Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรม STORY
•
ติดตาม
20 ธ.ค. 2018 เวลา 14:20 • ประวัติศาสตร์
พาหุงบทที่ 4
ตอน จอมโจรองคุลิมาล
ย้อนเวลากลับไปในยุคสมัยนั้น
องคุลีมาล แต่เดิมชื่อ อหิงสกกุมาร เป็นบุตรนางมันตานีกับ
คัคคะพราหมณ์ ราชปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล
วันที่นางมัตตานีคลอด อหิงสกะนั้น บรรดาสรรพาวุธ ทั้งหลายในพระนคร ก็ปรากฎแสงดุจเปลวไฟ พราหมณ์ปุโรหิตผู้เป็นบิดาจึงรีบออกจากเรือนไปดูดาว เห็นว่าบุตรของตน เกิดในฤกษ์ของดาวโจร ต่อไปจะเป็นภัยต่อราชสมบัติ จึงไปเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลให้ประหารกุมารนี้เสีย
ลำดับต่อมา
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสทัดทานว่า "โจรมีแค่เพียงคนเดียวเปรียบเหมือนข้าวสาลีรวงเดียว ที่มีอยู่ในนากว้าง เขาจักทำอะไรได้เล่า ท่านจงเลี้ยงทารกน้อยนั้นไว้เถิด อย่าได้ฆ่าทารกน้อยนี้เลย"
ท่านปุโรหิตจึงแก้เคล็ด ด้วยการตั้งชื่อทารกว่า "อหิงสกกุมาร" แปลว่า กุมารผู้ไม่เบียดเบียนใคร
เมื่อ อหิงสกกุมาร ได้เติบโตขึ้น ก็ได้ไปศึกษาศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักศิลา อหิงสกกุมารนั้นประพฤติดี เฉลียวฉลาด และเชื่อฟังคำสอนของอาจารย์ จึงเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์เป็นอย่างมาก ศิษย์คนอื่นๆ จึงพากันอิจฉาริษยาอหิงสกกุมาร จึงร่วมกันวางแผนให้ อหิงสกกุมาร แตกคอผิดใจกับอาจารย์
ลำดับต่อมา
ศิษย์ที่อิจฉากลุ่มแรก
ได้เข้าไปฟ้องอาจารย์ว่า อหิงสกกุมารคิดร้ายแต่อาจารย์ไม่เชื่อ
ศิษย์กลุ่มที่สองก็เข้าไปฟ้องอาจารย์อีก อาจารย์ก็เริ่มจะเอนเอียงตาม แต่ยังไม่แน่ใจนัก
ครั้นเมื่อถึงศิษย์อีกกลุ่มที่สาม
ไปฟ้องอาจารย์ทำนองเดียวกัน อาจารย์จึงหลงเชื่อสนิทใจ
จึงคิดที่จะฆ่าอหิงสกกุมารเสีย
แต่แล้วกลับคิดได้ว่า ถ้าอาจารย์ฆ่าลูกศิษย์ จึงกลัวว่าต่อไปภายหน้าคงไม่มีใครเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในสำนัก
ของตน
เมื่ออาจารย์คิดดังนั้นแล้ว จึงออกอุบายบอก อหิงสกกุมาร ว่า "เธอเรียนศิลปะใกล้สำเร็จแล้ว เธอจงไปฆ่าคนอื่นมาให้ได้ ๑,๐๐๐ ก่อน อาจารย์จะสอนวิษณุมนต์อันเป็นสุดยอดวิชาให้"
1
อหิงสกกุมารลำบากใจที่จะต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่อาจารย์ก็เกลี้ยกล่อมว่าอยากรู้วิชาดี ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่ถือเป็นการบูชาครู
อหิงสกกุมารจึงตัดสินใจกราบลาอาจารย์ เดินทางเข้าป่าพร้อมด้วยอาวุธครบมือ เพื่อดักฆ่าคนที่จะเดินทางเข้ามาในป่า แล้วตัดนิ้วมือคนที่ถูกฆ่าไว้คนละ ๑ นิ้ว ร้อยเป็นพวงมาลัยห้อยคอ ชาวบ้านจึงขนานนามให้ว่า
"จอมโจรองคุลีมาล" แปลว่า โจรผู้มือนิ้วมือเป็นพวงมาลัย
ชาวบ้านนั้นต่างก็หวาดกลัว
โจรองคุลีมาลมาก จึงไม่มีใครที่จะกล้าเข้าไปในป่ากันอีกเลย
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้
จอมโจรองคุลีมาล จึงออกจากป่าเข้าไปฆ่าผู้คนในหมู่บ้านแทน
ชาวบ้านจึงพากันหนีเข้ากรุง
สาวัตถีเพื่อกราบทูลร้องทุกข์ต่อ
พระเจ้าปเสนทิโกศล
ดังนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล
จึงจัดกองกำลังทหารเพื่อออกปราม
ฝ่าย คัคคะพราหมณ์ได้ข่าวว่า
พระราชาจะออกปราบปรามโจรร้าย
จึงกลับมาบอกนางพราหมณีภรรยาว่าจอมโจรนั้น แท้จริงคืออหิงสกกุมารบุตรของตน
3
นางพราหมณีได้ฟังเช่นนั้นจึง
ขอร้องให้คัคคะพราหมณ์ไปช่วย
อหิงสกกุมาร แต่คัคคะพราหมณ์ไม่กล้าไปช่วย
เพราะคิดว่าไม่ควรวางใจคน ๔ จำพวก คือ
๑ โจร
๒ เพื่อนเก่า
๓ พระราชา
๔ ผู้หญิง
แต่ด้วยความรักที่ใดเล่าจะมีมากเท่ากับมารดาผู้รักบุตร เมื่อหมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้
นางพราหมณีจึงตัดสินใจไปบอก
ข่าวอหิงสกกุมาร ด้วยตนเอง
ในเช้าตรู่วันเดียวกันนั้น
พระพุทธเจ้าทรงได้ตรวจดูสรรพสัตว์ทั่วจักรวาล ได้เห็นองคุลีมาลปรากฎในพระญาณ ทรงทราบว่า หากพระองค์ไปโปรด องคุลีมาลจะออกบวช แต่หากพระองค์ไม่โปรด
องคุลีมาลจะฆ่ามารดา แล้วไปสู่อเวจีมหานรกอย่างแน่นอน
เช้าวันนั้นพระพุทธองค์จึงเสด็จออกไปตามเส้นทางในถิ่นขององคุลีมาล เมื่อผ่านคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงโคก็ได้กราบทูลห้ามไม่ให้พระองค์ทรงเสด็จต่อไป เพราะแม้บุรุษมากถึง ๔๐ คน ก็ยังถูกองคุลีมาลฆ่าตายหมด พระพุทธเจ้าทรงสดับแล้วก็ทรงนิ่งเสีย แล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึง
ป่าชาลิวัน ฝ่ายองคุลิมาล วันนี้กำลังจะฆ่ามนุษย์ได้ ๑,๐๐๐ คน บังเอิญคนที่ผ่านมาให้องคุลีมาลฆ่าครที่พันนี้กลับเป็นมารดาของตนเอง
องคุลีมาลเงื้อดาบวิ่งเข้าใส่มารดาหมายจะฆ่าและตัดเอานิ้ว
นางพราหมณี เห็นลูกชายวิ่งเข้ามาถือดาบก็ตกใจ รีบวิ่งหนีทันที
พระพุทธเจ้าจึงทรงดำเนิน
ไปขวางทางไว้ องคุลีมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนใจ แล้วคิดจะฆ่าพระพุทธเจ้าแทนมารดา
ของตน เมื่อคิดได้ดังนี้จึงถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนูคู่กาย ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป
ลำดับนั้น
พระพุทธเจ้าได้ทรงบันดาล
อิทธาภิสังขาร ทำให้องคุลีมาล
ไม่อาจทันพระองค์ผู้เสด็จได้
ตามปกติได้ องคุลีมาลก็พยายามห้อตะบึงไปอย่างเต็มกำลัง
ขณะไล่ตามจะถึงอยู่แล้วก็เห็นเหมือนพระองค์ดำเนินห่างออกไปไกล แต่ก็ไม่ลดละความพยายาม ทุ่มเทกำลังไล่ตามสุดความสามารถ
ลำดับต่อมา
พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแม่น้ำบ้าง หล่มบ้าง เลนบ้าง ขวางหน้าองคุลีมาลตลอด ๓ โยชน์ จนเขารู้สึก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที
คิดว่าน่าอัศจรรย์จริงหนอ เรานี้มีกำลังดุจพระยาช้างสารถึง
๗ เชือก แต่วันนี้วิ่งจนสุดกำลังแล้วยังไม่อาจทันสมณะผู้เดินตามปกตินี้ได้
คิดดังนี้แล้ว องคุลีมาลจึงหยุดยืนและกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า "สมณะ จงหยุดก่อน... สมณะ ท่านจงหยุดก่อน"
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "เราหยุดแล้ว องคุลีมาล แต่ท่านสิยังไม่หยุด"
องคุลีมาลคิดในใจว่า ได้ยินว่าสมณะศากยบุตรผู้นี้เป็นคนพูดจริง แต่นี่ท่านเดินไปอยู่แท้ๆ กลับพูดว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดหยู่ท่านกลับพูดว่า ท่านสิยังไม่หยุด
จึงตะโกนถามไปด้วยความสงสัยว่า "ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินไป กลับกล่าวว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ ท่านกลับว่าเรายังไม่หยุด ที่ท่านกล่าวมานั้นหมายถึงสิ่งใด"
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า
"ดูก่อน องคุลีมาล เราเว้นจากการฆ่าสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนเธอยังมีกิจในการฆ่า จึงชื่อว่ายังไม่หยุด แม้ว่าบัดนี้เธอจะหยุดยืนอยู่ แต่เธอก็ต้องวิ่งต่อไปในนรก เปรต อสูรกาย และดิรัจฉานในภายหน้า"
องคุลีมาลได้ฟังดังนั้นก็ฉุกคิดได้ จึงทิ้งดาบและอาวุธลงในเหวลึก
แล้วจึงกราบทูลขออนุญาตบรรพชา พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงบรรพชาให้
องคุลีมาล ด้วยพระองค์เอง
จากนั้นพระองคุลีมาลก็ตามเสด็จกลับพระเชตวัน ทางด้านพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้นำขบวนทหาร ๕๐๐ คน เพื่อจะมาปราบโจรองคุลีมาล เมื่อเสด็จ
ผ่านพระเชตวันมหาวิหาร จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระอาราม
กราบทูลราชกิจให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า
"ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าบัดนี้องคุลีมาลปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสาวพัสตร์ บวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหาร
หนเดียว และประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะทำอย่างไรกับเขา"
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะไหว้และบำรุงเขาอย่างสมณะ แต่องคุลีมาลนั้นเป็นคนทุศีล จะมีความสำรวมด้วยศีลได้ที่ไหน"
พระพุทธเจ้าจึงยกพระหัตถ์ชี้ให้ดู
องคุลีมาลซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ตรัสบอกว่า "มหาราช นั่นไง
องคุลีมาล" พระเจ้าปเสนทิโกศลและทหารผู้ติดตามพากันตกใจ สะดุ้งหวาดกลัวไปตามๆกัน
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า
"อย่ากลัวเลย องคุลีมาลนี้เป็นผู้ไม่มีภัยต่อใครๆ อีกต่อไปแล้ว"
พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าไปถามพระภิกษุรูปนั้นจนแน่ใจว่าเป็นจอมโจรองคุลีมาลที่กลับใจแล้วจริงๆ พระองค์จึงปลดผ้าคาดเอวออกถวาย แด่พระ
องคุลีมาล
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
น่าอัศจรรย์นักที่พระองค์
ไม่ได้ทรงใช้พระอาญา
ไม่ทรงใช้ศาสตราวุธ แต่พระองค์ก็ทรงทรมานบุคคลที่ใครๆ
ก็ทรมานไม่ได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ
ให้สงบไม่ได้ ให้สงบได้
ทรงยังบุคคลที่ใครๆให้ดับไม่ได้
ให้ดับได้ น่าอัศจรรย์จริงแท้หนอ"
หลังจากเหตุการณ์ผ่านมา
พระองคุลีมาลนั้น นับจากได้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแล้วก็ได้รับ ความทุกข์ความลำบาก
เมื่อออกบิณฑบาตรผู้คนที่ยังกลัว
ก็แตกตื่นหนีกันชลมุนวุ่นวาย
ส่วนคนที่ยังโกรธแค้นก็ขว้างก้อนหิน ท่อนไม้ ก้อนกรวด ใส่ท่านด้วยความโกรธ บ้างก็ฉีกผ้าสังฆาฏิ บ้างก็ทุบบาตร แต่ท่านก็ใช้ขันติ ใช้ความอดทนอยู่ เรื่อยมา
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระองคุลีมาลก็ได้ปลีกตัว หลีกหนีออกห่างจากหมู่บ้าน
แล้วไปหาสถานที่สงบและสัปปายะ เพื่อบำเพ็ญเพียรอย่างสม่ำเสมอ และในที่สุดท่านก็ได้สำเร็จบรรลุมรรคผล
เป็นพระอรหันต์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
***เนื้อเรื่องเพิ่มเติมพิเศษ***
อดีตชาติของพระองคุลีมาล
1
พุทธดำรัสว่า "เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด" นี้ องคุลีมาลเคยได้ฟังมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีตชาติ ดังนี้
ในอดีตกาลชาติก่อนนั้น
องคุลีมาลได้เกิดเป็น
***เจ้าชายพรหมทัต***
ส่วนพระพุทธเจ้าเกิดเป็น
***เจ้าชายสุตโสม***
ทั้งสองเรียนวิชาด้วยกันจากสำนักตักศิลาร่วมกับเจ้าชายอื่นๆอีก ๑๐๐ องค์
เจ้าชายสุตโสมนั้นมีปัญญามากกว่าราชบุตรเมืองอื่น ระหว่างศึกษาอยู่ได้ช่วยสอนเจ้าชายทั้งหลายให้เล่าเรียนได้อย่างรวดเร็ว และก่อนกลับบ้านเมือง ก็ได้ชักชวนพระสหายให้รักษาอุโบสถศีลทุกครึ่งเดือน ซึ่งทุกคนก็ตกลงตามคำชักชวนนั้น
กาลต่อมา บรรดาเจ้าชายทั้งหมด ต่างก็ขึ้นเป็นกษตริย์ปกครองบ้านเมืองของตน และต่างรักษาอุโบสถเสมอมามิได้ขาด ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตนั้น พระองค์เป็นกษัตริย์ที่โปรดปรานเนื้อสัตว์เป็นที่สุด
ทุกมื้อพระองค์จะต้องได้เสวยเนื้อสัตว์ หากไม่มีเนื้อสัตว์พ่อครัวห้องเครื่องจะถูกลงโทษจนเป็นที่หวาดกลัวกันมาก
วันหนึ่ง ห้องเครื่องขาดเนื้อสัตว์ปรุงถวายพระเจ้าพรหมทัต ด้วยความเกรงกลัวพระอาญา พ่อครัวจึงไปแล่เนื้อจากศพในป่าช้ามาทำถวายพระเจ้าพรหมทัต
เนื่องจากพระเจ้าพรหมทัตนั้นเคยเกิดเป็นยักษ์มานานแสนนาน เมื่อได้ลิ้มเนื้อมนุษย์จึงถูกใจมาก รับสั่งให้ให้ห้องเครื่องทำเนื้อมนุษย์มาถวายทุกวัน
แรกๆ พ่อครัวก็ไปแล่เอาเนื้อจากศพในป่าช้า ต่อมาเมื่อป่าช้าไม่มีศพ ก็นำนักโทษมาฆ่าเพื่อเอาเนื้อ
เมื่อนักโทษหมดไปอีกพระเจ้าพรหมทัตก็สั่งให้พ่อครัวไปแอบฆ่าชาวเมืองแล่เอาเนื้อมาทำอาหาร
ทีละคน จนชาวเมืองหวาดกลัว
เรื่องที่เกิดข่าวลือว่ามีมนุษย์กินคนเกิดขึ้นมา จึงมาร้องเรียนพระเจ้าพรหมทัต
พระเจ้าพรหมทัตรู้ดีว่าเป็นคำสั่งของตน จึงไม่สนใจสืบหาสาเหตุ ชาวบ้านจึงไปร้องเรียน กาฬหัตถีมหาเสนาบดี
ซึ่งในที่สุดมหาเสนาบดีก็จับพ่อครัวห้องเครื่องได้ ขณะกำลังแล่เนื้อคนมาปรุงอาหาร
มหาเสนาบดีรู้ว่าสาเหตุมาจากพระเจ้าพรหมทัต จึงนำตัวพ่อครัวมาต่อหน้าพระพักตร์
แล้วทูลถามว่าพระราชาเสวยเนื้อมนุษย์ใช่หรือไม่ พระเจ้าพรหมทัตยอมรับว่าพระองค์เสวยเนื้อมนุษย์จริง
แม้มหาอำมาตย์จะพูดจาน้อมพระทัยอย่างไร พระเจ้าพรหมทัตก็ไม่อาจเลิกได้
พระองค์จึงถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากบัลลังก์ โดยพระองค์ขอดาบ หม้อ กระเช้า และพ่อครัวไปด้วย
พระเจ้าพรหมทัตเสด็จออกจากเมืองสู่ป่า ไปพักอยู่ใต้ต้นไทรคอยดักฆ่าคนเดินทางผ่านไปมา
แล้วนำเนื้อมนุษย์ที่ถูกฆ่านั้น
ให้พ่อครัวทำอาหารให้กิน
ทุกครั้งที่ออกฆ่าคน พระเจ้าพรหมทัตก็จะออกถือดาบวิ่งตะโกนว่า เราคือ "โปริสาทมนุษย์กินคน"
จึงทำให้ชาวบ้านชาวเมือง
เกิดความกวาดกลัวจอมโจร
โปริสาท และไม่มีใครกล้าสัญจร
ผ่านไปทางนั้น
เมื่อไม่มีมนุษย์ผ่านมาสุดท้าย
โปริสาทก็ฆ่าพ่อครัวและกิน
เป็นอาหาร ตั้งแต่นั้นมา
พระยาโปริสาทก็อยู่คนเดียว
เที่ยวไล่ฆ่าคนจนชื่อกระฉ่อน
ไปทั้งชมพูทวีป
วันหนึ่ง มีพราหมณ์คนหนึ่งจะต้องเดินทางผ่านแดนที่พระยาโปริสาทอยู่ จึงจ้างคนนำทางให้ช่วยพาไป
พระยาโปริสาทเห็นพราหมณ์ก็อยากกินจนน้ำลายไหล วิ่งร้องตะโกนมาว่า เราคือโปริสาทมนุษย์กินคน พวกคนนำทางก็ตกใจนั่งลงอย่างไม่ได้สติ แล้วปล่อยให้พระยาโปริสาทเข้ามาลากตัวพราหมณ์นั้นไปได้
เมื่อได้สติ พวกคนนำทางก็ไล่กวดพระยาโปริสาทไป
พระยาโปริสาทวิ่งกระโดข้ามรั้ว บังเอิญตกลงมาถูกตอตะเคียนตำเท้าบาดเจ็บ
ทำให้พวกคนนำทาง สามารถช่วยพราหมณ์กลับไปได้
พระยาโปริสาทกลับไปโคนต้นไทรของตน แล้วทำการบวงสรวงเทวดาว่า ขอให้แผลหายใน ๗ วัน แล้วตนจะนำโลหิตของกษตริย์ ๑๐๑ องค์
มาพลีกรรม
แต่แท้ที่จริงแล้ว
พระยาโปริสาทไม่ได้กินอะไรเลยตลอด ๗ วัน จนร่างกายซูบซีด เป็นเหตุให้แผลหายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
จึงคิดว่าเทวดาได้ช่วยเขาแล้ว
เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงถือดาบออกไปจับพระราชา ๑๐๑ องค์
มาพลีกรรม บังเอิญยักษ์ที่เป็นพระสหายของพระยาโปริสาทในอดีตชาติผ่านมาพบ
จึงช่วยสอนมนต์ให้
พระยาโปริสาทจึงมีกำลัง
และวิ่งเร็วมาก สามารถไปจับพระราชาทั้ง ๑๐๐ องค์มาได้ใน ๗ วัน แต่เว้นพระสุตโสมไว้ ด้วยเคยสอนวิชาสมัยเรียนตักศิลาด้วยกัน
ฝ่ายรุกขเทวดาอยากยุติความโหดร้ายของพระยาโปริสาท
จึงไปขอให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ช่วย แต่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ช่วยไม่ได้ จึงไปขอให้ท้าวสักกเทวราชช่วย ซึ่งท้าวสักกเทวราชก็ได้แนะนำอุบายให้ว่าต้องให้พระสุตโสมมาปราบให้หายพยศ
รุกขเทวดาจึงรับเทวบัญชา แล้วจึงแปลงเพศเป็นบรรพชิตไปหา
พระยาโปริสาท
ครั้นพระยาโปริสาทเห็นก็คิดว่าบรรพชิตทุกคนเป็นเหมือนกษัตริย์ จึงจะจับมาพลีกรรมเทวดาด้วย จะได้ครับ ๑๐๑ องค์
พระยาโปริสาทไล่ตามจับบรรพชิตนั้น แต่ไล่ตามไปไม่ถึง ๓ โยชน์ก็ไล่ไม่ทัน จึงร้องบอกให้หยุด
เทวดาแปลงบอกว่า "เราหยุดแล้ว ท่านนั้นแหละพยายามหยุดบ้างเถิด เราหยุดแล้วในธรรมของตน ส่วนท่านเป็นโจรไม่หยุดในโลก พ้นจากโลกไปแล้วท่านต้องไปอบาย หากอยากพ้นอบายท่านต้องจับพระเจ้าสุตโสมมาพลีกรรมด้วย ตามคำที่ท่านบวงสรวงไว้แก่เรา"
แล้วก็คืนร่างจากบรรพชิตเป็นรุกขเทวดา พระยาโปริสาทก็รับปากว่าวันรุ่งขึ้นจะไปจับ
พระเจ้าสุตโสมมาพลีกรรม
ตามสัญญา
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันนักกษัตริย์
เพราะเจ้าสุตโสมเสด็จออกนอกพระนครเพื่อไปสระผม
ระหว่างออกนอกประตูเมือง
ได้พบกับ นันทะพราหมณ์
ซึ่งได้นำคาถา ๔ บท
ของพระพุทธกัสสปะพระพุทธเจ้า มาแสดง
1
พระเจ้าสุตโสมตรัสว่า วันนี้เป็นวันนักกษัตริย์ ยังไม่สามารถฟังได้ จึงให้จัดที่พักแก่พราหมณ์นั้น
และขอเชิญให้พราหมณ์มาแสดงคาถาในวันรุ่งขึ้นแทน
เวลาต่อมา
เมื่อพระเจ้าสุตโสมกำลังเสด็จขึ้น
จากสรงน้ำ ก็มีเสียงประกาศ
ขู่ร้องก้องดังขึ้นมาว่า
เรานี้คือ โอกาสปริสาทมนุษย์กินคน แล้ววิ่งมาอุ้มเอาพระเจ้าสุตโสมไปจากสถานที่นี้
เมื่อวิ่งไปสักระยะหนึ่งเห็นว่าไม่มีทหารตามมา พระยาโปริสาทก็ผ่อนฝีเท้าเดินไปตามปกติ
ระหว่างนั้นก็เห็นพระเจ้าสุตโสมหลั่งน้ำตาหยดมากระทบที่อกตน
พระยาโปริสาทถามว่าเหตุใดพระเจ้าสุตโสมถึงร้องไห้
พระเจ้าสุตโสมตอบว่า "เหตุที่เราร้องไห้ก็เพราะเราได้สัญญา
ไว้กับพราหมณ์ว่าจะฟังธรรม ๔ บท แต่บัดนี้ตัวเรานั้นไม่สามารถรักษาคำสัตย์นั้นไว้ได้"
ถ้าท่านปล่อยเราไปฟังธรรม เสร็จแล้วเราจะกลับมา พระยาโปริสาทเกรงว่าพระเจ้าสุตโสมไปแล้วจะไม่กลับ
พระเจ้าสุตโสมจึงกล่าวคำสาบานว่าฟังธรรมแล้วพระองค์จะกลับมาแน่นอน พระยาโปริสาทคิดว่าพระเจ้าสุตโสมเป็นกษัตริย์ ตรัสแล้วคงไม่คืนคำ
แม้นหากพระองค์คืนคำ
พระยาโปริสาทก็สามารถเอา
เลือดตัวเองพลีกรรมแทนได้ จึงตัดสินใจปล่อยพระเจ้าสุตโสมไป
เมื่อพระเจ้าสุตโสมกลับมาถึงพระราชวัง ก็ขอให้พราหมณ์นั้นมากล่าวคาถาทั้ง ๔ คำนั้น
คาถานั้นมีความว่า
๑. สัทธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมรักษาผู้สมาคมด้วย
๒. สัทธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อมถอย
๓. สัทธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ถึงความชรา ต่างจากราชรถและร่างกาย
๔. สัทธรรมของสัตบุรุษ
ทำให้สัตบุรุษอยู่ไกลจาก
อสัตบุรุษ ยิ่งกว่าความไกลของขอบฟ้าและฝั่งมหาสมุทร
เมื่อพระองค์ได้สดับรับฟังแล้ว พระสุตโสมก็ให้รางวัลแก่
พราหมณ์บทละ ๑๐,๐๐๐ กหาปนะ แล้วกลับไปหา พระยาโปริสาท
พระยาโปริสาทเห็นว่าพระเจ้า
สุตโสมไม่กลัวสิ่งใดแม้แต่ความตาย คงเป็นเพราะธรรมที่ไปสดับฟังมา จึงจะขอฟังธรรมเหล่านั้นบ้าง
ครันเมื่อพระเจ้าสุตโสมได้ยิน
พระเจ้าสุตโสมจึงคิดจะทรมานพระยาโปริสาทด้วยธรรม
ให้กลับมาเป็นสัตบุรุษ
จึงตรัสโต้ตอบพระยาโปริสาทว่า "ธรรมย่อมไม่ลงรอยกับผู้ไม่ประพฤติในธรรม ตัวท่านฆ่าและบริโภคเนื้อมนุษย์ อันเป็นเนื้อไม่ควรบริโภค จึงเป็นผู้ไม่ประพฤติในธรรม"
พระยาโปริสาททูลถามว่าที่พระเจ้าสุตโสมกลับมานี้เพราะ
เหตุใด และทำไมถึงไม่กลัวความตายหนอ
พระเจ้าสุตโสมตรัสว่า
"เราเป็นผู้รักษาสัตย์ เพราะผู้รักษาความสัตย์ ย่อมข้ามชาติและมรณะได้ และเราได้ทำกัลยาณธรรมแล้ว ย่อมเป็นที่สรรเสริญของบัณฑิต เราได้บำรุงบิดามารดาและไพร่ฟ้าแล้วโดยธรรม ตายแล้วย่อมไม่ไปสู่ปรโลก ท่านจงฆ่าเราเพื่อพลีกรรมเถิด"
พระยาโปริสาทได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าพระเจ้าสุตโสมผู้นี้เป็นสัตบุรุษ พร้อมด้วยความรู้
แสดงธรรมอันไพเราะ ถ้าเราจะกินพระองค์เสีย แม้ศีรษะของเราก็จะต้องแตกออกเป็น ๗ เสี่ยง
หรืออาจจะถูกธรณีสูบเอาได้ จึงขอให้พระเจ้าสุตโสมแสดงธรรมให้ฟัง
พระเจ้าสุตโสมจึงได้แสดงธรรม ๔ บทที่ได้สดับมาแล้วแก่พระยา
โปริสาท พระยาโปริสาทซาบซึ้งในบทธรรม จึงกล่าวว่าจะให้พรพระเจ้าสุตโสมเป็นการตอบแทน
พระเจ้าสุตโสมกล่าวตอบ
"ผู้ไม่รักษาธรรมเช่นท่าน กล่าวคำให้พรเรามาแล้ว จะเชื่อได้ไฉนหนอ"
พระยาโปริสาทกราบทูลยืนยันว่าให้แล้วจะไม่คืนคำ ถึงแม้ว่าต้องเสียชีวิตก็จะให้พรตามที่พระองค์ขอ
เหตุนี้
พระเจ้าสุตโสมจึงขอพร
พระยาโปริสาท ๔ ประการตามลำดับ คือ
๑. ขอให้พระยาโปริสาทมีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยตลอด ๑๐๐ ปี พระยาโปริสาทได้ฟังก็คิดสรรเสริญพระเจ้าสุตโสมอยู่ในใจ และรับจะให้พรนั้น
๒. ขอให้พระยาโปริสาท อย่ากินกษัตริย์ทั้ง ๑๐๑ องค์นี้เลย พระยาโปริสาทก็รับจะให้พรนั้น
๓. ขอให้พระยาโปริสาทปล่อยกษัตริย์ทั้ง ๑๐๑ องค์นี้ พระยาโปริสาทก็รับจะให้พรนั้น
๔. ขอให้พระยาโปริสาท
ละเว้นจากการกินเนื้อมนุษย์
พระยาโปริสาทฟังคำขอพรประการที่ ๔ แล้วตอบว่า
"พรข้อนี้เหมือนขอชีวิตตน ที่ตนเองทิ้งราชสมบัติมาอยู่ป่าเพราะเหตุแห่งการอยากเนื้อมนุษย์ บัดนี้จะให้ละเสียอย่างไรได้ ขอให้พระเจ้าสุตโสมขอพรอย่างอื่นเถิด"
พระเจ้าสุตโสมจึงกล่าวตอบว่า
"ท่านนั้นก็เป็นถึงจอมคน แต่ห่างเหินจากชนที่เป็นที่รักเพราะความอยาก ความโลภในวัตถุ พ้นจากชาตินี้ไปแล้วย่อมไปสู่ทุคติ"
เมื่อพระยาโปริสาทได้ฟังดังนั้น
ก็หวาดหวั่น ดำริว่าจะทำอย่างไร
ดีหนอ จะไม่ให้พรก็ไม่ได้ จะให้เลิกกินเนื้อมนุษย์ก็ทำไม่ได้ น้ำตาจึงไหลนองหน้า กราบทูลว่า
ท่านจงขอพรอย่างอื่นเถิด
พระโพธิสัตย์ตรัสว่า "คนใดมัวรักษาของรักอยู่ว่า นี่เป็นที่รักของเรา ทำตนให้เหินห่างจากความดีแล้ว เสพของรักทั้งหลายอยู่ เหมือนนักเลงดื่มสุราที่เจือด้วยยาพิษ ฉะนั้นคนนั้นจะได้ทุกข์ในเบื้องหน้า เพราะความประพฤตินั้นแล ส่วนบุคคลในโลกนี้รู้สึกตัว แล้วละของรักได้ เสพอริยธรรม แม้ด้วยความฝืนใจ ก็เปรียบ เหมือนคนเป็นไข้ที่ได้ดื่มโอสถ
ฉะนั้นบุคคลนั้นย่อมได้รับสุข
ในภายภาคหน้า เพราะความประพฤตินั้นแล"
พระยาโปริสาทก็ยังทำใจไม่ได้
ก็ยังคงยืนยันให้พระเจ้าสุตโสมทูลขอสิ่งอื่น
"บัณฑิตไม่กล่าววาจาเป็นสอง สัตบุรุษย่อมมีปฏิญาณเป็นสัตย์ ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าแล้วว่า
พระสหายขอท่านจงรับพร
ท่านได้กล่าวไว้อย่างนี้ จะมาให้เราเปลี่ยนจึงไม่สมกัน" แล้วพระโพธิสัตว์ก็นำคำพูดของ
พระยาโปริสาทมากล่าวซ้ำ
"คนเราให้พรแล้วกลับคำไม่ให้
ไม่ควรจะกล่าวให้พรนั้น ยิ่งท่านกล่าวว่าพระสหายจงมั่นในพระทัยรับพรเถิด แม้ชีวิตของหม่อมฉันก็จักสละถวายได้ ท่านยิ่งไม่สมควรกลับคำ"
พระยาโปริสาทฟังคำของพระเจ้าสุตโสมก็ยิ่งอึกอักหมดจนหนทาง
"ดูก่อนท่านผู้เป็นพระราชา ผู้เป็นบัณฑิตพึงสละทรัพย์เพราะเหตุแห่งอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และพึงสละทั้งอวัยวะ ทรัพย์ แม้ชีวิตทั้งหมด เพื่อรักษาธรรม"
พระยาโปริสาทได้ฟังธรรมดังนั้น จึงดำริว่า พระเจ้าสุตโสมเคยเป็นดั่งอาจารย์ของเรา และเราก็กล่าวให้พรแก่พระองค์ แล้วจะทำอย่างไรได้
แม้เราต้องอดตายก็เพียงแค่อัตภาพหนึ่งที่เป็นของแน่นอน คิดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลนองท่วมหน้า
แล้วกราบทูลพระเจ้าสุตโสมว่า "เรายากลำบากมาอยู่ป่า เพราะความอยากในเนื้อมนุษย์ บัดนี้เมื่อพระองค์ขอ เราก็จะถวายพรนี้แก่พระองค์"
จากนั้นพระยาโปริสาทก็รับศีล ๕ จากพระเจ้าสุตโสม และปล่อย
กษัตริย์ที่จับไว้ทั้งหมดให้เป็นอิสระ
ด้วยเหตุแห่งอดีตชาตินี้เอง
เมื่อองคุลีมาลสดับคำว่า
" เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด"
จึงได้เกิดสติปัญญา ฉุกคิดขึ้นได้ และทิ้งอาวุธ เข้าบวชเป็นพระภิกษุในศาสนานับตั้งแต่บัดนั้น
เป็นต้นมา
... ชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อ
องคุลีมาล ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจอมโจร ฆ่าคนมาแล้วถึง ๙๙๙ คน
แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเอาชนะได้โดยไม่ต้องใช้อาญา และศาสตราวุธใดๆ คาถาบทนี้นิยมใช้สำหรับการเอาชนะโจรภัย...
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน สาธุ
อ้างอิง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
หนังสือ พาหุง ชัยชนะแห่งพุทธะ
ภาพประกอบโดย แอดมินต้นธรรมเพจ ธรรม STORY
15 บันทึก
115
22
21
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พาหุง (แปลเนื้อเรื่องสมบูรณ์)
15
115
22
21
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย