เมื่อวาน เวลา 16:06 • ปรัชญา
คำว่า บรรลุธรรม นั่น มันเป็นคำสูง บรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..พระอัครสาวก ทุกพระองค์ พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอานนท์ ท่านก็ทิ้งบ้าน ทิ้งทรัพย์สมบัติ เงินทอง ไปอยู่ป่า ฉันใบไม้ผลไม้ ไปนั่งนิ่ง จิตเฉย ..ไม่ยึดกายที่เป็นทุกข์ ทำด้วยความขันติอดทนของจิต ที่เรียกว่า ขันติเป็นบารมี .ฝนตกแดดออก ก็นั่ง..อยู่ตรงนั้น เป็นวันเป็นคืน .. หิวน้ำ ก็เดินไปไกล เพื่อดื่มน้ำสักอีก เพียงประทังสังขาร แล้วกลับมานั่งที่เก่า ไม่มีน้ำติดตัวสะสม มาวางข้างกาย มีเสื้อผ้าชุดเดียว ไม่มีอะไรติดตัวมา ขันน้ำก็ไม่มี
.. บางองค์ นั่งแข่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง .เป็นวันเป็นคืน ..บ้างองค์ก็ฉันใบไม้ผลไม้ เพียรพยายาม ไม่ยึดกาย .กว่าจะบรรลุ ธรรม .. นั่งนิ่ง จิตเฉย ..ไม่มีภาระอะไรอีกแล้ว ที่ต้องมาเกิด จ้ตไม่มีภาระอะไรอีกแล้ว ..ยุติการเกิด ไปแล้วไม่กลับมา เหมือนเข้าป่า ก็ไม่ออกจากป่า มาอยู่เมืองอีก ..
..ในการบรรลุธรรม ใครละเป็นผู้ที่ รับรองให้ว่าบรรลุ ..มีแค่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้นที่จะรับรองให้ พระอรหันต์ ท่านก็มีอิทธิฤทธิ์ของธรรม ทุกพระองค์ แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่ให้ใข้ . แล้วเรื่องราวของจิตพระอรหันต์ จิตของท่านมีแสงรัตนะเต็มองค์ .จิตที่เจิดจ้าด้วยแสงรัตนะ ทั้งกาย วาจา ใจ จิตที่ไม่มีบุญกุศลสะสมมา ก็ไม่สามารถ เข้าไปใกล้ได้ เหมือนถูก ..ดินฟ้าอากาศหมุนตัดออกไป ไม่มีโอกาส ได้พบเจอะเจอท่านได้เลย
..เรื่องหนึ่ง เค้่าพูดกันว่า แสงรัตนะ นั้นเป็นเรื่องราวของจิต..จิตมีแสงรัตนะ เป็นเรื่องราว ที่คนเราเข้าไม่ถึง .ยิ่งไม่สะสมสร้างบุญกุศล .ไม่เคยสนใจ ประพฤติปฏิบัติธรรม . จิตนั้น..ก็ไม่มีโอกาส ได้สัมผัส แสงรัตนะได้เลย แม้การกราบพระ ..มีพระที่นับถือ ท่านก็บอกให้ ..กราบอย่างไรให้เกิดแสงรัตนะ การสร้างบุญ ..ทำอย่างไรจะเกิดแสงรัตนะ เกิดขึ้น พอกายเป็นบุญ ..เรากระจายบุญกุศล .ทำอย่างไร ให้มีแสงรัตนะ ช่วยผ่กระจายบุญกุศล .. เรื่องราวของแสงรัตนะ ก็ยากท่ี่จิตจะเข้าใจทำให้เกิด ..ที่เรียกว่า จิตมีแสงสว่าง
..เรื่องราวของแสงรัตนะ นั้นช่วยอะไร ..ที่มีประโยชน์มากมายมหาศาล ช่วยคลี่คลาย กรรมที่สะสมมา อยู่กับธาตุทั้งสี่ ค่อยๆ หลุดลอกออกไป .ช่วยเปิดหนทาง มองเห็น เกิดปัญญาธรรม มองเห็น หนทาง ที่จะทำให้การเกิดตายๆ น้อยลงไปๆ
..เรื่องราวอีกอย่างหนึ่ง ของแสง ..แสงสีดำ สีม่วง ..ก็เป็นเรื่องราวที่ปกปิดจิต ให้มองไม่เห็น หนทางที่จะหนีทุกข์ หนีเวรกรรมได้เลย .
มีเรื่องราวหนึ่ง มีพระท่านเล่าให้เราฟัง ว่า การออกธุดงค์ ก็เพื่อดูจิต ดูอารมณ์ของตนเอง ต้องเดินไปหาที่ลำบาก ไม่มาเดินในเมือง ..ต้องมีความขันติ เมื่อเดินธุดงค์ เกิดมีใครพูดว่า รู้อย่างนี้ไม่มาก็ดี เพียงแค่นี้ ก็หมดกันแล้ว ผู้นั่น จะกลายเป็นผู้ที่รู้ดี ..แต่ทำไม่ได้ แล้วก็รู้ดีด้วย ว่าพระนั้น ท่านทำอย่างไร ก็จะดจำไปบอกคนนั้นคนนี้แต่ตัวเองทำไม่ได้
อย่างที่อยู่ในชุมชนนี้ ก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกิด .เดี๋ยว..มีพอใจ เดี๋ยวมีไม่พอใจ เดี๋ยวหิว ..เดี๋ยวเจ็บป่วย ..มันคอยจะเกิด ยุติการเกิดไม่ได้ ก็คงต้องเกิดตายๆ กันต่อไปนับชาติไม่ได้
อย่างที่มาแสดงความคิด ..มันก็เป็นเหมือน เรื่องราวการสนทนา เหมือนในหมู่ชุมชนที่ปฏิบัติธรรม ท่านก็มีเรื่องราวการสนทนา ที่เรียกว่า เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก็แบ่งปัน เรื่องราวที่เคยประสบมา มีทั้งดี และไม่ดี . นั่นมันด้วยเหตุอันใด เราก็มาสนทนา ทำความเข้าใจ ที่มีทั้งเรื่องที่แตกต่างกัน ด้วยถือกรรมกันมาคนละแบบ
สนทนาเพื่อหาเหตุผล ให้จิตเราได้พิจารณาใคร่ครวญ ขึ้นมา .หากไม่ใครครวญพิจารณา เขื่อเรื่องราว เหมือนนิทาน ..มันไม่เกิดประโยชน์ ที่จะไปสะกิดจิตให้ตื่นขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องราวของแต่ละคน ที่จะได้ในการสนทนา .แต่ได้ไม่เหมือนกันเลย แต่ก็อยู่ในคำว่า กัลยาณมิตร .เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ที่เห็นอกเห็นใจกัน .ไม่ได้ทำไปด้วยหวังเรื่องราวโลกธรรม
โฆษณา