Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรม STORY
•
ติดตาม
18 ธ.ค. 2018 เวลา 16:18 • ประวัติศาสตร์
พาหุงบทที่ 2
ตอน อาฬาวกยักษ์
ในสมัยพุทธกาล มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่ออาฬวกยักษ์ มีวิมานอยู่ที่ต้นไทรใกล้เมืองอาฬวี ยักษ์นี้มีฤทธิ์มาก สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และมีนิสัยที่ดุร้าย มักจะชอบจับคนและสัตว์กินเป็นอาหาร
โดยอาฬวกยักษ์นั้นได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณให้สามารถจับมนุษย์และสัตว์ที่เข้าไปสู่ร่มไทรของตนกินเป็นอาหารได้
ในครั้งนั้น นครอาฬวี มีกษัตริย์ชื่อ พระเจ้าอาฬวกะ
ท่านเป็นพระราชาที่โปรดการล่าเนื้อมาก พระองค์เสด็จออกล่าเนื้อเป็นประจำ ระหว่างการล่าเนื้อพระองค์ได้ตั้งกติกาว่าถ้าเนื้อหนีออกไปทางผู้ใด ผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบติดตามเนื้อนั้นกลับมาให้ได้
วันหนึ่ง ระหว่างการออกล่าเนื้อ เนื้อตัวหนึ่งได้หลบหนีไปทางที่พระเจ้า อาฬวกะประทับอยู่ ดังนั้น พระองค์จึงทรงธนูเสด็จติดตามเนื้อนั้นไปเป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ในที่สุด พระองค์ก็สามารถฆ่าเนื้อนั้นได้
พระเจ้าอาฬวกะทรงตัดเนื้อออกเป็น ๒ ท่อน แล้วหาบกลับมา ระหว่างที่เสด็จกลับมานั้นเป็นเวลาเที่ยง เมื่อพระองค์เห็นต้นไทรใบหนาร่มเย็นจึงได้เสด็จเข้าไปประทับพักเหนื่อย โดยไม่รู้ว่าเป็นที่อยู่ของอาฬวกยักษ์
พระองค์จึงถูกอาฬวกยักษ์จับตัวไว้กินเป็นอาหาร แต่พระเจ้าอาฬวกะทรงขอชีวิตและสัญญาว่าจะส่งคนและสำรับอาหารมาให้เป็นประจำ วันใดพระองค์ไม่ส่งคนมาให้ ก็ขอให้อาฬวกยักษ์ไปจับพระองค์กินได้
อาฬวกยักษ์จึงปล่อยพระองค์ไปเมื่อพระเจ้าอาฬวกะเสด็จกลับพระนครแล้ว พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามสัญญาโดยจัดส่งนักโทษไปให้อาฬวกยักษ์กินเป็นอาหารทุกวัน
อาฬวกะยักษ์นี้มีกำลังมาก เคี้ยวกินนักโทษเหมือนกินเผือกกินมัน คนที่ไปส่งนักโทษเห็นเข้าก็หวาดกลัว นำมา บอกเล่าสู่กันฟังจนชาวเมืองอาฬวีไม่มีผู้ใดกล้าทำความผิด ในไม่ช้าจึงไม่มีนักโทษส่งไปให้ยักษ์อีก
ถึงแม้พระเจ้าอฬวกะจะแกล้ง เอาทรัพย์ไปทิ้งล่อไว้กลางทาง ก็ยังไม่มีใครกล้าหยิบฉวยเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเพราะกลัวจะถูกจับเอาไปเป็นอาหารยักษ์ เสนาอำมาตย์จึงแนะนำให้นำเด็กบ้านละ ๑ คน
ส่งไปเป็นอาหารยักษ์ ทำให้บ้านที่มีบุตรหรือบ้านที่มารดากำลังมีครรภ์อยู่ พากันอพยพหนีไปอยู่เมืองอื่น เมืองอฬวีนั้นต้องจัดส่งคนไปเป็น อาหารแก่อาฬวกะยักษ์นานอยู่ถึง ๑๒ ปี ในที่สุดก็ไม่มีเด็กจะให้ยักษ์กิน
คงเหลือเด็กเพียงคนเดียว ก็คือ อาฬวกกุมาร พระโอรสของพระเจ้าอาฬวกะนั่นเอง ซึ่งพระเจ้าอาฬวกะก็ตัดสินใจส่งราชโอรสของตนให้ไปเป็นอาหารของยักษ์เพื่อทรงปฏิบัติตามสัญญา
เช้าตรู่วันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสรรพสัตว์ด้วยสัพพัญญุตาญาน ได้ทรงเห็นว่าอาฬวกยักษ์นี้มีอุปนิสัยพอจะบรรลุโสดาปัตติผลได้ ครั้นทรงกระทำภัตตกิจเช้าเสร็จแล้ว จึงเสด็จจากเมืองสาวัตถีไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ เป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์
1
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จถึงหน้าวิมานของอาฬวกยักษ์ในเวลาค่ำ ยักษ์รักษาประตูชื่อ คัทรภะ เห็นจึงเข้าไปถวายบังคมแล้วกราบทูลถาม พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า พระองค์มีพระประสงค์จะพักแรมในที่นี้สักคืนหนึ่ง คัทรภยักษ์ จึงกราบทูลว่า
3
เจ้าของวิมานนี้คือ อาฬวกยักษ์ เป็นยักษ์ที่โหดร้ายหยาบคายมาก ไม่ยอมไหว้ใครๆ แม้แต่บิดามารดาของตน ไม่รู้จักสมณะชีพราหมณ์ และไม่เคารพพระรัตนตรัย พระพุทธองค์อาจจะมีอันตรายได้
แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงออกพระโอษฐ์ขอพักอาศัยถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดคัทรภยักษ์ก็อนุญาตให้พระพุทธองค์เข้าพักได้ แต่ขอให้ตนไปแจ้งให้อาฬวกยักษ์ทราบเสียก่อน แล้วคัทรภยักษ์ก็ออกจากวิมานมุ่งตรงไปป่าหิมพานต์ เพื่อแจ้งให้อาฬวกยักษ์ซึ่งกำลังประชุมอยู่ที่สมาคมยักษ์ได้ทราบ
ขณะนั้น ประตูวิมานของอาฬวกยักษ์ก็เปิดออกเอง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จเข้าไปประทับนั่ง เปล่งพระรัศมีเป็นสีทองอยู่บนบัลลังก์ทิพย์ของอาฬวกยักษ์ พวกนางสนมของอาฬวกยักษ์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปก็มีความยินดี พากันมาถวายบังคมแล้วมานั่งฟังธรรม
ทางด้าน คัทรภยักษ์ เมื่อไปถึงป่าหิมพานต์ก็นำความไปแจ้งอาฬวกยักษ์ให้ทราบ อาฬวกยักษ์ก็นิ่งไว้ไม่ได้แสดงอาการเพราะอาย กลัวว่ายักษ์อื่นจะรู้ว่ามีพระสมณะเข้าไปในที่อยู่ของตน
ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดนางสนมยักษ์อยู่นั้น มียักษ์อีก ๒ ตน คือ สาตาคิรยักษ์ และเหมวตยักษ์ พร้อมด้วยบริวาร พากันเหาะไปประชุมที่ป่าหิมพานต์ แต่เมื่อมาถึงวิมานของอาฬวกยักษ์ก็ไม่สามารถจะเหาะผ่านไปได้ พอทราบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่จึงพากันแวะลงไปเฝ้าฟังธรรมก่อนจะเดินทางต่อ เมื่อไปถึงสมาคมยักษ์แล้ว สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ จึงแจ้งให้อาฬวกยักษ์ทราบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วิมานของเขา และแนะนำให้เขาไปเฝ้าพระพุทธองค์
เมื่อได้ทราบเช่นนั้นแล้ว อาฬวกยักษ์ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ จะอธิบายว่าพระบรมศาสดาคือพระโพธิสัตว์ที่จุติจากดุสิตสวรรค์มาตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ อันเทวดาทั้งหลายรู้ดี แต่อฬวกยักษ์ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง จึงลุกขึ้นเอาเท้าซ้ายเหยียบพื้นศิลา เท้าขวาเหยียบยอดเขาไกรลาส แล้วส่งเสียงร้องประกาศกร้าว ชื่อของตนดังก้องไปทั่วชมพูทวีป
อิทธิฤทธิ์ของอาฬวกยักษ์นั้น แม้แต่เสียงร้องประกาศก็ดังก้องไปทั่วชมพูทวีป ซึ่งนับเป็นเสียงหนึ่งในบรรดาเสียงดังพิเศษ ๔ อย่าง ที่ได้ยินกันทั่วชมพูทวีป
คือ
๑. เสียงปุณณกยักษ์ส่งเสียงไชโย ในคราวชนะพนันพระเจ้าธนัญชัย
โกรพยะ
๒. เสียงท้าวสักกะร้องประกาศขู่จะกินพุทธบริษัทผู้ใจบาป ไม่ถือศีลถือธรรมครั้งปลายพุทธกาลของพระกัสสปะพุทธเจ้า
๓. เสียงพระเจ้ากุสราชร้องประกาศพระนามของพระองค์ ในคราวที่พระองค์ทรงพาพระนางปภาวดีเสด็จขึ้นช้างออกจากพระนคร เมื่อนครกุสาวดีถูกกษัตริย์ทั้ง ๗ ปิดล้อม
๔. เสียงอาฬวกยักษ์ในครั้งนี้
จากนั้นอาฬาวกยักษ์ก็บันดาลลมพายุใหญ่ ให้พัดตรงเข้าทำลายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานปิดภัยพิบัตินั้นเสีย
จากนั้นอาฬาวกยักษ์ก็บันดาลห่าฝนขนาดใหญ่ให้ตกลงมา หวังที่จะใช้น้ำท่วมพระพุทธเจ้าให้ตาย แต่แม้ว่าฝนจะตกรุนแรงจนแผ่นดินแตกเป็นช่องๆ แต่ฝนนั้น ก็ไม่อาจทำให้จีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เปียกได้แม้แต่น้อย
จากนั้นอาฬาวกยักษ์ก็บันดาลฝนแผ่นหินให้ตกลงมาจากยอดเขาใหญ่ๆ พ่นควันลุกโพลงลงมาทางอากาศ แต่พอถึงพระพุทธเจ้า บรรดาฝนหินนั้นก็กลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์ไปในทันที
1
ท้ายที่สุดอาฬาวกยักษ์ก็พยายาม
ทำฝนเครื่องประหาร ฝนถ่านเพลิง
ฝนเถ้ารึง ฝนทราย ให้ตกลงมา แต่ฝนเหล่านั้นก็กลายเป็นของหอมอันเป็นทิพย์มาบูชาพระพุทธองค์ไปจนหมดสิ้น
อาฬวกยักษ์นั้น เมื่อไม่อาจทำอันตรายพระพุทธเจ้าได้ด้วยการบันดาลฝนต่างๆ จึงพาพลยักษ์และภูตเข้าไปหา แต่ภูตเหล่านั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้ ดุจดังแมลงวันไม่อาจตอมก้อนเหล็กที่ลุกโพลงได้ฉันนั้น
1
ผ่านไปครึ่งคืน อาฬวกยักษ์คิดว่าจำเป็นต้องใช้อาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของตน ก็คือ “ทุสสาวุธ” ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงดุจวชิราวุธของพระอินทร์ คฑาวุธของท้าวเวสสุวรรณ และนัยนาวุธของพระยายมราช
“ทุสสาวุธนี้มีลักษณะเป็นผืนผ้า หากโยนขึ้นไปในอากาศ ก็จะทำให้ฝนแล้งถึง ๑๒ ปี ถ้าทิ้งลงพื้นดิน ต้นไม้ต่างๆ ก็จะไหม้ทำลายถึง ๑๒ ปี ถ้าทิ้งลงมหาสมุทร น้ำก็จะแห้งขอด ถ้าทิ้งบนภูเขา แม้เขาสิเนรุมาศก็จะระเบิดกระจัดกระจายเป็นผุยผง”
เมื่ออาฬวกยักษ์จะใช้ทุสสาวุธ บรรดาเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุต่างก็มาชุมนุมกันเต็มไปหมด เพื่อรอดูพระบารมีของพระพุทธองค์ในการปราบอาฬวกยักษ์
อาฬวกยักษ์เหาะวนรอบพระพุทธเจ้า แล้วปล่อยทุสสาวุธไปในอากาศ
ทุสสาวุธก็ส่งเสียงดังน่าสะพรึงกลัวประดุจสายฟ้าผ่า แต่สุดท้ายก็ลอยตกลงมากลายเป็นผ้าเช็ดพระบาทที่แทบเท้าพระพุทธองค์
1
อาฬวกยักษ์เห็นดังนั้น คิดว่าอาวุธทั้งหมดไม่อาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้ จึงออกคำสั่งแก่พระพุทธองค์ว่า “สมณะ ท่านจงออกไปเดี๋ยวนี้”
พระพุทธเจ้าทรงตรองในใจว่าอาฬวกยักษ์เป็นผู้มีจิตใจแข็งกระด้าง หากตอบโต้ด้วยความแข็งกระด้างก็จะกลับมีจิตใจกระด้างขึ้นกว่าเก่า ดำริแล้วก็ทรงลุกขึ้นและเสด็จออกจากวิมานยักษ์
อาฬวกยักษ์เห็นดังนั้นจิตใจก็อ่อนลง คิดว่าพระพุทธเจ้านี้ว่าง่าย แล้วออกคำสั่งต่อว่า “สมณะ ท่านจงเข้าไป” พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จเข้าไปในวิมานยักษ์ อาฬวกยักษ์ได้ใจ ออกคำสั่งให้พระพุทธเจ้าเข้าๆ ออกๆ อยู่ ถึง ๓ ครั้ง
ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงทำตาม ประดุจการตามใจบุตรเมื่อร้องไห้ แต่เมื่อถึงครั้งที่ ๔ อาฬวกยักษ์สั่งว่า “สมณะ ท่านจงออกไป” ครั้งนี้พระพุทธเจ้าทรงดำรัสตอบว่า “เราไม่ออกไป ท่านจะทำอะไรก็ทำเถิด”
เมื่ออาฬวกยักษ์ถามเหตุผล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า :
“เมื่อเราเข้ามานั้นเราไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้าน เมื่อเจ้าให้ออกเราจึงออก แต่เมื่อเจ้าผู้เป็นเจ้าของบ้านอนุญาตให้เราเข้ามาแล้ว เหตุใดเราต้องออกไปอีก ดูก่อน อาฬวกยักษ์ เจ้าอนุญาตให้ใครเขาเข้ามาแล้วออกปากไล่เขานั้น ไม่มีมารยาท ไม่มีใครนับถือ”
อาฬวกยักษ์แปลกใจในพุทธปัญญา จึงเปลี่ยนเป็นทูลถามปัญหา โดยขู่ว่าหากพระองค์แก้ไม่ได้ เขาก็จะฉีกหัวใจ และจับร่างพระองค์เหวี่ยงข้ามแม่น้ำคงคา
แล้วอาฬวกยักษ์ก็ไปนำคำถามมาถามพระพุทธเจ้า โดยคำถามนี้มีที่มาจากในอดีตกาลในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน คือ พระกัสสปะพุทธเจ้า บิดามารดาของอาฬวกยักษ์ได้เคยถามปัญหาจากพระพุทธกัสสปะ และได้นำมาสั่งสอนอาฬวกยักษ์ แต่พอนานวันเข้าอฬวกยักษ์ก็จำได้แต่คำถาม แต่ลืมคำตอบ ถามใครๆ ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะเป็นปัญหาที่ตอบได้เฉพาะพระพุทธเจ้า อาฬวกยักษ์จึงเขียนคำถามเก็บไว้ในวิมาน พระพุทธเจ้าก็ทรงแก้ปัญหาให้อาฬวกยักษ์เหมือนที่พระพุทธกัสสปะเคยแก้ไว้ ดังนี้
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า :
อะไรเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้ อะไรที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ อะไรเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย และผู้เป็นอยู่อย่างไรที่นักปราชญ์ยกย่องว่าประเสริฐสุด
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลก ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ ความสัตย์เป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย และผู้อยู่ด้วยปัญญานักปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญว่าประเสริฐสุด
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า :
- คนข้าม*โอฆะได้อย่างไร
- ข้าม*อรรณพได้อย่างไร
- ล่วงทุกข์ได้อย่างไร
- บริสุทธิ์ได้อย่างไร
*โอฆะ คือ กระแสน้ำกิเลสที่ท่วมทับใจสัตว์โลกให้จมอยู่ในความต่ำทราม
*อรรณพ คือ ห้วงน้ำที่ลึก กว้างใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
- คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา
- ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท - ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร
- บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา(ทำทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์สุจริต)
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า :
- คนมีปัญญาได้อย่างไร
- หาทรัพย์ได้อย่างไร
- หาชื่อเสียงได้อย่างไร
- ผูกมิตรได้อย่างไร
- ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศกเมื่อไปสู่ภพหน้า
2
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
- บุคคลเชื่อฟังธรรมย่อมได้ปัญญา
- บุคคลไม่ประมาท ฉลาด ไม่ทอดธุระ มีความเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้
- บุคคลย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์
- ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้
- บุคคลผู้มีธรรม ๔ ประการ คือ
1
๑. สัจจะ คือ ความจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง
1
๒. ทมะ คือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว คุมจิตใจฝึกหัดดัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา
1
๓. จาคะ คือ ความเสียสละ ละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตนให้ได้ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ ความคิดเห็น ของผู้อื่น ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตนเอง
1
๔. ขันติ คือ ความอดทน ตั้งหน้าทำหน้าที่การงานด้วยความ ขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมาย ไม่ท้อแท้
1
บุคคลนั้นละโลกนี้ไปแล้วย่อม
ไม่เศร้าโศก
1
ในที่สุดแห่งการทูลถามปัญหานี้ อาฬวกยักษ์ ผู้ส่งจิตใจไปตามพระธรรมเทศนา ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบันในรุ่งแจ้งนั้นเองเมื่ออาฬวกยักษ์สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วก็เปล่งเสียงสาธุการ เป็นเวลาเดียวกับที่คนจากเมืองอาฬวีนำอาฬวกกุมารมามอบให้
อาฬวกยักษ์รับพระราชกุมารนั้นแล้วก็ประคองราชกุมารน้อมถวายแด่พระพุทธองค์ด้วยความเคารพ พระพุทธองค์ทรงรับพระราชกุมารนั้นมา ทรงประทานพรแล้วทรงมอบคืนให้คนของกษัตริย์เมืองอาฬวี พระราชกุมารนั้นจึงมีพระนามว่า หัตถกอาฬวกะ
แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอาฬวี มีอาฬวกยักษ์เดินถือบาตรและสังฆาฏิตามมาส่งถึงครึ่งทางแล้วจึงกลับ หลังจากนั้นอาฬวกยักษ์ก็อยู่ในศีลธรรม เลิกกินเนื้อมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้น
ฝ่ายพระเจ้าอาฬวกะพร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชน ได้ตามไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งใกล้ประตูเมืองอาฬวี และทูลถามเหตุว่าพระพุทธองค์ทรงโปรดยักษ์ร้ายได้อย่างไร
1
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอาฬวกสูตร กษัตริย์และประชาชนเหล่านั้นได้ฟังธรรมแล้วก็บรรลุมรรคผลถึง ๘๔,๐๐๐ คน ส่วนหัตถกอาฬวกกุมาร ต่อมาก็ได้บวชเรียนและได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี
...ชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่ออาฬวกยักษ์ ซึ่งเป็นยักษ์ที่ดุร้าย ใจคอเหี้ยมโหด เต็มไปด้วยโทสะ และโมหะ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเอาชนะได้ด้วยขันติบารมี คาถาบทนี้นิยมใช้สำหรับการเอาชนะศัตรูผู้กระด้างกระเดื่อง ศัตรูผู้เป็นอันธพาล เป็นต้น...
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอดวงตาเห็นธรรมจงบังเกิดแก่ท่านสาธุชนทั้งหลาย สาธุ
อ้างอิง
หนังสือ พาหุง ชัยชนะแห่งพุทธะ
ภาพประกอบโดย แอดมินต้นธรรมเพจ ธรรม STORY
22 บันทึก
176
40
10
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พาหุง (แปลเนื้อเรื่องสมบูรณ์)
22
176
40
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย