21 ธ.ค. 2018 เวลา 10:49 • ประวัติศาสตร์
พาหุงบทที่ 5
ตอน นางจิญจมาณวิกา
เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าทรงเริ่มประกาศพระพุทธศาสนาแล้วนั้น ได้มีมหาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาออกบวชจนมีดวงตาเห็นธรรมเป็นจำนวนมาก พระสาวกก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
พุทธศาสนาจึงแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง พระเกียรติคุณของพระพุทธองค์ขจรขจาย
ไปไกล ยิ่งพุทธศาสนาแผ่ขยายไปมากเท่าไร
พวกเดียรถีย์ ซึ่งเป็นนักบวชนอกพุทธศาสนา ก็เริ่มเสื่อมจากลาภสักการะมากขึ้นเท่านั้น
เพราะมหาชนเปลี่ยนมา
เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์แทน
ในการประกาศพุทธศาสนาพรรษาที่ ๗ พวกเดียรถีย์จึง
คิดหาวิธีกำจัดพระพุทธองค์
โดยใช้สาวิกาผู้ใกล้ชิดนางหนึ่ง
ชื่อ "จิญจมาณวิกา" ซึ่งเป็นหญิงรูปงาม ความงดงามของนางนั้นเปรียบได้ดังเทพอัปสรในสรวงสวรรค์ และเป็นหญิงพร้อมด้วยเล่ห์เหลี่ยมและมารยา
เดียรถีย์บอกอุบายให้นาง
จิญจมาณวิกาไปใส่ร้ายพระพุทธเจ้า ซึ่งนางจิญจมาณวิกาก็รับคำอาสาทำตามแผนนั้น
เมื่อนางจิญจมาณวิการับแผนการจากสำนักเดียรถีย์แล้ว เย็นวันนั้น นางก็แต่งตัวสวย นุ่งห่มผ้าสีเหมือนแมลงค่อมทอง
ถือของหอมและดอกไม้ มุ่งหน้าไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร เดินสวนกับสาธุชนที่ฟังธรรมเสร็จและกำลังเดินออกมาจากวัด
แล้วแอบไปพักในอยู่ในวัด
ของเดียรถีย์ที่อยู่ใกล้กับ
วัดพระเชตวัน
หลายวันเข้า สาธุชนก็ถามว่า
นางจะไปไหน
นางก็แสร้งตอบเป็นปริศนาว่า
"โถ่วท่านทั้งหลาย ท่านจะรู้ไปทำไม ว่าฉันไปไหน"
ครั้นเวลาเช้า นางก็แอบเข้าไปในวัดพระเชตวันอีก
แล้วทำทีเป็นเดินออกมาจากวัดเพื่อกลับไปสู่พระนคร เดินสวนกับสาธุชนที่กำลังมุ่งหน้าไปทำบุญ
เพื่อทำให้เข้าใจว่านางได้นอนค้างอยู่ในวัด เมื่อมีคนถามว่านางไปนอนค้างอยู่ที่ไหนมา
นางก็แสร้งตอบเป็นปริศนาอีกว่า
"โถ่วท่านทั้งหลาย ท่านจะรู้ไปทำไม ว่าฉันไปพักที่ไหนมา"
นางจิญจมาณวิกาได้อดทนประพฤติเช่นนี้อยู่ ๑ - ๒ เดือน
ครัน เมื่อมีสาธุชน มาถามนางอีก
นางจึงเปลี่ยน เป็นตอบว่า
"เราพักอยู่ในคันธกุฎีเดียวกัน
กับพระสมณโคดม"
จึงทำให้ผู้คนเริ่มสงสัยว่า
ถ้อยคำที่นางจิญจมาณวิกาพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่จริง บางคนไม่เชื่อในคำพูดของนาง
แต่บางคนก็เริ่มสงสัยว่านางอาจจะพูดความจริง จึงเริ่มมีเสียงวิพากษ์และหนาหูขึ้นทุกวัน
เวลาผ่านไปเป็น ๓ - ๔ เดือน
นางจิญจมาณวิกาก็เอาผ้ามาพันท้องให้นูนขึ้น
ให้ผู้คนเข้าใจว่านางเริ่มตั้งครรภ์ ยิ่งเวลาผ่านไปนางก็ทำท้องให้ใหญ่ขึ้นจนเวลาผ่านไป ๘ - ๙ เดือน นางก็ผูกไม้กลมไว้ที่หน้าท้อง ใช้ผ้าห่มทับไว้
และใช้ไม้คางโคทุบหลังมือและหลังเท้าให้บวมโต ทำอาการให้เหมือนคนท้องแก่
วันหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมท่ามกลางสาธุชน อยู่บนธรรมาสน์ นางจิญจมาณวิกา ก็ลุกเดินไปยืน
อยู่ตรงเบื้องหน้าพระพักตร์
แล้วนางก็พูดกล่าวว่า "พระสมณะ พระองค์อย่ามัวแต่แสดงธรรมอยู่เลย บัดนี้หม่อมฉันครรภ์ครบกำหนดใกล้จะคลอดแล้ว ขอพระองค์ช่วยจัดหาสถานที่คลอดลูกของเราแก่หม่อมฉัน
ด้วยเถิด หากแต่พระองค์จักไม่ทำเอง ก็ตรัสบอกพระเจ้าโกศล หรือ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขา ให้ช่วยจัดสถานที่คลอดแก่หม่อมฉันด้วยเถิด"
.......
.......
ลำดับนั้น
พระพุทธเจ้าทรงหยุดแสดงธรรม
และทรงมีพระอาการสงบนิ่ง....
พระพักตร์ของพระองค์เรียบเป็นปกติ มหาชนที่มีศรัทธาในพระองค์ก็นิ่งอยู่ ส่วนผู้ที่มีศรัทธาที่ยังไม่แก่กล้านั้น
ก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหว...
แล้วพระพุทธองค์​ก็ทรงมีพระดำรัสตอบกลับไปว่า :
"น้องหญิง คำที่เจ้ากล่าวมานั้น จะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้นย่อมรู้อยู่"
นางจิญจมาณวิกาได้ยินเช่นนั้นก็รีบย้อนตอบกลับไปว่า :
"ก็ใช่ล่ะสิ ก็เรารู้กันอยู่สองคน เพราะเราทำกันแค่สองคนเท่านั้นนี่"
และในขณะนั้นเอง...
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ของท้าวสักกเทวราชก็ได้แสดง
อาการร้อนขึ้นมา
ท้าวสักกเทวราชจึงทรงตรวจดูก็ทราบว่า นางจิญจมาณวิกากำลังกล่าวตู่ใส่ความพระพุทธเจ้าอยู่
พระองค์จึงเสด็จมาพร้อมกับเทพบุตร ๔ องค์ แล้วทรงรับสั่งให้เทพบุตรแปลงเป็นลูกหนูเข้าไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้หน้ากลมหน้าท้องของ
นางจิญจมาณวิกา
ทันใดนั้นเชือกที่ถูกมัดไว้ ก็ถูกตัดขาดพร้อมกับเกิดลมพัดขึ้นตีผืนผ้าปลิวสะบัดขึ้น ไม้กลมก็พลัดตกลงหลังเท้าขอนางจิญจมาณวิกาจนปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก จนเลือดกระเด็นไหลนอง
มหาชนที่เข้าฟังธรรมเมื่อรู้ความจริง
ต่างก็พากันไล่ทุบตี แล้วช่วยกันขับไล่
นางจิญจมาณวิกาออกมาจาก
พระวิหาร ด้วยความโกรธ
นางจิญจมาณวิกา ก็รีบวิ่งหนีออกจากมหาวิหารอย่างทุลักทุเล​ทั้งน้ำตา..
ส่วนร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผล ที่ถูกตีจากไม้บ้าง ก้อนหินบ้าง มือและเท้าของประชาชนที่โกรธแค้น...
แต่เมื่อครั้นนางได้ออกไปพ้นจาก
พระจักษุของพระพุทธองค์
พระธรณีหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
ก็ไม่อาจรองรับกรรมอันชั่วช้า
ของนางได้ จึงได้แยกออกเป็นช่อง เปลวไฟจากนรกก็พวยพุ่ง
ขึ้นมาดูดเอาร่างของนางมารับโทษฑัณฑ์ใน อเวจีมหานรกทันที
... เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้...
***เนื้อ​เรื่อง​เพิ่ม​เ​ติ​มพิเศษ​***
อดีตชาตินางจิญจมาณวิกา
นางจิญจมาณวิกาผู้นี้
นางไม่ได้มีมิจฉาทิฏฐิ คิดปองร้ายพระพุทธเจ้าเฉพาะชาตินี้เท่านั้น แต่ในอดีตชาติก็เคยคิดปองร้ายพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายครั้ง
ดังเช่น เรื่องราวในอดีตชาติหนึ่ง
ดังนี้
ในอดีตกาลชาติที่แล้ว
นางจิญจมาณวิกา ได้เกิดเป็น "มเหสีของพระเจ้าพรหมทัต"
ส่วนพระพุทธเจ้าเกิดเป็น"พราหมณ์ปุโรหิต"
สมัยหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตได้เสด็จออกปราบข้าศึกที่ชายแดน และแต่งตั้งปุโรหิตเป็นผู้สำเร็จราชการ
พระมเหสีก็ทูลอ้อนวอนจะขอตามเสด็จด้วย แต่พระเจ้าพรหมทัตไม่ทรงยินยอม
พระนางจึงทูลให้พระเจ้าพรหมทัตส่งทหารมาแจ้ง ข่าวของพระองค์ในทุกระยะ ๑ โยชน์
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตยกทัพไปออกศึก เดินทางได้โยชน์หนึ่ง พระองค์ก็ส่งทหารคนหนึ่งมาแจ้งข่าวพระมเหสีว่าพระองค์เป็นสุขสบายดี
ส่วนพระมเหสีอยู่ห่างพระราชาก็จึงเกิดความกำหนัด ขาดสติยับยั้งชั่งใจ
พระนางจึงได้ประพฤตินอกใจ
พระสวามี และได้เสพเมถุนกับทหารที่มาส่งข่าวนั้น
เมื่อพระราชาเสด็จไปได้ ๒ โยชน์ พระองค์ก็ส่งทหารมาอีกคนหนึ่ง
พระมเหสีก็เสพเมถุนกับทหาร
นั้นอีก รวมแล้วพระเจ้าพรหมทัตเสด็จไป ๓๒ โยชน์ พระนางก็ประพฤตินอกใจพระราชาถึง ๓๒ ครั้ง
ครั้นเสร็จศึกแล้ว พระเจ้าพรหมทัตเสด็จกลับ ก็ทรงส่งทหารมาทุก ๑ โยชน์เช่นเดิม
พระมเหสีก็ประพฤตินอกใจเช่นเดิม  ฝ่ายพราหมณ์ปุโรหิตเมื่อ​
ทราบข่าวว่าพระเจ้าพรหมทัตกำลังเสด็จกลับมา
จึงได้จัดเตรียมตกแต่งพระนครเพื่อถวายการต้อนรับ
ปุโรหิตนั้นได้ตกแต่งพระนครไปจนถึงที่ประทับของมเหสี พระนางทอดพระเนตรเห็นปุโรหิตก็เกิดความกำหนัดอย่างยิ่ง
พระนางจึงพูดเชิญชวนให้ปุโรหิต มาร่วมอภิรมย์กัน แต่ปุโรหิตนั้นได้ตอบปฏิเสธ
พระนางก็กล่าวต่อไปว่า:
เธอไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลงโทษอะไรหรอก แม้แต่ทหาร ๖๔ คนก็ได้อภิรมย์กับพระนางมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ปุโรหิตก็ยังตอบปฏิเสธอีก
จึงทำให้พระนางจึงคิดแค้นใจ
แล้วแกล้งทำเป็นเข้าห้องบรรทมเก็บตัวทำเป็นป่วยหนัก...
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จกลับมาถึงพระนคร ได้ฟังคำเท็จทูลจาก
พระมเหสีว่าปุโรหิตข่มขืนใจนาง
จึงทำให้พระองค์ทรงกริ้ว
พระองค์จึงสั่งทหารให้ไปจับตัวปุโรหิตนำไปประหารที่ด้านนอกเมือง
ปุโรหิตจึงคิดใช้ปัญญาบอกทหารว่า ขุมทรัพย์ในเมืองนี้มียังมีอีกมากมายที่ราชาอาจไม่รู้
จึงจะขอไปกราบทูลพระราชา
เพื่อจะบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์เสียก่อน ทหารได้ฟังเช่นนั้นจึงพาปุโรหิต
กลับไปเข้าเฝ้าพระราชา
ลำดับนั้น
พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงกริ้วมาก
ที่ปุโรหิตมาเข้าเฝ้า
แต่ปุโรหิตก็กราบทูลว่าที่มาเข้าเฝ้าเพราะต้องการกราบทูลความจริงให้ทรงทราบ
"ข้าพระองค์เกิดในสกุล
โสตถิยพราหมณ์ การฆ่าสัตว์แม้เพียงมดแดง มดดำข้าพระองค์
ก็ไม่เคยทำ สิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ แม้เพียงเส้นหญ้า ข้าพระองค์ก็ไม่เคยถือเอา สตรีของผู้อื่นข้าพระองค์ก็ไม่เคยแม้จะเพียงลืมตาดูด้วยอำนาจกิเลส คำเท็จคำหนึ่ง ข้าพระองค์ก็ไม่เคยกล่าว น้ำเมาเพียงหยดข้าพระองค์ก็ไม่เคยดื่ม ข้าพระองค์ยิ่งไม่มีจิต คิดทำผิดต่อพระมเหสีแห่งพระองค์ แต่พระนางนั้นเป็นพาล จับมือข้าพระองค์ด้วยอำนาจแห่งตัณหา เมื่อข้าพระองค์ห้ามกลับตวาดข้าพระองค์ เปิดเผยความชั่วที่ตนกระทำไว้ ขอพระองค์จงถามคนทั้ง ๖๔ ที่ถือหนังสือมาเถิด"
ด้วยเหตุนี้​
พระเจ้าพรหมทัตจึงไล่สอบสวนทหารทั้ง ๖๔ คน และพระมเหสี จึงรู้ว่าพระมเหสีเป็นผู้ประพฤติผิดนอกใจ และลงได้โทษปลดพระมเหสีพร้อมทหารทั้ง ๖๔ คนนั้นจากตำแหน่งทั้งหมด...แล้วจึงอภัยโทษทั้งหมดให้แก่ปุโรหิต
...ชัยชนะของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่ถูกสาวิกาของเดียรถีย์ คือ นางจิญจมาณวิกาใส่ร้าย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงโดยที่พระพุทธเจ้า​ถูกกล่าวหา
ว่าพระองค์​ทำให้นางท้อง แต่ในที่สุดความจริงก็ปรากฎ และนางจิญจมาณวิกา ก็ถูกธรณีสูบไป คาถาบทนี้ จึงนิยมใช้สำหรับการเอาชนะการถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆเป็นต้น...
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำเร็จในธรรม สาธุ
อ้างอิง
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โลกวรรคที่ ๑๓
หนังสือ พาหุง ชัยชนะแห่งพุทธะ
ภาพประกอบโดย แอดมินต้นธรรมเพจ ธรรม STORY
โฆษณา