ความคิดเห็นบนคำถาม

"น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" มันคือข้อเท็จจริง หรือเป็นเพียงการตัดสินบนความรู้อันมีจำกัดของมนุษย์ ?
3 มี.ค. เวลา 05:11 • ปรัชญา • 14 คำตอบ
คำตอบ (14)
  • สุดยอดคำตอบ
    ความหมายแบบตรงไปตรงมาก็คือ "ฝ่ายเสียงข้างน้อยย่อมแพ้เสียงข้างมาก"
    คือตัดสินกันที่ปริมาณเป็นหลักนั่นแล เอาจำนวนเข้าว่า ไม่ได้คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะคุณภาพ คุณสมบัติ เทคนิคชั้นเชิง กลยุทธ์ เส้นสาย แต้มบุญเก่า ฯลฯ...
  • จะเยอะหรือน้อยย่อมแพ้ไฟเป็นเรื่องปกติที่หลายๆคนคงทราบและเข้าใจในเรื่องของหลักการธรรมชาติที่เกี่ยวกับการระเหยของ ของเหลวเมื่อเวลาได้รับความร้อนเมื่อความร้อนถึงจุด จุดของที่สามารถทำให้ของเหลาระเหยกลายเป็นไอ และจางหายกลายเป็นควัน
  • น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่คำขยายของไฟ ไม่ได้บอกว่ามากหรือน้อย ดังนั้นจึงเป็นคำเปรียบเปรยที่กำหนดให้น้ำน้อยกว่าไฟ แต่ถ้าบอกว่าค่าน้ำแพ้ค่าไฟ นี่คือข้อเท็จจริงครับ
  • น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เป็นเหตุผลเชิงวัตถุ มนุษย์ แม้มีความรู้จำกัด แต่ด้วย​จินตนาการ สามารถทำให้มนุษย์ก้าวข้ามข้อจำกัดทางวัตถุได้
  • เป็นข้อเท็จจริงจากการสังเกตของคนโบราณนั่นเอง เพราะ "น้ำ" ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนั้น "ไม่สามารถ" ทำให้ไฟกองใหญ่ที่ลุกอยู่ดับลงได้
  • น้ำน้อยกว่าไฟเขาก็ให้ใช้ดิน 😑 หรือไม่ก็อย่างอื่น
  • น้ำหนึ่งถังดับไฟที่ไหม้บ้านทั้งหลังไม่ได้ใช่ไหมครับ
    เพราะฉะนั้นมันคือข้อเท็จจริงครับ...
  • คำกล่าวนี้เป็นเพียงแค่การรับรู้ขอบเขตของอำนาจและการมองเห็นจุดอ่อนของไฟ ที่พร้อมจะถูกปราบได้ทุกเมื่อๆมีการรวมตัวด้วยความสามัคคีจากหยดน้ำที่ไหลรวมกัน เช่นเดียวกับการวมตัวของนำ้ในมหาสมุทรที่กดความอหังการของไฟที่ยังอยู่ในใจกลางของโลกไว้ได้ครับ
  • คำถามนี่เจ๋งอ่า
    ชอบๆๆๆๆ 🤩💕☕
    เป็นคำพังเพย เพื่อให้พึงประเมินก่อนลงมือกระทำ
  • 1. คำว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เป็นการ "วัดพลังงานกัน" ระหว่าง น้ำ(H2O) กับไฟ โดยที่ไฟคือปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือคือการปล่อยพลังงานของก๊าซ ปล่อยออกมาทั้งแสงและความร้อน (มันจึงต้องกวาดเอาออกซิเจนรอบๆเข้ามารวมตัว) ดังนั้นจะดับไฟได้ ก็ต้องตรงเข้าไปขัดขวางปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (กวาดออกซิเจ...