5 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

Sell in May มาแน่? เจาะกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเฟ้นหาหุ้นเด่นรับมือ

กำลังสู่เดือนพฤษภาคม หลายคนอาจนึกถึงแนวคิด “Sell in May and go away” ปรากฏการณ์ที่นักลงทุนมักเทขายหุ้นในช่วงนี้ แล้วในปี 2568 ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่เกิดปรากฏการณ์นี้หรือไม่ กลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือช่วงนี้เป็นอย่างไร วันนี้ Wealthy Thai มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝาก
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ปกติในเดือนพฤษภาคมตลาดหุ้นไทยมักมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD และทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินกลับประเทศ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของ SET Index ใน เดือนพฤษภาคมให้ผลตอบแทน -0.9% (ไม่รวมช่วง COVID)
ฝ่ายวิเคราะห์ได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของดัชนีพบว่า SET Index มักจะปรับตัวลงในช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคมและทยอยฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลัง โดยมองว่าแรงขายในช่วงครึ่งเดือนแรกของพฤษภาคมในปี 2568 จะมี Downside ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยถึง 5.6 หมื่นล้านบาท และยังมีเม็ดเงินใหม่จากกองทุน Thai ESGX เข้ามาชดเชยแรงขายของต่างชาติ
ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคมหุ้นที่ได้ SET ESG Rating ในระดับสูงมีโอกาสจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่า SET Index และน่าจะเป็นที่พักเงินได้ดี เช่น CPALL, GPSC, BEM, GULF, KBANK, KTB, MTC และ THCOM ส่วนในช่วงครึ่งหลังมองว่ากลุ่มที่มีโอกาสจะกลับมา Outperform โดยอิงจากสถิติในอดีต คือ
1.กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเด่น และมีนัยยะสำคัญทางสถิติมากที่สุด โดยปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.8% ด้วยความ น่าจะเป็น 89% สำหรับกลุ่มเครื่องดื่ม แม้จะผ่านช่วงหน้าร้อนไปแล้ว แต่บริษัทมักจะให้แนวโน้มผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2/68 เนื่องจากเป็นช่วง High Season ซึ่งบริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มเด่นคือ ICHI และ OSP รวมไปถึงกลุ่มอาหารอย่าง CPF และ BTG
2.กลุ่มไฟแนนซ์ ในเชิงสถิติปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2.1% ด้วยความน่าจะเป็น 67% อีกทั้งปี 2568 ยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องของกนง. จากผลกระทบของสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจซบเซา แนะนำหุ้นเด่น คือ SAWAD และ MTC
จากกลยุทธ์การลงทุนข้างต้น Wealthy Thai จึงมีตัวอย่างปัจจัยพื้นฐานและคำแนะนำการลงทุนของหุ้นเด่นที่บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ยกให้เป็นแหล่งพักเงินและมีโอกาสจะ Outperform มานำเสนอ สำหรับ CPALL ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรปกติไตรมาส 1/68 ที่ 6.5 พันลบ. โต 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนจาก SSSG ที่เติบโตในทุกธุรกิจ และ GPM ของธุรกิจ CVS ขยายตัวจาก Product mix ยอดขายสินค้ามาจิ้นสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท
ส่วน KBANK นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 178 บาท เพราะมีโอกาสเห็นค่าใช้จ่ายสำรองกลับสู่ระดับปกติในปี 2568 ที่ 140-160bps. และคาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 9% จากปีก่อน มากกว่ากลุ่มที่ 4% รวมถึงปันผลต่อปีสูง dividend yield คาดที่ 6-7% โดยครึ่งหลังปี 2568 มีปันผลพิเศษ 2.5 บาทต่อหุ้น (yield ที่ 1.5%) ขึ้น XD วันที่ 15 พ.ค. 68
ขณะที่ OSP นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีมุมมองบวกมากขึ้นในระยะสั้น จากแนวโน้มกําไรไตรมาส 1/68 ที่คาดออกมาเติบโตแข็งแกร่งทั้งจากไตรมาส 4/67 และ 1/67 รวมทั้งส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยคงประมาณกําไรสุทธิปี 2568 ที่ 3 พันล้านบาท และคงคําแนะนํา “Neutral” ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท โดยปัจจัยที่ยังต้องจับตาดูในปีนี้มาจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว กระทบกําลังซื้อ และผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมา
สุดท้าย MTC นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไรปี 2568 และ 2569 จะเติบโต 15% และ 14% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อ credit cost ที่ลดลง และการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น โดยคาดการณ์ credit cost อยู่ที่ 2.9% และอัตรา NPL ที่ 2.8% เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการแจกเงินของภาครัฐจะเริ่มลดลงในปีนี้ ขณะที่อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้มีแนวโน้มลดลงจากประสิทธิภาพของสาขาที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาท
โฆษณา