พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า สาเหตุของความทุกข์นั้นก็คือ สมุทัย ได้แก่ " ตั ณ ห า " ซึ่งมี 3 ประการ คือ 1. อยากได้ 2. อยากเป็น 3. อยากเร้นหนี

"สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ" ธรรมทั้งหลายทั้งปวงในโลก อันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น

ความยึดติดถือมั่นมันแผ่ไปในหลายสิ่งหลายอย่างที่เราครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง ฯลฯ ซึ่งหากเราบอกว่าของเหล่านั้นเป็นของฉัน สิ่งของเหล่านั้นอาจจะตอบว่า คนพวกนี้เป็นของฉันเช่นกัน สม

ธรรมชาติเดิมแท้ของชีวิตนั้นปลอดโปร่ง โล่ง เบาสบาย และเป็นอิสระ แต่ต่อมาเมื่อชีวิตเริ่มมีวิวัฒนาการซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในทางกาย ทางใจ และทางสังคม ชีวิตที่แต่เดิมมีสภาพเบาสบายปลอดโปร่ง และเป็นอิสระนั้น ก

เราทุกคนมักจะคุ้นชินว่า " อ ะ ไ ร ก็ เ ป็ น ข อ ง เ ร า " มนุษย์มักมองทุกสิ่งอย่างว่าเป็น " ข อ ง เ ร า " โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เรารัก เช่น พ่อของเรา แม่ของเรา ลูกของเรา เมียของเรา สามีของเรา บ้านของเ

ท่านพุทธทาสเพียรเหลือเกินที่จะสอนให้เราไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งที่เราถือครอง แม้แต่ความดีที่ทำไปแล้วก็อย่าไปยึดติดถือมั่น กระทั่งอย่าให้ใครรู้ว่าเราได้ทำความดี เพราะหากเราไปยึดติดถือมั่น หนักเข้าเราอาจจ

ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเรารู้ทันมันก็จะไม่เกิดทุกข์ บางคนมีเงินเป็นแสนล้านแต่ก็ยังทุกข์ ทุกข์ที่สังคมไม่ยกย่องไม่ยอมรับ ความทุกข์ชนิดนี้ เรียกว่า ความทุกข์ของเทวดา เป็นความทุกข์ที่ประณีตมาก ที่บอ

เวลาที่เราทำกิจกรรมใด ๆ แม้จะเลิกจากกิจกรรมนั้นไปแล้ว แต่ความคิดก็ยังวนเวียนถึงกิจกรรมนั้นอยู่เสมอ แม้แต่เวลานอนก็ยังนำไปฝัน แบบนี้ถือว่ามีชีวิตอยู่ในอดีต ถ้าเป็นอย่างนี้จัดว่าย้ำคิดย้ำทำ บางทีก็ย้ำฝั

มีนักศึกษาคนหนึ่งเคยคุยกับผู้เขียนว่าอกหักถึงขั้นสาปส่ง และไม่คบผู้ชายเกือบ 10 ปี ข้ามไปคบทอมแล้วก็ถูกทอมหักอกซ้ำอีก จนวันหนึ่งก็เริ่มเห็นผู้ชายหล่อ ในที่สุดก็ได้แต่งงาน ผู้เขียนได้ให้โอวาทในวันแต่งงา