27 ธ.ค. 2018 เวลา 01:34 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ภาษีเชื้ิอรา: ตอนที่​ 4 การตอบโต้ของเชื้อรา
เมื่อเชื้อราอยากเขมือบมนุษย์ตัวเป็น​ ๆ​
หนองจากต่อมหมวกไตผู้ป่วย​ที่ติดเชื้อราฮิสโตพลาสมาเมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ เห็นสายราที่งอกออกมารอบ​ ๆ​ เมื่อตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
The Fungi Strike Back
ในขณะที่สัตว์วิวัฒนาการเพิ่มอุณหภูมิร่างกายและการเกิดไข้​ เพื่อหลีกหนีจากเชื้อรา​ ทางฟากเชื้อราก็มีวิวัฒนาการให้เกิดการติดเชื้อในสัตว์เลือดอุ่นได้​
แต่ก่อนอื่นขออธิบายลักษณะพื้นฐาน​ 2 อย่าง​ ของเชื้อราก่อน​ ได้แก่​ ราสาย​ (mold) ซึ่งมีสายรา​ (hyphae) เป็นเส้นยาวแตกกิ่งก้านและสร้างสปอร์ (spore) ได้​ กับยีสต์​ (yeast) ซึ่งเป็นเซลล์เดี่ยว​ ๆ​ เพิ่มจำนวนโดยการแตกหน่อ​ (budding) หรือแบ่งเซลล์แบบอื่น​ ๆ
ราสายขนาดค่อนข้างใหญ่มากเมื่อเทียบกับเซลล์​ มันจึงแพร่กระจายไปอวัยวะต่าง​ ๆ​ ในร่างกายได้ยาก แต่มันสามารถชอนไชทะลุทะลวง​ (local invasion) ได้ดี​ ในขณะที่ยีสต์มีขนาดเล็กจึงแพร่กระจายได้ง่ายกว่า
การติดเชื้อรามักเริ่มจากเราหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราเข้าไป​ หลังจากนั้นสปอร์จึงงอกเป็นราสายหรือกลายเป็นยีสต์​ ขึ้นกับชนิดของราหรือสภาพแวดล้อม
เชื้อราเพิ่มความสามารถในการก่อโรคในสัตว์เลือดอุ่นโดย
1. ทนความร้อน​ (thermotolerance) เป็นความต้องการพื้นฐาน​ เชื้อราทุกชนิดที่จะรุกรานเข้าไปในร่างกาย​ อย่างน้อยต้องเติบโตที่อุณหภูมิร่างกายของเราได้​ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือเชื้อรา​ แอสเปอร์จิลลัส​ ฟูมิกาตัส [Aspergillus​ fumigatus]​ ซึ่งเป็นราสาย​ที่ก่อโรคในคนบ่อยที่สุด​ เชื้อนี้ทนความร้อนได้สูงมาก​ และมีสปอร์ขนาดเล็กเข้าสู่ปอดได้ง่าย
เชื้อราบนจานเพาะเชื้อที่ได้จากเสมหะของผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส 3 ชนิดพร้อมกันที่ปอด​ (สีเทา​ [A.​ fumigatus], สีเหลือง​ [A. flavus], สีดำ​ [A. niger], เมือกสีขาว​ bacteria)
เชื้อรา​แอสเปอร์จิลลัส​ ฟลาวัส [A. flavus] ภายใต้กล้องจุลทรรศน์​ เป็นเชื้อราที่สร้าง​ อะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งตับได้
2. แปลงร่าง​ด้วยความร้อน เชื้อราสองสัณฐาน​ (dimorphic fungi) ยกตัวอย่างเช่น​ ฮิสโตพลาสมา​ [Histoplasma]​ ที่อุณหภูมิห้องประมาณ​ 25​ องศาเซลเซียส​ เชื้อนี้มีสภาพเป็นราสายเพิ่มจำนวนโดยสร้างสปอร์เหมือนราทั่วไป​ แต่ถ้าสปอร์มันเข้าสู่ร่างกายมนุษย์​ที่​ 37​ องศาเซลเซียส​ มันจะกลายร่างเป็นยีสต์​ และก่อโรคในคนได้
เชื้อราฮิสโตพลาสมาจากจานเพาะเลี้ยงที่อุณหภูมิห้องเป็นราสายสร้างสปอร์ได้​ (กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายต่ำ)
เชื้อราฮิสโตพลาสมานับล้านในหนองที่พึ่งได้จากต่อมหมวกไต​ ย้อมสีพิเศษเห็นยีสต์เป็นจุดสีดำ​เล็ก​ ๆ​ จำนวนมหาศาล​ (กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายต่ำ)​ ซึ่งหากตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง​ มันจะงอกสายราออกมากลายร่างเป็นราสายตามที่เห็นในรูปแรก
ที่กำลังขยายสูง​ เห็นยีสต์ของฮิสโตพลาสมาลักษณะเป็นวงกลมหรือรีคล้ายรูปใบไม้หรือหยดน้ำ
ราบางชนิดอาจเป็นได้ทั้งยีสต์และสายราพร้อม​ ๆ​ กัน​ ทำให้แพร่กระจายและบุกทะลวงได้ดีทั้งคู่​ เช่นเชื้อรา​แคนดิดา [Candida]​ เป็นยีสต์แต่สามารถสร้างสายราเทียม​ (pseudohyphae) และสายราแท้​ (hyphae)​ ได้ด้วย
3. ใช้ความร้อนเป็นพลังงาน​ ในขณะที่​มนุษย์เรามีเมลานินในชั้นผิวหนัง​ ยิ่งมีมากผิวก็ยิ่งเข้ม​ ซึ่งช่วยปกป้องร่างกายเราจากรังสียูวีจากแสงอาทิตยํ​ เชื้อราบางชนิด​ เช่น​ คริปโตคอคคัส​ [Cryptococcus] ก็มีเม็ดสีคล้ายเมลานิน (melanin-like pigment) อยูในผนังเซลล์​ ซึ่งสามารถดูดซับความร้อนที่เราแผ่ออกในรูปของรังสีอินฟราเรด​ (infrared) เอาไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของในการบุกรุกร่างกายเราได้
แต่โชคดีที่เชื้อราก่อโรคที่ปรับตัวกับอุณหภูมิสูง​ ๆ​ได้​ มีจำนวนชนิดไม่มากนัก และมักก่อโรครุนแรง​ไม่มาก ยกเว้นในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
จากราทั้งหมดกว่า​ 1.5​ ล้านชนิด​ มีแค่ประมาณ​ 300​ ชนิดที่มีรายงานว่าก่อโรคในคนได้​ แต่ที่เจอบ่อยหน่อยระดับหมอทั่วไปพอรู้จัก​ยิ่งมีน้อยชนิดจนแทบจะนับนิ้วได้
แต่เราอาจไม่ได้โชคดีอย่างนั้นตลอดไป
ภาวะโลกร้อน​ (global warming) จะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของสิ่งแวดล้อมขยับเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อย​ ๆ​ เชื้อราก็จะเคยชินกับความร้อนมากขึ้นเรื่อย​ ๆ​ เช่นกัน
อุณหภูมิสูง​ ๆ​ ของร่างกายมนุษย์อาจไม่ช่วยปกป้องเราจากการฆ่าล้างโคตรของเชื้อราอีกต่อไป​ แล้วเราจะตายกันหมดหรือไม่
เรามาติดตามกันในตอนถัดไป​ ซึ่งเป็นตอนจบ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา