ็นต์ ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี
ตัวอย่าง: ถ้าบริษัท A มีอัตรากำไรขั้นต้น 40% หมายความว่า ทุกๆ 100 บาทที่ขายได้ จะเหลือกำไรขั้นต้น 40 บาท
-อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin): [\frac{\text{กำไรสุทธิ}}{\text{รายได้จากการขาย}}] บอกว่าสุดท้ายแล้วบริษัทเหลือกำไร "เนื้อๆ" กี่เปอร์เซ็นต์ หลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง: ถ้าบริษัท B มีอัตรากำไรสุทธิ 15% หมายความว่า ทุกๆ 100 บาทที่ขายได้ จะเหลือกำไรสุทธิ 15 บาท
2. อัตราส่วนแสดงสภาพคล่อง (Liquidity Ratios): มีเงินจ่ายหนี้ไหมเนี่ย?
-อัตราส่วนสภาพคล่องปัจจุบัน (Current Ratio): [\frac{\text{สินทรัพย์หมุนเวียน}}{\text{หนี้สินหมุนเวียน}}] บอกว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย มากกว่าหนี้สินระยะสั้นกี่เท่า โดยทั่วไปควรมากกว่า 1 เท่า แสดงว่ามีสภาพคล่องเพียงพอจ่ายหนี้ระยะสั้น
ตัวอย่าง: ถ้าบริษัท C มีอัตราส่วนสภาพคล่องปัจจุบัน 2 เท่า หมายความว่ามีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นสองเท่าของหนี้สินหมุนเวียน
-อัตราส่วนสภาพคล่องรวดเร็ว (Quick Ratio หรือ Acid-Test Ratio): [\frac{\text{สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงเหลือ}}{\text{หนี้สินหมุนเวียน}}] เหมือน Current Ratio แต่ไม่นับสินค้าคงเหลือ เพราะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ช้ากว่า ควรมากกว่า 1 เท่าเช่นกัน
3. อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้ (Solvency Ratios): หนี้เยอะไปหรือเปล่า?
-อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to-Equity Ratio - D/E Ratio): [\frac{\text{หนี้สินรวม}}{\text{ส่วนของผู้ถือหุ้น}}] บอกว่าบริษัทมีหนี้สินเป็นกี่เท่าของเงินทุนของผู้ถือหุ้น ค่าที่สูงอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงทางการเงินที่สูง
ตัวอย่าง: ถ้าบริษัท D มี D/E Ratio เท่ากับ 1.5 หมายความว่ามีหนี้สินมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น 1.5 เท่า
-อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม (Debt-to-Assets Ratio): [\frac{\text{หนี้สินรวม}}{\text{สินทรัพย์รวม}}] บอกว่าสินทรัพย์ของบริษัทมาจากเงินกู้กี่เปอร์เซ็นต์
4. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (Efficiency Ratios): บริหารจัดการเก่งแค่ไหน?
-อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover Ratio): [\frac{\text{ต้นทุนขาย}}{\text{สินค้าคงเหลือเฉลี่ย}}] บอกว่าบริษัทขายสินค้าคงเหลือได้เร็วแค่ไหน เป็นจำนวนกี่รอบต่อปี ค่าที่สูงอาจหมายถึงการบริหารจัดการสินค้าคงเหลือที่ดี
ตัวอย่าง: ถ้าบริษัท E มี Inventory Turnover เท่ากับ 8 รอบต่อปี แสดงว่าขายสินค้าคงเหลือหมดและหมุนเวียนใหม่ 8 ครั้งใน 1 ปี
-อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable Turnover Ratio): [\frac{\text{รายได้จากการขาย}}}{\text{ลูกหนี้การค้าเฉลี่ย}}] บอกว่าบริษัทเก็บเงินจากลูกหนี้ได้เร็วแค่ไหน
5. อัตราส่วนแสดงมูลค่าตลาด (Market Value Ratios): ตลาดให้ราคาเท่าไหร่?
-อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price-to-Earnings Ratio - P/E Ratio): [\frac{\text{ราคาตลาดต่อหุ้น}}{\text{กำไรต่อหุ้น (EPS)}}] บอกว่านักลงทุนยินดีจ่ายเงินกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น เพื่อซื้อหุ้นของบริษัทนี้ เป็นเครื่องมือยอดนิยมในการประเมินมูลค่าหุ้น
ตัวอย่าง: ถ้าหุ้นของบริษัท F มี P/E Ratio เท่ากับ 20 เท่า หมายความว่านักลงทุนยินดีจ่าย 20 บาท เพื่อแลกกับกำไร 1 บาทต่อหุ้น
-อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price-to-Book Value Ratio - P/BV Ratio): [\frac{\text{ราคาตลาดต่อหุ้น}}{\text{มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share)}}] ใช้เปรียบเทียบราคาตลาดกับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์สุทธิของบริษัท
ข้อควรรู้: การดูอัตราส่วนทางการเงินเพียงตัวเดียวอาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรเปรียบเทียบอัตราส่วนของบริษัทกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน เปรียบเทียบกับคู่แข่ง และดูแนวโน้มของอัตราส่วนนั้นๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รอบด้านและนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาดครับ
By IN$IGHT INVESTOR
#อัตราส่วนทางการเงิน #งบการเงิน #ลงทุนหุ้น #นักลงทุนมือใหม่ #การวิเคราะห์หุ้น #ความรู้การเงิน
โฆษณา