13 ม.ค. 2019 เวลา 08:48 • การศึกษา
Uruguayan Air Force Flight 571 เที่ยวบินสุดท้าย รอดตายเพราะกินเนื้อคน!
5
ถ้าต้องกินเนื้อเพื่อนร่วมเดินทางคือคำตอบสุดท้ายของการรอดชีวิต คุณจะทำหรือไม่?
11
Based on true story ของหนังเรื่อง Alive.
ย้อนไปเมื่อปี 1993 หากใครจำได้ หนังเรื่อง Alive เป็นหนังเอาชีวิตรอดจากผู้ประสบภัยเครื่องบินตก ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของเที่ยวบิน Uruguayan Air Force Flight 571 ดูกี่ที่ก็หดหู่ เศร้า แล้วก็ ลุ้น มากๆ ดูไปก็คิดไปว่าหากเป็นเราจะทำอย่างไร และจะทำแบบนั้นไหม เป็นหนังที่ให้ข้อคิดดีมากๆเรื่องนึง
15
แอร์ป้าจึงอยากแชร์
10
ย้อนเวลาไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1972 เครื่องบินของสายการบินอุรุกวัย แฟร์ไชด์ FH-227D ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานคาร์ราสโก้ในอุรุกวัย มุ่งไปยังซานติเอโก้ ประเทศชิลี
1
คนจำนวน 45 คนบนเครื่องบินนี้ส่วนมากเป็นนักกีฬารักบี้ทีม"โอลด์คริสเตียนส์"ของมหาวิทยาลัยสเตลล่ามาริสซึ่งกำลังจะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันที่ประเทศชิลี อีกหลายคนเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ชิลี ลูกเรือ 3 คนและนักบินอีกสองนาย
สภาพอากาศในวันออกเดินทางไม่ดีนัก แฟร์ไชด์จึงต้องหยุดพักคืนหนึ่งที่เมนโดซ่า ก่อนจะออกบินต่อ
1
ในวันที่ 13 ตุลาคม และในเวลาบ่ายสามโมงครึ่งของวันเดียวกัน ขณะที่แฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนเดส พวกเขาประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนักจนเครื่องบินไม่สามารถพยุงตัวอยู่กลางอากาศได้ทำให้ต้องลงจอดฉุกเฉินที่ยอดเขาไร้ชื่อ ซึ่งอยู่นอกเส้นทางการบินเดิม ลำตัวเครื่องกระแทกกับผิวดินอย่างแรงจนปีกทั้งสองข้างและท้ายเครื่องบินหัก ผู้โดยสารสองคนกระเด็นออกไปทางท้ายเครื่อง และอีกหลายคนเสียชีวิตจากการกระแทกนี้ แล้วผู้รอดชีวิตที่เหลือก็ถูกขังไว้ที่ความสูง 10,300 ฟุตในเทือกเขาแอนเดส
10
คนจำนวน 12 คนซึ่งรวมทั้งนักบินหนึ่งนายเสียชีวิตจากการกระแทกดังกล่าว มาร์เซลโล่ เปเรส ซึ่งเป็นกัปตันทีมรักบี้ เป็นผู้รวบรวมคนมาตั้งทีมช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บออกมาจากซากเครื่องบิน
7
โรเบอร์โต้ คาเนสซ่า กับกุสตาโว เซอร์บิโน่ ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์เป็นผู้ทำการรักษาคนเจ็บ
12
ดันเต้ ลากูราร่า ซึ่งเป็นผู้ช่วยนักบินยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาถูกหนีบอยู่ในซากห้องเครื่องจนไม่สามารถขยับตัวได้ในสภาพปางตาย ลากูราร่าทนพิษบาดแผลไม่ไหวและขอร้องกลุ่มชายหนุ่มนำปืนมาให้เขายิงตัวตาย
12
หากทีมรักบี้ซึ่งประกอบไปด้วยคริสเตียนซึ่งถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปร้ายแรงก็ไม่อาจกระทำการคำขอของเขาได้ แล้วในเช้าวันถัดมา ลากูราร่าก็เสียชีวิตไป และยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย
8
หิมะในบริเวณที่เครื่องตกนั้นมีความหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร และไม่มีเครื่องมือรักษาพยาบาลหรือยาที่เพียงพอ ผู้ใหญ่ส่วนมากต่างเสียชีวิตไปแต่เนิ่นๆ คนที่เหลืออยู่ได้แต่นั่งเบียดกันในเครื่องบินที่เหลือแต่ลำตัว ประทังชีวิตด้วยช็อคโกแลตที่มีจำนวนจำกัดและน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ
9
เมื่อมีคนตาย พวกเขาก็ได้แต่ขนศพออกไปข้างนอกและฝังไว้ใต้กองหิมะ....
4
วันที่ 4 นับจากเครื่องตก ชาย 4 คนเดินไปยังส่วนท้ายเครื่องที่ตกอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 ไมล์ ก็ไม่พบอะไรนอกจากศพสองศพและอาหารจำนวนเล็กน้อย
4
วันที่ 9 นับจากเครื่องตก ความหิวโหยทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนอยู่ในขั้นอันตราย คาเนสซ่าจึงตัดสินใจเสนอความคิดใหม่ขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือการนำศพของคนที่เสียชีวิตไปแล้วมาแทนเสบียงนั่นเอง คาเนสซ่ายืนกรานว่าพวกเขาต้องการอาหารที่มีโปรตีนในการจะมีชีวิตรอดไปได้ และโปรตีนเพียงอย่างเดียวที่หาได้ในที่นั้นก็คือศพของพวกพ้องที่ถูกฝังไว้ข้างนอกนี่เอง คาเนสซ่ายังย้ำอีกด้วยว่าพวกเขาควรจะรีบตัดสินใจ เพราะหากปล่อยให้เวลาผ่านไป ทุกคนก็มีแต่จะอ่อนแรงลงจนไม่สามารถไปหั่นเนื้อออกมาจากศพได้
3
ในครั้งแรก ข้อเสนอนี้ถูกคัดค้านอย่างเด็ดขาด หากคาเนสซ่าก็พยายามเกลี้ยกล่อมทุกคนโดยกล่าวว่า"ผู้รอดชีวิตมีหน้าที่ซึ่งจะต้องมีชีวิตรอดไปให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ" พวกเขาต่างพากันถกเถียงเกี่ยวกับข้อเสนอนี้กันอย่างจริงจัง
1
อีกทางด้านหนึ่ง รัฐบาลของชิลี อุรุกวัยและอาร์เจนติน่า ได้จัดทีมช่วยเหลือออกตามหาพวกเขาด้วยเครื่องบิน เมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์โดยที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ การค้นหานี้ก็ถูกระงับลงในที่สุด ผู้รอดชีวิตที่เครื่องแฟร์ไชด์ทราบความเป็นไปนี้จากวิทยุ พร้อมกับที่ทีมช่วยเหลือถูกเรียกกลับ พวกเขาก็รู้ได้ว่าไม่มีใครจะมาช่วยตนอีกแล้ว สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้ก็คือตัวเองเท่านั้น แม้รัฐบาลจะล้มเลิกการค้นหาไปแล้ว แต่ครอบครัวของพวกเขาบางคนก็ยังคงดำเนินการค้นหาต่อด้วยตัวเอง
25
ในจำนวนนี้มีกระทั่งผู้ที่ไปว่าจ้างไซโคเมทเลอร์ชาวฮอลันดา เจอร์ราด คลอเซ็ต (กล่าวกันว่าเป็นไซโคเมทเลอร์อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์) มาช่วยในการค้นหา แต่ก็ไม่มีเบาะแสเพิ่มเติมแต่อย่างใด
10
แล้วพวกเขาก็ตัดสินใจ..........
2 อาทิตย์หลังจากเครื่องบินตก คนหนุ่มๆ ช่วยกันขุดศพขึ้นมา พวกเขาอธิษฐานเพื่อผู้ตายโดยมีคาเนสซ่าเป็นผู้นำและกลืนเนื้อที่เฉือนออกมาลงคอไป แต่ใช่ว่าทุกคนที่จะทำเช่นนั้น มีหลายคนที่ยังคงปฏิเสธที่จะกินเนื้อคนจนวินาทีสุดท้ายคนที่ไม่กินเนื้อพากันอ่อนแรงลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ยอมทานเนื้อลงไปไม่ว่าคนรอบข้างจะพากันเกลี้ยกล่อมอย่างไร พวกเขาพากันเสียชีวิตในไม่ช้า
14
หลังจากการกินเนื้อคนครั้งแรกไปไม่กี่วัน การเฉือนเนื้อจากศพกลายมาเป็นเรื่องธรรมดาอย่างรวดเร็ว มีกระทั่งคนที่พยายามจะขโมยกล่องสำหรับเก็บเนื้อไป หลายคนนำเนื้อมาย่างบนแผ่นฟอยล์ แต่คาเนสซ่าก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้โดยให้เหตุผลว่าเนื้อที่ผ่านไฟแล้วจะมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าเนื้อดิบ ในตอนนี้ ผู้รอดชีวิตมีจำนวนเหลือ 27 คน
14
วันที่ 17 หลังจากเครื่องบินตก พวกเขาพบกับพายุหิมะขนาดใหญ่ ทำให้คน 8 คนเสียชีวิตไป อีก 19 คนที่เหลืออยู่เริ่มมีอาการไม่ดี และหากพายุลูกถัดไปมาถึง ทั้งหมดก็อาจจะเสียชีวิตลงเมื่อใดก็ได้ พวกเขาช่วยกันคิดหาทางจนได้ข้อสรุปว่าควรจะส่งคนที่เหลือเรี่ยวแรงมากที่สุดลงจากเขาไปขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือตามแผน ก็มีอีกคนเสียชีวิตไปในตอนนี้ ผู้รอดชีวิตมีจำนวนเหลือ18 คน
25
1 เดือนหลังจากเครื่องบินตก ในวันที่ 17 พฤศจิกายน คาเนสซ่า, แอนโตนิโอ วิซินติน และ เฟอร์นันโด้ ปาร์ราโด้ ออกเดินจากซากเครื่องไปเพื่อขอความช่วยเหลือ ทั้งสามสวมรองเท้ารักบี้ใส่เสื้อผ้าให้หนาที่สุดเท่าที่จะใส่ได้แล้วเอาเนื้อยัดใส่กระเป๋าไปเป็นเสบียง แต่ 2 วันหลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่าตัวเองได้แต่เดินวนเวียนอยู่ในภูเขานั่นเอง จึงกลับไปยังซากเครื่องบินด้วยความสิ้นหวัง ซึ่งในขณะนั้นก็มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย
26
1 เดือนกับอีก 3 อาทิตย์หลังจากเครื่องบินตก คาเนสซ่ากลายมาเป็นหัวหน้าของคนที่รอดชีวิตอยู่ เขาอธิบายกับทุกคนว่าสมองเป็นส่วนที่มีแร่ธาตุอยู่มากที่สุด และควรจะขุดศพขึ้นมาเพื่อเอาสมองมาเป็นอาหาร ปาร์ราโด้ให้การสนับสนุนความคิดนี้ เขาถึงกับกล่าวว่าเพื่อที่จะรอดชีวิตไปให้ได้ ต่อให้ต้องกินสมองของแม่และน้องที่ตายไปตอนที่เครื่องบินตก เขาก็จะทำ ! และในเวลานี้ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย
32
2 เดือนหลังจากเครื่องบินตก วันที่ 12 ธันวาคมคาเนสซ่า วิซินตินและปาร์ราโด้ ออกเดินไปเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ทั้งสามพากันเดินข้ามเขาไปหลายลูก แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววคน อีกทั้งเสบียงอาหารก็เริ่มร่อยเหรอ วิซินตินจึงมอบเสบียงส่วนของตัวเองให้กับอีกสองคนแล้วกลับไปยังซากเครื่องบิน
33
16 ธันวาคม คาเนสซ่ากับปาร์ราโด้ข้ามเขาอีกลูก ขณะที่กำลังลงเขานั่นเอง พวกเขาก็เห็นพื้นที่ปศุสัตว์และวัวตัวหนึ่ง ทำให้พวกเขาทราบได้ว่าน่าจะมีบ้านคนอยู่ใกล้ๆ
15
21 ธันวาคม ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะล้มลงด้วยความอ่อนแรงนั่นเอง พวกเขาก็เห็นชาวนาคนหนึ่งนั่งอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำ ทั้งสองตะโกนให้อีกฝ่ายขว้างกระดาษกับปากกามาให้แล้วเขียนอธิบายว่าตนเป็นผู้โดยสารของเครื่องบินที่ตกในภูเขา ชาวนาดังกล่าวซึ่งชื่อว่าเซอร์กิโอ คาตาลัน เมื่อทราบเรื่องแล้วก็โยนอาหารข้ามแม่น้ำมาให้ คาตาลันหายไปสามชั่วโมงก่อนจะกลับมาพร้อมกับม้าและพาทั้งคู่ไปยังหมู่บ้านในที่สุด ซึ่งนับเป็นเวลา 10 วันนับจากที่ทั้งสองเดินมาจากซากเครื่องบิน และ 72 วันนับจากเครื่องบินตกทีเดียว
18
ไม่ว่าใครก็ยากจะเชื่อได้ว่าจะมีผู้รอดชีวิตอยู่บนภูเขาหิมะเป็นเวลานานถึงขนาดนั้น พวกเขาส่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังซากเครื่องบินโดยมีปาร์ราโด้เป็นผู้นำทาง
17
และแล้ว ผู้รอดชีวิตจำนวน 16 รายก็ได้รับการช่วยเหลือและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในซานดิเอโก้ในทันที
16
การตรวจที่โรงพยาบาลทำให้ทราบว่าแต่ละคนต่างมีน้ำหนักลดลงฮวบฮาบและมีอาการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง นักข่าวต่างพากันเข้ามาขอสัมภาษณ์ซึ่งพวกเขาต่างก็เตรียมใจว่าถึงเวลาที่พวกตนต้องสารภาพสิ่งที่ได้กระทำลงไป (พวกเขาสารภาพกับคณะแพทย์และบาทหลวงไปเรียบร้อยแล้ว)
11
แต่ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 26 ธันวาคม นักข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในซานดิเอโก้ถ่ายภาพขาคนที่ถูกกินเหลือไว้ได้และนำออกเผยแพร่ ทำให้สาธารณชนทราบถึงเบื้องหลังของการรอดตายนี้ ผู้รอดตายจึงเข้ารับการสัมภาษณ์และเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้
14
อาร์คบิชอบ มองเตวิเดโอได้แสดงความเห็นว่า การกินเนื้อคนนี้ไม่น่าจะผิดศีลธรรมแต่อย่างใด เพราะพวกเขาจำเป็นต้องเอาชีวิตรอด แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่ควร พวกเขาก็มีแต่ต้องทานทุกอย่างที่หามาได้เท่านั้นเอง
10
ในขณะเดียวกันก็มีการวิจารณ์ว่าหากคิดเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายคนที่ไม่ยอมทานเนื้อคนจนเสียชีวิตไปนั้น จะถือเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่ ซึ่งการถกเถียงนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้
25
18 มกราคม 1973 กองทัพอากาศอุรุกวัยได้ส่งคนไปยังจุดที่เครื่องบินตกและรวบรวมศพผู้เสียชีวิตมาทำการฝังในที่นั้น พวกเขาตั้งกางเขนไว้เหนือหลุมศพแล้วจุดไฟเผาซากเครื่องบินที่เหลืออยู่
15
กุมภาพันธ์ปี 2005 นักปีนเขาชาวอเมริกาซึ่งเดินทางไปถึงจุดเครื่องบินตก ได้พบของส่วนตัวหลายชิ้นของผู้รอดตายเช่นกระเป๋าเงิน ฟิมล์กล้องถ่ายรูป เสื้อแจ็คเก็ตและอื่นๆ เขานำมันกลับไปส่งให้ผู้เป็นเจ้าของซึ่งนับเป็นเวลา 32 ปีหลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่เทือกเขาแอนเดส
6
เมื่อปี 1993 ผู้กำกับแฟรงค์ มาแชลได้นำเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Alive: The Miracle of the Andes (นำแสดงโดยอีธาน ฮอว์ค และจอห์น มัลโก้วิช)
16
อ่านจบถึงตรงนี้ แล้วคุณล่ะ ยังคิดที่จะทำแบบเดิมรึเปล่า?
10
อย่างน้อยเคสนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า บางครั้งเราก็ต้องทำอะไรที่เหนือความคาดหมาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ
21
ความต้องการ และความถูกต้องที่สวนทางกัน ก็ไม่ได้ผิดทุกครั้งเสมอไป..เพราะ "ไม่สำคัญว่าคุณจะมีชีวิตรอดอย่างไร แต่สำคัญที่คุณจะมีชีวิตอยู่รอดเพื่ออะไร" นี่แหละที่สำคัญกว่า
21
ป.ล. บล็อคนี้มีความดราม่าซ่อนอยู่ แอร์ป้าขอเวลาไปปรับ อารมณ์แปปเด้อออ..... T.T
26
#แอร์ป้าห้าดาว
14
credit
ภาพทีมนักรักบี้ และเครื่องบิน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา