Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บทเรียนจากเชื้อโรค
•
ติดตาม
27 ธ.ค. 2018 เวลา 22:40 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ภาษีเชื้อรา: ตอนจบ อวสานมนุษยชาติ?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความเป็นสัตว์เลือดอุ่นไม่ช่วยเราให้รอดจากเชื้อราอีกต่อไป
ต่อมน้ำเหลืองผู้ป่วยที่ติดเชื้อราคริปโตคอคคัสแบบแพร่กระจาย ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พบยีสต์ตัวกลมหุ้มรอบด้วยแคปซูลที่เห็นเป็นวงสีขาวจำนวนมากอยู่ในเซลล์ยักษ์ (giant cell) อันเกิดจากเม็ดเลือดขาวจำนวนมากมาหลอมรวมตัวกัน
ภาวะโลกร้อน global warming ทำให้อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นเข้าใกล้อุณหภูมิร่างกาย เชื้อราทั่วโลกจึงถูกบังคับให้ปรับตัวทนความร้อนได้ดีขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งอุณหภูมิร่างกายที่สูงของสัตว์เลือดอุ่นก็จะไม่สามารถขัดขวางเชื้อราได้อีก
ส่วนเชื้อราที่ปรับตัวอยู่ในที่ร้อนได้ดีอยู่แล้ว ก็จะขยายอาณาเขตถิ่นที่อยู่ออกไปได้กว้างขวางขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เหล่าพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เราเพาะปลูกก็ถูกเชื้อราบุกทำลายรุกคืบขยายอาณาเขตไปทางขั้วโลกปีละ 7 กม.
พวกกบที่เป็นสัตว์เลือดเย็นก็สูญพันธุ์จากเชื้อราไปมากมาย (อ่านได้ในตอนที่ 2) หรือต่อไปจะถึงคราวของสัตว์เลือดอุ่นอย่างเรา
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เชื้อราที่เก็บมาจากตัวอย่างต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มทนความร้อนได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในเขตร้อน (tropical area) มีอัตราการติดเชื้อรามากกว่าเขตอื่น น่าจะเป็นเพราะเชื้อราที่อยู่ในบริเวณนี้ทนความร้อนได้ดี จึงก่อโรคในมนุษย์ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงได้
เชื้อราคริปโตคอคคัส [Cryptococcus] เป็นเชื้อราที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม แต่มีความสามารถที่จะจู่โจมมนุษย์ได้ โดยมีอาวุธ (virulence factor) ที่สำคัญคือ แคปซูล (capsule) หนาเตอะที่หุ้มตัวมันกันไม่ให้เม็ดเลือดขาวกินมันได้ง่าย ๆ และเม็ดสีคล้ายเมลานิน (อ่านได้ในตอนที่ 4) ไว้ดึงความร้อนจากเราไปเป็นพลังงานของมัน
เชื้อราคริปโตคอคคัสจากเสมหะผู้ป่วยภายใต้กล้องจุลทรรศน์ สังเกตเห็นวงแคปซูลสีขาวหนาล้อมรอบตัวยีสต์และมีเม็ดเลือดขาวสีชมพูแดงหลายเซลล์มาเกาะรอบ ๆ
เชื้อรากลุ่มนี้ที่ก่อโรคบ่อยมี 2 ตัว คือ คริปโตคอคคัส นีโอฟอร์แมน [Cryptococcus neoformans] ซึ่งมักก่อโรคในคนไข้เอดส์เต็มขั้น และ คริปโตคอคคัส แกตติอาย [Cryptococcus gattii] ซึ่งร้ายกาจสามารถก่อโรคในคนปกติหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องเล็กน้อยได้
ความอันตรายของเชื้อกลุ่มนี้อยู่ที่มันชอบเยื่อหุ้มสมองของเรามาก ตัวมันหรือเศษแคปซูลของมันจะไปอุดทางระบายน้ำ (arachnoid granulation) ทำให้แรงดันในโพรงกระโหลก (intracranial pressure) สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเราตายในที่สุด
ทีนี้เชื้อราคริปโตคอคคัส แกตติอาย ปกติจะก่อโรคอยู่ในเขตร้อนอย่างเดียว แต่มันเริ่มไปอาละวาดในเขตอบอุ่นด้วย จึงเป็นที่สงสัยว่าเกิดจากภาวะโลกร้อนทำให้เขตอบอุ่นอุณหภูมิสูงขึ้น เชื้อรานี้จึงขยายอาณาเขตล่าเหยื่ิอออกไปได้
ยังมีเชื้อราคริปโตคอคคัสชนิดอื่น ๆ ในสิ่งแวดล้อม ที่มีแคปซูลกับเมลานิน แต่มันยังเติบโตที่อุณหภูมิสูง ๆ ไม่ได้ ถ้ามันปรับตัวได้เมื่อไหร่ เราคงไม่อยากนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เชื้อรามีอยู่กว่าล้านชนิด อาจมีอีกหลายชนิดที่มีศักยภาพจะฆ่าเราได้ แต่ตอนนี้มันยังพอใจที่จะอยู่ในที่เย็น ๆ ชื้น ๆ ไม่ยุ่งกับเราตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่
แต่ถ้าภาวะโลกร้อนเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนอุณหภูมิศพกับอุณหภูมิตอนมีชีวิตแทบไม่ต่างกันแล้ว เชื้อราที่ปรับตัวได้อาจเปลี่ยนเมนูอาหารของมันมาลองของแปลกคือมนุษย์เป็น ๆ
1
ถึงตอนนั้นเราก็มีแต่ภูมิคุ้มกันที่ช่วยปกป้องเรา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกบที่สูญพันธ์ุไปกว่า 200 ชนิดจากเชื้อรา (Chytrid fungus อ่านได้ในตอนที่ 2)
ข่าวดีคือมีกบบางชนิดเริ่มฟื้นตัวจากการล่าสังหารของเชื้อรา กลับมาเพิ่มจำนวนในธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์พบว่าสารคัดหลั่งจากหนังของกบพวกนี้ต่อต้านเชื้อราได้ดีขึ้น
ข่าวร้ายคือเชื้อราพวกนี้ไม่มีเศษเสี้ยวของความเมตตาใด ๆ มันยังคงความร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง
เชื้อโรคกับเหยื่อก็เหมือนกับคู่สามีภรรยาที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ปกติเป็นที่ยอมรับกันว่า เมื่อเชื้อโรคพบเหยื่อรายใหม่ หากตอนแรกมันก่อให้เกิดความรุนแรงเกินไป เชื้อนั้นจะปรับตัวลดความร้ายกาจลง เพื่อให้เหยื่อรายใหม่เหลือรอดในการแพร่กระจายเชื้อ
จึงเป็นเหตุผลว่า พวกเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่กลายพันธุ์หรือมาจากสัตว์อาจจะฆ่าคนไปค่อนโลกแต่ไม่สามารถสังหารคนจนหมดโลกได้
แต่ดูเหมือนว่าเชื้อราจะไม่สนเหยื่อของมันเลยว่าจะเป็นหรือตาย ไม่คิดแม้แต่จะเลี้ยงไว้ดูเล่นซักตัวสองตัว แสดงว่าเหยื่อของมันในธรรมชาติมีมากมายจนไม่ต้องง้อเหยื่อชนิดใดชนิดหนึ่ง
ไม่มีความแตกต่างใด ๆ ในเชื้อราที่แยกได้จากตอนที่มันเริ่มทำลายล้างกบกับจากเชื้อราที่แยกได้จากกบที่เริ่มฟื้นกลับมาในธรรมชาติ เป็นกบฝ่ายเดียวที่พยายามปรับตัวต่อสู้
เราไม่มีวัคซีนสำหรับเชื้อรา และยาต้านเชื้อราก็มีจำนวนจำกัด ก็ได้แต่หวังว่าโลกเราจะไม่ร้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะดูเหมือนว่าเชื้อราจะไม่อยู่ในความสนใจนัก จึงไม่ค่อยมีการเตรียมตัวรับมือ ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะมันยังไม่เคยก่อปัญหารุนแรงกับคน
ถ้ายุคเชื้อราล่าสังหารมนุษย์มาถึงจริง ๆ คงต้องภาวนาให้เราปรับตัวต่อต้านมันได้ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ในเมื่อเชื้อรามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่อย่างนั้นเราคงต้องอาศัยอยู่ในโดมปรับอากาศขนาดยักษ์เพื่อให้เชื้อราข้างในพอใจที่จะอยู่เย็น ๆ ชื้น ๆ ไม่มายุ่งกับเรา
จะออกไปโลกภายนอกอันร้อนระอุนอกโดม อาจต้องวิ่งตลอดเวลาเป็นหนูถีบจักร เพื่อเพิ่มอุณหภูมิร่างกายขึ้นอีกนิด หยุดวิ่งเมื่อไหร่อาจจะติดเชื้อเมื่อนั้น
หรือเราจะทำให้ตัวเองมีไข้สูงโดยการฉีดเชื้อมาเลเรีย (พลาสโมเดียม) ซึ่งในอดีตใช้บรรเทาอาการของซิฟิลิสขึ้นสมอง (neurosyphilis) ฟังดูน่าสยดสยอง แต่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในสมัยนั้น
เพราะในยุคที่ยังไม่มีเพนนิซิลิน (penicillin) เรารักษาซิฟิลิสด้วยการฉีดสารหนู (Salvarsan) หรือรมปรอท (mercury fumigation) ซึ่งโอกาสตายจากการรักษาพอ ๆ กับหรือสูงกว่าตัวโรคเองด้วยซ้ำ
เราอาจจะหนีไปดาวอังคารเพื่อรอให้โลกเย็นลง ส่วนมนุษย์ที่ถูกทิ้งไว้บนโลกอาจกลายพันธุ์เป็นสัตว์เลือดร้อน (ประชด) อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 45 องศาเซลเซียส หรือไม่ก็ปรับตัวอยู่ร่วมกับราอย่างมีความสุข กลายเป็น "มนุษย์เห็ด" ประดับประดาผิวหนังด้วยเห็ดหลากสีสัน
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาจสูญพันธุ์จากเชื้อราเป็นจำนวนมาก เปิดทางให้สัตว์ปีกที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า (เฉลี่ย 40 องศาเซลเซียส) ขึ้นมาครองโลก เหมือนที่เชื้อราเคยทำให้ไดโนเสาร์หลีกทางให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาแล้ว
สัตว์เลือดเย็นอย่างสัตว์เลื้อยคลานอาจได้กลับมาทวงบัลลังก์ เพราะความได้เปรียบของสัตว์เลือดอุ่นในการต่อต้านเชื้อราจะหมดไป ในขณะที่พวกมันได้เปรียบในแง่ใช้พลังงานน้อยกว่า
ถ้าไม่อยากเผชิญหน้ากับเชื้อราสุดโหดในอนาคต เราคงต้องรีบช่วยกันลดภาวะโลกร้อน และหวังว่าเราจะเตรียมรับมือมันได้ทัน หากเชื้อราหันมาเล่นงานเราจริง ๆ
จะว่าไปแล้ว ในอดีตอันไกลโพ้น เรามีปัญหาตรงกันข้าม พวกต้นไม้พัฒนาลิกนิน (lignin) เพิ่มความแข็งแกร่งกับไม้ซึ่งย่อยสลายยากมาก
เซลลูโลส (cellulose) ว่าย่อยยาก ก็ยังพอมีเชื้อโรคที่ย่อยมันด้วยเอนไซม์เซลลูเลส (cellulase) แต่ลิกนินแทบไม่มีพันธะส่วนไหนให้ย่อย (hydrolyze) ได้เลย
การที่ลิกนินถูกทำลายยากมาก ก่อปัญหาคือ ต้นไม้ดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์์ (CO2) ในอากาศมาสังเคราะห์สร้างส่วนประกอบต่าง ๆ เมื่อไม่มีใครย่อยสลายมัน ก็ไม่สามารถปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศได้
เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกร่อยหรอลง ก็จะเกิดปัญหาโลกเย็นแทน กลายเป็นมลภาวะจากต้นไม้
ถ้าตอนนั้นมีมนุษย์แล้ว ใครไปปลูกป่าคงโดนประณาม ถ้าอยากรักษาสิ่งแวดล้อมเราต้องถางป่า เผาป่า
โชคดีที่พวกเชื้อรากลุ่มหนึ่ง (white-rot fungi) พัฒนาความสามารถให้ทำลายลิกนินได้ คืนคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศได้ โดยการถล่มลิกนินด้วยอนุมูลอิสระ (free radical)
หากเปรียบเทียบการย่อยด้วยเอ็นไซม์ เหมือนเอากุญแจไปไขเปิดประตูอย่างนุ่มนวล การใช้อนุมูลอิสระก็คงเหมือนการใช้ปืนกลหรือขวานจามถล่มให้ประตูเปิด ถึงจะดูห่ามไปหน่อยแต่ก็ได้ผลดี
แต่มนุษย์เราห่ามยิ่งกว่าคือเผามันเลย ทั้ง ต้นไม้ น้ำมัน ถ่านหิน คืนคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกกักไว้เป็นล้าน ๆ ปี สู่บรรยากาศอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะโลกร้อนอย่างทุกวันนี้
ดูเหมือนเชื้อราจะเป็นผู้คุมกฎ คอยนำสมดุลมาสู่พลัง
ใคร "เก๋า" เกินหน้าเกินตา จะโดนไล่ล่า ที่ผ่านมามีทั้งต้นไม้ และไดโนเสาร์ (อ่านได้ในตอนที่ 1)
และสิ่งมีชีวิตที่ "เก๋า" ที่สุดในสายตาเชื้อราตอนนี้จะเป็นใครได้
ถ้าไม่ใช่มนุษย์เรา
เชื้อราก็คงเปรียบได้กับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (disruptive technology) ทั้งหลาย ที่เปิดโอกาสให้มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลาดใหม่ ผู้ประกอบการใหม่ อาชีพใหม่ แต่ก็ทำลายผลิตภัณฑ์เก่า ตลาดเก่า ผู้ประกอบการเก่า อาชีพเก่า ใครปรับตัวไม่ได้ ก็ล้มหายตายจากกันไป
บ่อยครั้งที่เทคโนโลยีเหล่านี้ใช้เวลานานมากกว่าจะออกจากห้องทดลองมาให้ใช้ และก็ใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าผู้บริโภคจะยอมรับ หลังจากนั้นอีกไม่นานมันจะกลายเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้และเขี่ยเทคโนโลยีเก่าออกไปอย่างสมบูรณ์
บางครั้งทั้งหมดนี้ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษเลยทีเดียว เราไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่มีเวลาปรับตัว แต่เป็นเราไม่สนใจหรือเราไม่อยากปรับตัวเองต่างหาก ผู้ที่เตรียมพร้อมปรับตัวไว้ก่อนย่อมได้เปรียบ
1
ก่อนหน้านี้เรา (สัตว์เลือดอุ่น) เป็นผู้เล่นใหม่ที่ได้ประโยชน์จากเชื้อรา ที่ช่วยกวาดล้างผู้เล่นเก่าคือไดโนเสาร์ออกไป เพราะเราปรับตัวให้มีอุณหภูมิสูงคงที่
แต่ตอนนี้เรากำลังจะกลายเป็นผู้เล่นเก่า และเชื้อราก็ให้เวลาเรามาพอสมควรแล้ว เมื่อถึงวันที่เห็ดรางอกขึ้นมาบนศพของมนุษย์คนสุดท้าย มันคงอยากจะหันมาบอกเราว่า
"เราเตือนคุณแล้ว"
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านแข็งแรงไม่มีเชื้อรามารังควาญ
โปรดติดตามเรื่องถัดไป
แบคทีเรียจรจัด: วิธีตายสุดฮิตของคนรุ่นใหม่
11 บันทึก
91
22
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาษีเชื้อรา
11
91
22
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย