The Rest of My Liife. ตราบที่หัวใจยังเต้น
โปรยก่อนคำนำ
The rest of my life.
...ตราบที่หัวใจยังเต้น...
.
จากเด็กชายเรียนดี ผู้สดใสร่าเริง
เป็นความหวัง ความภาคภูมิใจของพ่อและแม่
สู่เส้นทางนักเรียนเกเรสุดแสบ
และข้องเกี่ยวกับยาเสพติด
เข้ามหาวิทยาลัยได้เพียงสองปี
เรียนไม่จบและลาออก
ไปทำงานอยู่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
หลังจากนั้นกลับคืนสู่เส้นทาง
การเรียนอีกครั้ง
จนจบปริญญาโท
ก้าวสู่การเป็น “อาจารย์” มหาวิทยาลัย
ลาออกจากการเป็นอาจารย์
กลายเป็น “นักวิจัยอิสระ”
“ตกงาน” นอนไม่หลับ
สุดท้ายป่วยเป็น “โรคเครียดเรื้อรัง”
เขาพยายามก้าวผ่าน
ความเจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง
และได้ค้นพบความหมายที่มีค่ายิ่งของชีวิต
“เฮ้ย! ชีวิตคนเรา อะไรมันจะ Adventure ได้ขนาดนี้”
เรื่อง “The rest of my life (ตราบที่หัวใจยังเต้น)”
นำเสนอ
ผู้อ่านทุกท่าน
จัดทำโดย
East Side Boy.
หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานในกระบวนวิชา
“การศึกษาเรียนรู้และการทำความเข้าใจชีวิต”
ทุกภาคเรียน ทุกปีการศึกษาของชีวิต
.
.
เข้าสู่คำนำ
ในระหว่างที่ผมกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้
มันชอบมีความคิดชนิดหนึ่งที่ผลุบๆ โผล่ๆ
ขึ้นมาในหัวบ่อยครั้งว่า “ใครเค้าจะอยาก
มาอ่านเรื่องราวชีวิตของเรา
คนอายุประมาณแค่ 30 ปี
มันจะไปมีประสบการณ์ชีวิตอะไรมากมาย
มันจะเขียนอะไรให้คนอื่นๆ เค้าสนใจจนต้องมาอ่าน
มาศึกษาทำความรู้จักกับชีวิตของเรา
จุดขายคืออะไร อะไรคือแกนหลักของเรื่อง
แล้วหนังสือเล่มนี้ต้องการจะบอกอะไรกับคนอ่าน
สุดท้ายมันจะนำพาคนอ่านไปพบกับอะไร
แล้วพวกเค้าจะได้รับประโยชน์อะไร
จากการอ่านหนังสือของผมบ้าง”
คิดไปคิดมา ก็วกๆ วนๆ อยู่ในหัว
ปวดแก่นกะโหลกมาก
และเชื่อไหมครับ
ว่าไอ้ความคิดก้อนนี้มันเป็นตัวสูบ
พลังงานขับเคลื่อนชีวิตชั้นยอดให้มันค่อยๆ
เหือดแห้งหายไป และมันอาจมีอิทธิพลมากเพียงพอ
ให้ผมคิดจะยุติการเขียนหนังสือเล่มนี้
หากผมไปให้ความสนใจ
และไปครุ่นคิดหมกมุ่นกับมันมากจนเกินไปกว่านี้
ความคิดดังกล่าวเป็น “ความคิดทางลบ”
ที่มันอาจทำให้เราหยุดการสร้างสรรค์
สิ่งต่างๆ ที่อยากจะทำ ซึ่งบางคน
อาจนิยามว่ามันคือ “ความฝัน, ความรัก,
แรงบันดาลใจของชีวิต” หรืออะไรก็แล้วแต่
ที่นับเป็นสิ่งสวยงามและเป็นความหวังของชีวิต
โดยแต่ละคนอาจนิยามและบัญญัติชื่อของสิ่งนั้นๆ
แตกต่างกันออกไป แล้วใช้มันเป็นพลังงานส่วนหนึ่ง
ในการหล่อเลี้ยงหัวใจของตนเอง
ก่อนหน้านี้ผมพอได้ทราบข่าว
ผ่านสื่อจากช่องทางต่างๆ ว่า
“พี่โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์”
หนึ่งในผู้ก่อตั้งนิตยสาร a day
ได้ลาออกจากบริษัท
และต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ตอนอายุ 40 กว่า
ซึ่งผมก็เคยติดตามงานต่างๆ ของแก
และของสำนักพิมพ์มาพอสมควร
ตอนนั้นพี่โหน่งได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“ผมออกมาแบบตัวเปล่าเลยครับ
ไม่มีอะไรเหลือติดมือเลย
ตอนนี้ผมไม่ใช่โหน่ง a day แล้วครับ
ตอนนี้ตกงานแล้วครับ”
“แน่นอนว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก
ในการเดินออกจากสิ่งที่เราลงมือสร้าง
มันเองกับมือ ยอมรับว่า “เจ็บปวดมากๆ เลย”
แต่ในความเจ็บปวดนั้น
ผมรู้สึกสบายใจว่า ผมได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
และผมสามารถตื่นมาสบตาตัวเองในกระจก
แล้วก็ไม่อายตัวเอง เรายังเคารพนับถือตัวเองได้”
“ชีวิตทุกคนมันไม่มีทางที่จะราบรื่นตลอด
ทุกคนต้องเจออุปสรรคปัญหา ความไม่สะดวก
ความไม่สบาย ไปจนกระทั่งเรื่องที่หนักหนา
สาหัสบางเรื่องที่มันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต
อย่างที่เราอาจจะไม่นึกฝัน อย่างเช่น
ต้องมาออกจากงาน หรือว่าตกงาน
ตอนอายุมากๆ แล้ว”
“แต่ผมมีความเชื่อครับว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหนักหนาขนาดไหน
ขออย่างเดียว “เราต้องเข้มแข็ง เราต้องอดทน”
แล้วก็ตั้งใจที่จะต่อสู้กับมันด้วยสติและปัญญา
ถ้าเรามีใจสู้ซะแล้ว เราไม่แพ้ครับ
อย่างเลวที่สุดก็เสมอ”
เรื่องราวและคำพูดที่มาจากการ
ให้สัมภาษณ์ของเค้า ได้มอบพลังงานชั้นดี
จุดไฟฝัน และสร้างแรงขับเคลื่อน
ที่สำคัญให้กับผม เปรียบเหมือน
ผมถูกเค้าเอาเท้ามาถีบตูดอย่างแรง
ให้ออกสตาร์ท ลุกขึ้นมาเริ่มต้น
ออกเดินทางต่อไปข้างหน้า
และผมต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ให้แล้วเสร็จ
ผมขอขอบคุณ
"พี่โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์” มากครับ
คำพูดของพี่มันมอบกำลังใจ มอบความหวัง
และผลักดันให้ผมเดินหน้าสานต่อความฝัน
ที่ผมเคยมัวแต่รอคอย กังวล ยึกยักและลังเล
ที่จะทำหรือไม่ทำมันอยู่นั่นแหละ
มาถึงตรงจุดนี้ สุดท้ายผมก็คิดได้ว่า จริงๆ แล้ว
ผมแค่มีความสุขที่ได้ถ่ายทอด
เรื่องราวเหล่านี้ออกมา
แม้ว่ามันจะมีประโยชน์และมีคุณค่า
กับกลุ่มคนเพียงแค่จำนวนหนึ่ง
หรือแม้แต่กับคนๆ เดียวก็ตาม
เนื่องจากชีวิตของผมมันมีเรื่องเล่า
มีเรื่องราว และมีจุดเปลี่ยน...
ทั้งที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
และเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน
ซึ่งส่งผลให้ความคิดและทัศนคติบางอย่าง
ในตัวของผมนั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
และแตกต่างออกไปจากเมื่อวันวาน
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ในสถานะไหน
หรืออายุเท่าไหร่ก็ตาม
และไม่ว่าคุณกำลังยืนอ่าน
คำนำนี้อยู่ กำลังพิจารณาเนื้อหา
ของหนังสือเล่มนี้
ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
ผมหวังว่าหนังสือของผมจะเป็นประโยชน์กับคุณ
ตามแต่ที่คุณจะพิจารณามองเห็น
ถึงคุณค่าของมันตามสมควร
และหากคุณเห็นว่าหนังสือเล่มนี้
มันดีพอและมีคุณค่าสำหรับคุณบ้าง
ผมก็ดีใจมากแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ
ที่สนใจอ่านมัน
มันมีคุณค่ากับผม
และครอบครัวของผมมากๆ
ขอขอบคุณจากใจจริงครับ
และผมขอเสริมอีกนิดว่า
ผู้อ่านทุกท่านอย่าเพิ่งตกใจและเข้าใจผิดนะครับ
ว่าท่านกำลังจะได้อ่านเรื่องราวของเด็กไม่ดี
เด็กเลว ไม่รักพ่อแม่อะไรทำนองนั้น
จริงๆ แล้วผมทราบและสำนึกได้อยู่เสมอครับ
ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี
แต่ผมในวันนั้นก็ดื้อรั้น
และชอบลองผิดลองถูกไปในทางไม่ดี
มากไปหน่อยเท่านั้นเองครับ
ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่าน
ได้เรียนรู้และมีความสุข
กับการอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ...
East Side Boy.