11 ต.ค. 2020 เวลา 11:18 • นิยาย เรื่องสั้น
[ เรื่องเล่าชมรมศิลป์ SPECIAL ]
Ep.3 : House of Stairs Part I - จริงหรือลวง
 
ความเดิมตอนที่แล้ว : ผมและซายน์พบว่าตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในโลกสุดเซอร์เรียลของ M.C. Escher ศิลปินเจ้าของผลงานในห้องของคุณปู่
1
หนทางเดียวที่จะกลับออกไปได้คือการเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายซึ่งไม่รู้ว่าคือที่ไหน มีเพียงคำใบ้ที่ดูไม่ค่อยปะติดปะต่อจากสมุดบันทึกที่ช่วยนำทาง
เวลานี้ดูเหมือนว่าเราจะต้องพึ่งพากันและกันมากกว่าที่คิดซะแล้ว
“เตรียมขาให้พร้อมนะซายน์ อาร์ตว่าที่ ๆ เรากำลังจะไปต่อคงไม่มีลิฟท์แน่ ๆ”
 
ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้อวัยวะภายในอกซ้ายของผมเต้นรัว จนรู้สึกได้ถึงเลือดในกายที่สูบฉีดแรงขึ้น อาการแบบนี้คงคล้ายกับการตกหลุมรัก
 
ใช่แล้วล่ะ...หากไม่คิดว่าเราติดอยู่ในโลกประหลาดที่อาจจะหาทางออกไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือความฝันที่เป็นจริงของภัณฑารักษ์อย่างผม จะมีสักกี่คนที่ได้สัมผัสและเข้าถึงงานศิลปะได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ไม่ใช่การมองผ่านกรอบรูป หรือเลนส์ แต่ใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของแดดในภาพ สายลมที่พัดเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราวระหว่างตึกและผ่านกระทบผิวหนัง ไปจนถึงแว่วเสียงหวูดของเรือที่อยู่ไกลออกไป
 
ที่นี่คือซาโวนา…เมืองท่าทางตอนเหนือของอิตาลี
1
Still Life and Street คือหนึ่งในผลงานจากช่วงเวลาการเดินทางท่องเที่ยวข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1936 ของแอชเชอร์ ศิลปินชาวดัชต์ และถนนสายเก่าที่มีบ้านเรือนสูงขนาบทั้งสองฝั่งนี้เอง ที่เป็นจุดกำเนิดของมุมมองที่ชวนให้ลวงตาอย่างน่าอัศจรรย์
 
เช่นเดียวกับระยะภาพช่วงกลางที่หายไป ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์จนน่าตกใจของผู้คนที่ผ่านมา เตือนให้รู้ว่าแม้จะดูสมจริงแค่ไหน พวกเขาล้วนเป็นเพียงตัวละครที่มีชีวิตอยู่ในภาพเท่านั้น
นาทีนั้น ผมจึงรู้สึกตัวว่าใครบางคนหายไป
 
“ซายน์”
 
อารามตื่นเต้นกับบรรยากาศตรงหน้าทำให้ผมไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนร่วมทางไม่ได้เดินตามมาด้วย เคราะห์ดีที่ร่างกระทัดรัดในชุดเสื้อยืดสีเขียวพาสเทลและกางเกงยีนส์ห้าส่วน ที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังนั้นไม่ได้ไกลเกินสายตา
 
ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะส่งเสียงตะโกนเรียก
 
“มาเร็วเถอะ เรายังต้องเจออะไรอีกก็ไม่รู้นะ”
 
ทันทีที่จบประโยค ร่างที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากภวังค์ก็รีบรุดเดินตรงมา ผมมองให้แน่ใจว่าเธอจะตามทันก่อนส่งยิ้มให้แล้วหันหลังเดินต่อ แต่ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเล็กน้อยจากความเร็วปกติที่เคยชิน
เราเดินไปเรื่อย ๆ บนถนนสายนี้ที่ดูเหมือนจะทอดตัวยาวออกไปโดยไม่มีสิ้นสุด ขณะที่ผมกำลังนึกถึงสถานที่ถัดไปตามคำใบ้จากปกหนังสือ จู่ ๆ สิ่งนั้นก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
 
บันไดนั่นเอง…หรือจะพูดให้ถูก มันคือส่วนหนึ่งของตึกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนด้านขวามือ บันไดใหญ่แข็งแรงนั้นทอดยาวจากชั้นสองลงมาบนพื้นถนน ผมเงยหน้าขึ้นมองสำรวจดูตัวอาคาร จากระยะนี้แม้ไม่เห็นรายละเอียดอะไรมากนัก แต่พอจะดูออกจากโครงสร้างและลักษณะของอาคารว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ด้านนอกประกอบด้วยเสาเรียบ ๆ ที่รับน้ำหนักจากช่องโค้งโดยรอบ
ฝีเท้าของผมสะดุดกึก จนคนข้างหลังเกือบคะมำ
 
จากคำใบ้เรื่องบันไดและลักษณะที่ดูเหมือนจะตรงกับหนึ่งในภาพวาดของแอชเชอร์ทำให้ผมมั่นใจว่านี่คือจุดหมายถัดไปของเรา แต่ความรู้สึกคุ้นเคยนี้มันคืออะไรกันนะ…
 
“นี่อาร์ต ทำไมหยุดแบบนี้ ซายน์เกือบชนแล้วนะ”
 
“ซายน์ นี่แหละ House of Stairs”
สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของสาวนักวิทย์ดูเหมือนพยายามจะมองหาหลักฐานมาพิสูจน์เพิ่มเติม แม้ว่าบันไดใหญ่นี้จะทอดตัวอยู่ตรงหน้าก็ตาม
 
“อาร์ตรู้ได้ยังไง ไม่เห็นมีป้ายบอกเลย”
 
ผมนึกขำอยู่ในใจ ขณะที่อธิบายสิ่งที่ผมคิดไว้ให้เธอฟัง
 
“เพราะว่าตึกนี้ก็เป็นภาพวาดของแอชเชอร์เหมือนกันน่ะสิซายน์ ชื่อว่า Ascending and Descending เป็นผลงานภาพพิมพ์หินของเขาจากปี 1960 อืม…บางทีซายน์อาจจะเคยได้ยินชื่อของโรเจอร์ เพนโรส บ้างละมั้ง เขาคือคนที่เป็นต้นกำเนิดไอเดียของแอชเชอร์ในภาพนี้นั่นแหละ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อ ตาของเธอก็เบิกกว้าง
 
“โรเจอร์ เพนโรส...ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดคนนั้นน่ะเหรอ คนที่ได้รางวัลโนเบลฟิสิกส์…คนที่คิดโมเดลคณิตศาสตร์พิสูจน์หลุมดำจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปอะนะ อาร์ตหมายถึงคนนั้นใช่มั้ย โอ้ย…เป็นไปได้ยังไงเนี่ย”
 
เสียงละล่ำละลักที่บ่งบอกความตื่นเต้นของซายน์ เป็นสิ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด
1
“ใช่แล้วล่ะซายน์ ก่อนจะมาเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลฟิสิกส์ ท่านเซอร์โรเจอร์ เพนโรส และเอ็มซี แอชเชอร์ เคยเป็นสหายที่แลกเปลี่ยนความคิดร่วมกันมาก่อน ใครจะรู้ว่าเมื่อคณิตศาสตร์มาเจอกับงานศิลปะแบบเซอร์เรียล รูปทรงที่เป็นไปไม่ได้ในแบบสามมิติ ก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง…อย่างน้อยก็ในโลกแปลก ๆ นี้ล่ะนะ”
ซายน์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยแววตามุ่งมั่น
 
“งั้นเราควรเข้าไปข้างในกันมั้ยอาร์ต แต่ว่านะ ตอนนี้ซายน์เห็นทางเข้าทั้งหมดสามทาง คือประตูโค้งด้านซ้ายที่ดูเหมือนจะพาลงไปชั้นใต้ดิน บันไดกลาง และประตูเล็กด้านขวา เราจะเลือกทางไหนดี”
 
ผมมองทางเลือกทั้งสามตามที่ซายน์บอก ทันใดนั้นก็ภาพหนึ่งก็ซ้อนเข้ามาในหัว ผมเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนแน่ ๆ เพียงแต่ว่ามันดูเรียบง่าย และเล็กกว่าตึกนี้มาก…
.
.
.
ใช่แน่ ๆ หอคอยจำลองในตู้ปลาที่บ้านของผมเอง
 
ภาพของบ๊อบที่แหวกว่ายผลุบเข้าออกจากช่องเปิดของหอคอย หากทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันล่ะก็ ทางที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ…
1
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร เสียงของซายน์ก็ดังขึ้นซะก่อน เธอคงใจร้อนเกินกว่าจะรอคำตอบจากผม
“แต่ถ้าให้ซายน์เลือก ซายน์จะเลือกบันไดนะ ดูปลอดภัยสุด”
 
ไหน ๆ ก็มาถึงตอนนี้แล้ว คงต้องลองพิสูจน์กันสักตั้ง
 
“เอางี้ ซายน์เดินไปที่ประตูด้านขวานะ ดูสิว่าล็อคอยู่หรือเปล่า เดี๋ยวอาร์ตจะไปดูทางเข้าด้านซ้ายเอง”
ร่างเล็กที่ดูห้าวหาญนั้นพยักหน้าแล้วเดินไปสำรวจตามทิศทางที่ผมบอก เมื่อเธอหันหลังไป ผมสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดแล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกสองสามครั้ง เขาว่ากันว่าวิธีนี้จะช่วยลดความตื่นเต้น แต่มันจะช่วยเอาชนะความรู้สึกลึก ๆ ของผมได้ไหมนะ
1…2…3…4…5
 
แต่ละก้าวที่เดินลงบันไดจากทางเข้าที่อยู่ด้านซ้าย แสงจากข้างนอกก็ส่องผ่านเข้ามาได้น้อยลงเรื่อย ๆ จนเห็นผนังด้านข้างเพียงสลัว ๆ ผมรวมรวมสติก่อนจะบังคับขาตัวเองให้ก้าวเดินต่อ
 
6…7…8…9
 
มาถึงจุดนี้ก็มืดเสียจนผมมองมือที่ยกขึ้นมาตรงหน้าแทบไม่เห็น รู้แต่เพียงว่ามันกำลังสั่นอยู่เบา ๆ ผมควานหาวัตถุอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมในกระเป๋ากางเกง แน่นอนว่าประโยชน์สูงสุดที่มีในตอนนี้คือการเป็นแหล่งกำเนิดแสงในทางเดินอันมืดมิด
 
แสงวาบจากหน้าจอแสดงตัวเลขของแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่เพียง 6% ชวนให้ใจแป้ว คงจะไม่ดีแน่ถ้าเครื่องดับไปในสถานการณ์ที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุด
1
ไม่รอช้า ขาทั้งสองข้างพาผมกลับขึ้นมาที่ด้านบน เป็นจังหวะเดียวกับที่ซายน์เดินย้อนกลับมา
 
“ประตูล็อคน่ะอาร์ต ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
 
ผมปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อซ่อนความกลัวไม่ให้เล็ดลอดออกมาให้เธอเห็น
 
“มืดมากเลยซายน์ เป็นขั้นบันไดลงไปเรื่อย ๆ อาร์ตลองก้าวลงไปเกือบสิบขั้น มองไม่เห็นอะไรรอบข้างเลย เย็นมากด้วย”
 
“ถ้างั้นขึ้นไปทางนี้นี่แหละ”
 
สิ้นเสียงอันเด็ดเดี่ยวของซายน์ เธอก็เดินฉับ ๆ ขึ้นบันไดไปด้านบนทันที จนผมต้องรีบเดินตามไป
ที่บันไดขั้นสุดท้ายนี้เอง ร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งนิ่งมานานจนดูเผิน ๆ เหมือนรูปปั้นแกะสลักก็ผุดลุกขึ้น เสียงทุ้มต่ำไร้อารมณ์ฟังดูแล้วชวนขนลุกก็ดังขึ้น
 
“ช้าก่อนผู้มาเยือน ตัวข้าคงปล่อยให้ท่านผ่านไปไม่ได้ ถ้ายังไม่ตอบคำถามเสียก่อน ทางที่ท่านกำลังจะก้าวเดินต่อจากนี้ หนึ่งทางนำไปสู่ทางออก หนึ่งทางนำไปสู่ความตาย...ท่านจงเลือกมาเถิด ว่าจะไปทางไหน”
 
แน่นอนว่าทางเลือกของเรามีเพียงก้าวข้ามบันไดนี้ หรือเดินกลับลงไปสู่ประตูโค้งด้านล่างที่ผมเพิ่งจากมา
“แต่ว่านะอาร์ต ประตูโค้งด้านล่างมันมืดมากเลยนี่ ไม่น่าใช่ทางที่ถูกนะ” ซายน์เอ่ยขึ้น แต่ผมคิดถึงบางสิ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึกก่อนหน้าขึ้นมา
 
“ซายน์ นกซีเมิร์กพูดอะไรกับเราก่อนบินหายไป จำได้มั้ย”
 
“อาร์ตหมายถึงเรื่องไหนล่ะ นกซีเมิร์กพูดตั้งเยอะ”
 
“บทกลอนไง สิ่งที่เห็น อาจไม่จริง”
 
“สิ่งที่จริง ก็ไม่เห็น”
 
ซายน์ต่อประโยคที่เหลืออย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าประโยคของนกซิเมิร์กยังติดอยู่ในสมองของเราทั้งสองคน
ขณะที่ซายน์เปิดสมุดบันทึกคุณปู่เพื่อค้นหาคำใบ้ เสียงอันน่าขนลุกนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้ายังชวนให้รู้สึกสะพรึง
“ถ้าท่านอยากได้คำใบ้”
 
“ตัวข้าจะให้โอกาสท่านถามสิ่งที่อยากรู้” / “ถามสิ่งที่ท่านอยากรู้”
 
“อาร์ต!”
 
“ใจเย็น ๆ นะซายน์ ตั้งสติก่อน”
เสียงที่สองนั้นดังออกมาจากอีกศีรษะหนึ่งที่ปริตัวแยกออกมาจากศีรษะเดิมของชายผู้นั้น ที่บัดนี้กลายเป็นร่างที่มีสองหัว ซายน์กระโดดหลบอยู่ข้างหลังผมด้วยความตกใจ 
 
เสียงจากหัวทั้งสองยังคงพูดต่อไป ราวกับเป็นเสียงสะท้อนของกันและกัน
 
“เพียงแต่ว่า”
“เพียงแต่ว่า”
 
“ถามข้าได้ทีละครั้ง”
“แค่ทีละครั้งเท่านั้น”
 
“หนึ่งในตัวข้าพูดความจริงเสมอ”
“ตัวข้าพูดจริงเสมอ”
 
“หนึ่งในตัวข้าพูดโกหกเสมอ”
“ตัวเขาโกหกเสมอ”
 
ผมกับซายน์มองหน้ากัน ไม่บ่อยนักที่เวลาสบตาใครบางคนแล้วจะสามารถเข้าใจตรงกันได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไร…เวลานี้คือหนึ่งในนั้น
1
ร่างของหญิงสาวที่เคยอยู่เบื้องหลัง บัดนี้ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้า
 
“ขอถามท่านทางซ้ายนะคะ…ถ้าถามท่านทางขวาว่า บันไดนี้นำไปสู่ทางออกใช่หรือไม่ ท่านทางขวาจะตอบว่า ใช่ หรือ ไม่”
 
“ตัวเขาจะตอบท่านว่า ใช่”
 
เธอหันกลับมาสบตากับผม วินาทีนั้นความทรงจำเก่า ๆ สมัยที่เราเคยร่วมทีมแข่งตอบปัญหาให้โรงเรียนก็ย้อนกลับมา ซายน์ยิ้มร่าก่อนเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง
 
“ขอบคุณค่ะ งั้นลาก่อนนะคะ”
 
“เดี๋ยว ท่านจะไปไหน”
“จะไปไหน”
 
“เราจะไปทางข้างล่างค่ะ”
 
“ท่านรู้ได้อย่างไร ตัวข้าอาจจะพูดความจริงก็ได้”
“ใช่ พูดความจริง”
“ถ้าท่านพูดความจริง แสดงว่าท่านทางขวาพูดโกหก ท่านบอกว่าเขาจะตอบ ใช่ เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือไม่ บันไดเป็นกับดัก”
เสียงของซายน์ที่ตอบกลับนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกับตอนที่ยืนอยู่บนเวทีชิงชนะเลิศ
“แน่ใจรึ ถ้าเช่นนั้นตัวข้าอาจจะพูดโกหกก็ได้”
“ใช่ พูดโกหก”
 
บทสนทนาของชายประหลาดผู้นี้ดูไม่มีทีท่าจะจบลงง่าย ๆ ผมจึงพูดปิดท้ายเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้
 
“ถ้าท่านโกหก แสดงว่าท่านทางขวาพูดความจริง ท่านโกหกว่าเขาจะตอบ ใช่ เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือไม่ บันไดก็ยังเป็นกับดักอยู่ดี…ไปกันเถอะซายน์”
 
เราพร้อมใจกันหันหลังให้ชายลึกลับสองหัวผู้นั้น แล้วเดินลงบันไดกลับมายังชั้นล่าง จนมาหยุดอยู่หน้าประตูโค้งบานเดิม ผมแอบถอนหายใจเบา ๆ แม้จะยังกลัวอยู่ แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็มีเพื่อนร่วมทาง ความมืดนี้จะทำอะไรผมไม่ได้อีกต่อไป
1
“เราต้องเดินลงไปทางมืด ๆ นี่จริงเหรออาร์ต”
 
สีหน้าของเธอบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากลงไป แต่นี่ก็เป็นทางเดียว และเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้ ทางออกที่ถูกต้องคือด้านล่างของหอคอย เช่นเดียวกับที่บ๊อบ เจ้าปลาทองฮอลันดาเพื่อนยากมักจะมุดลงไปเพื่อโผล่สู่ผิวน้ำเสมอ
ผมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเพื่อให้เธอมั่นใจ
 
“ซายน์จับอาร์ตไว้นะ ทางมืดมาก จะได้ไม่หลงกัน”
 
ด้วยสัญชาตญาณ ผมคว้ามือของเธอเอาไว้ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นเพราะความกลัวหรืออะไร
 
ขณะที่เราก้าวเข้าไปสู่ความมืด เสียงประสานนับร้อยก็ดังขึ้นราวกับบทสวดอาขยานที่ผ่านสายลมมาให้พอได้ยินเพียงแผ่ว ๆ
 
“Tis true without lying,
certain and most true.
1
That which is below
is like that which is above
and that which is above
is like that which is below
to do the miracle of one only thing...”
 
[ To be continued ]
สวัสดีครับทุกคน 💙
 
มาถึงตอนที่สามพาร์ตแรก ของซีรีส์ชมรมศิลป์นอกเวลาตอนพิเศษ ที่เขียนร่วมกันกับเรื่องเล่าชมรมวิทย์นอกเวลากันแล้วนะครับ
 
สำหรับตอนนี้ขอเชิญให้อ่านเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของตัวละคร ‘ซายน์’ ได้ที่เพจ EveryGreen หรือคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ 😊👇
โฆษณา