15 ม.ค. 2019 เวลา 15:35 • บันเทิง
นิทานยอดนักรบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อาณาจักรต่างๆยังคงถูกแยกออกจากกัน ในสมัยนั้นยังมีแต่สงครามรบพุ่งกันอยู่ ทุกวันมีแต่สงครามเพื่อการเอาชนะคะคานระหว่างอาณาจักร
จนกระทั่งมียอดนักรบผู้หนึ่งได้ถือกำเนิดมาในตระกูลขุนศึก ด้วยปฎิภาณ ไหวพริบ และความแข็งแกร่งทางร่างกายอันสุดยอดประดุจได้รับพรจากเหล่าทวยเทพ ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ ประกอบกับชาติกำเนิด จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจที่ยอดนักรบจะได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งทางทหารที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
อายุสิบปี คุมหน่วยสิบคน
อายุสิบสองปี คุมกองร้อย
อายุสิบห้า คุมกองพัน
พออายุยี่สิบ ได้รับตำแหน่งแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในอาณาจักร ด้วยผลงานการรบชั้นยอดจากการสังหารแม่ทัพซึ่งมีชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งตั้งแต่คุมหน่วยสิบคน จนถึงขึ้นเป็นแม่ทัพ ยอดนักรบก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงวิธีเอาชนะข้าศึกมาก่อน ใช้เพียงพลังทางร่างกายและความปราดเปรียว ประกอบกับวิชาต่อสู้ชั้นเลิศที่ได้จากตระกูล วิ่งเข้าหาผู้นำฝ่ายตรงข้ามและจัดการเอาชนะให้ได้ เท่านี้กองทัพฝ่ายตรงข้ามก็แตกเสียแล้ว ดังคำกล่าว ตีงูให้ตีที่หัว
ด้วยผลงานและความสามารถตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งเพื่อนทหารและชาวบ้านต่างเรียกเขาว่ายอดนักรบตลอดเวลา จนในที่สุดเวลาผ่านไป จนเขาก็ไม่จดจำชื่อเดิมของตัวเองอีกต่อไป ได้แต่ยอมรับเอาชื่อ ยอดนักรบ มาเป็นชื่อของตนแทน
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สงครามก็ย่อมมีวันสิ้นสุดเช่นกัน แต่ละอาณาจักรเริ่มตกลงสัญญาสงบศึกกัน เพื่อให้ผืนดิน และพลเมืองมีเวลาพักฟื้นจากสงคราม โดยจากสงครามในอดีตที่ผ่านมาก็ช่วยให้อาณาจักรของยอดนักรบขยายใหญ่ออกไปสุดลูกหูลูกตา ชนิดเอาม้ามาวิ่งติดต่อกันสิบวันสิบคืนก็ไม่อาจพ้นจากอาณาจักรของยอดนักรบได้
แม้สงครามจะสิ้นสุด แต่ไฟสงครามในใจยอดนักรบไม่เคยจบสิ้น เขายังเป็นผู้กระหายสงครามและการต่อสู้ จากการใช้ชีวิตบนหลังม้า ท่ามกลางการรบพุ่งมาตลอดช่วงที่ผ่านมา มันยากยิ่งที่เขาจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นคนธรรมดาอีก นอกจากดื่มสุราให้จบสิ้นในแต่ละวันแล้ว เขาได้แต่ตระเวนหาเวทีการพนันต่อสู้เพื่อดับไฟสงครามในจิตใจเป็นพักๆเท่านั้น ซึ่งทันทีที่มีคนจดจำได้ว่าเขาคือยอดนักรบ คู่ต่อสู้ก็ชิงยอมแพ้โดยไม่ขอขึ้นเวทีด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้จิตใจยอดนักรบร้อนรนอยากให้เกิดสงครามขึ้นมาอีก
เวลาผ่านไปนานอีกหลายปี ยุคแห่งความสงบสุขซึ่งดูท่าจะไม่จบสิ้น ก็พาลต้องสิ้นสุดลง เมื่ออาณาจักรข้างเคียงที่มีขนาดหดเล็กลงจากการรบพุ่ง เริ่มทนอยู่ไม่ได้จากการที่พื้นดินที่เหลือนั้น นอกจากมีขนาดเล็กกว่าอาณาจักรเพื่อนบ้านแล้ว ยังต้องเจอภัยแล้งอีกต่างหาก
เมื่อความต้องการของประชาชน เหล่าขุนนางและพระราชาเป็นหนึ่งเดียวกัน อาณาจักรดังกล่าวจึงจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาทันที ประชาการแทบจะทั้งหมดประกาศเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อทำการฝึกฝน และประกาศเคลื่อนพลสู่อาณาจักรที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งก็คืออาณาจักรของยอดนักรบ
เมืองหน้าด่านถูกถล่มทันที ผลพวงจากการที่อาณาจักรสงบสุขเป็นเวลานาน ทำให้ไม่พร้อมกับการสู้รบแม้แต่น้อย เหล่าขุนนางของอาณาจักรถูกพระราชาตามตัวเข้าวังทันทีเพื่อวางแผนปราบข้าศึก แน่นอนชื่อแม่ทัพย่อมไม่พ้นยอดนักรบ แม้จะแก่ชรา แต่ด้วยผลงานในอดีต และที่ผ่านมาก็ไม่เกิดสงครามอีก ยอดนักรบจึงเป็นชื่อแรกและชื่อเดียวที่ถูกเสนอ
ฝ่ายยอดนักรบเมื่อได้รับคำสั่งย่อมไม่ปฎิเสธ ในจิตใจของเขายังคงคุกรุ่นด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้ ความกระหายสงครามไม่ยิ่งหย่อนกว่าเมื่อยังวัยเยาว์ ยิ่งได้ยินชื่ออาณาจักรที่มาตีดินแดนของตน ยอดนักรบยิ่งนึกอยากหัวร่อดังๆออกมา เนื่องจากอาณาจักรดังกล่าวเป็นรองตนมากมาย และที่ตนก้าวมาเป็นยอดนักรบทุกวันนี้ก็ได้จากการสังหารแม่ทัพอาณาจักรดังกล่าวอีกต่างหาก
ยอดนักรบคิดได้ดังนั้นก็สั่งรวมไพร่พลที่มาจากชาวบ้านทันที ไม่เสียเวลาแม้กระทั่งฝึกฝน จากนั้นก็เคลื่อนพลเพื่อไปประจันหน้ากับกองทัพฝ่ายตรงข้าม แผนของยอดนักรบมีเพียงแค่แผนเดียวตลอดมา นั่นคือสังหารผู้นำฝ่ายตรงข้ามเพื่อจบสงคราม ดังนั้นยอดนักรบจึงไม่ได้ใส่ใจทหารฝ่ายของตนนัก
เมื่อทั้งสองกองทัพมาประจันหน้ากันในยามเที่ยง ยอดนักรบก็สังเกตชุดเกราะและตำแหน่งการยืนของผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุด ซึ่งคาดว่าคงเป็นผู้นำ หลังจากนั้นยอดนักรบก็ชักดาบออกมาพร้อมกับชี้ไปที่หน้าฝ่ายตรงข้าม เพื่อเป็นการเชื้อเชิญให้ออกมาสู้กับตน ข้างฝ่ายอาณาจักรตรงข้ามย่อมรับคำท้าดังกล่าว เพราะการศึกที่ยืดเยื้อย่อมไม่เป็นการดีกับฝ่ายตนที่กองทัพมีขนาดเล็กเช่นกัน
การที่ฝ่ายตรงข้ามก้าวขึ้นมาเพื่อแสดงว่ายอมรับคำท้าอย่างไม่อิดออด ย่อมสบอารมณ์ของยอดนักรบยิ่งนัก ทั้งสองก้าวเข้าหากันอย่างช้าๆ ไม่เร่งไม่รีบ ในใจยอดนักรบรู้สึกดียิ่งนักที่ได้กลับมาในสมรภูมิเช่นนี้อีก ใจเป็นเช่นไร ร่างกายก็เป็นเช่นนั้น ยอดนักรบชิงออกดาบแรกก่อนอย่างไม่รีรอ ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่รีบร้อนทำเพียงตั้งรับอย่างใจเย็น ผ่านไปสามร้อยกระบวนท่า ยอดนักรบซึ่งเอาแต่เป็นฝ่ายรุกเริ่มอ่อนแรง ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มสังเกตได้ จึงเริ่มเปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก ยอดนักรบได้แต่ปัดป้องเป็นพัลวัน ไม่เหมือนครั้งในอดีตที่ตนสู้ไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถสังหารข้าศึกได้อย่างง่ายดาย ในใจยอดนักรบไม่ยอมรับ แต่ร่างกายกลับอ่อนล้า ผลจากกาลเวลา ผลจากสุราในช่วงที่ผ่านมามันเริ่มส่งผลทีละน้อย ฝ่ายตรงข้ามไม่รีรออีกต่อไป ทำการพลิกดาบให้เป็นมุมสะท้อนกับแสงแดดยามเที่ยง เพื่อขัดขวางการมองของยอดนักรบ และใช้กระบวนท่าเผด็จศึกทันที ร่างกายของยอดนักรบค่อยๆร่วงหล่นลงสู่ผืนพสุธาอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของกองทัพทั้งสอง กองทัพของยอดนักรบแตกพ่ายด้านจิตใจเมื่อผู้นำล้มลง ไม่ผิดกับฉากในอดีตที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้มันกลับเป็นฝั่งอาณาจักรของยอดนักรบเสียเองที่ต้องเล่นบทของผู้แพ้
ข้างฝ่ายยอดนักรบ ก่อนจะสิ้นลมหายใจ ได้แต่ร้องตะโกนในใจว่า เป็นไปไม่ได้ ข้าคือยอดนักรบ ข้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ข้าคือตำนานไร้พ่ายของอาณาจักร แต่เมื่อยอดนักรบได้ยินทหารของฝ่ายตรงข้ามตะโกนคำพูดออกมา เขาก็เข้าใจและได้แต่ยอมให้ยมฑูตพาวิญญาณของเขาไปสู่ภพภูมิต่อไป คำพูดที่เขาได้ยินครั้งสุดท้ายก็คือ ยอดนักรบ ยอดนักรบ ยอดนักรบ ซึ่งก็คือคำที่ใช้สรรเสริญผู้ที่ต่อสู้เก่งที่สุดของอาณาจักรนั่นเอง
นิทานเรื่องนี้สอนอะไร
ไม่มีใครเก่งที่สุดตลอดกาล ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องอยู่ภายใต้สภาวะของความเตรียมพร้อม การทำงานเป็นทีม การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์คู่แข่ง ในเรื่องยอดนักรบผู้มากความสามารถ ไม่เคยต้องการใครช่วยจากผลงานในอดีตที่ผ่านมา ที่ผ่านมาเขาชนะมาตลอด เพาะสร้างเป็นความเชื่อมั่นในใจจนมากเกินไป ที่ผ่านมาในโลกธุรกิจเราก็คงเคยเห็นยักษ์ล้มมาแล้วจากความมั่นใจที่ไม่ยอมปรับตัว เช่น NOKIA บริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ในอดีต ที่ยึดมั่นแนวทางการทำมือถือของตนจนเป็นสาเหตุให้ยักษ์ล้มมาแล้ว เมื่อเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน ดังนั้นหากเราไม่อยากจบด้วยการล้มลงแบบยักษ์ล้มเช่นนี้ก็ต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและเตรียมพร้อม
ปรับ คือ ปรับสไตล์การบริหารการทำงาน ในเรื่องยอดนักรบไม่พึ่งพาใครเลย นั่นย่อมไม่ถูกต้องแน่นอน ในโลกการทำงานยุคปัจจุบันทีมเวิร์คคือสิ่งสำคัญที่สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ หมดสมัยวันแมนโชว์ไปแล้ว ไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่อง ดังนั้นต้องอาศัยทีมงานจึงจะสร้างความสำเร็จได้
เตรียมพร้อม คือ การเตรียมข้อมูลทั้งของเราและคู่แข่ง เตรียมการฝึกฝนพัฒนา ตลอดเวลา โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ข่าวสารเป็นสิ่งมีค่าดั่งทองคำ ทรัพยากรมนุษย์ก็เช่นกัน ในเรื่องยอดนักรบและอาณาจักรของตน ไม่เคยประเมินคู่ต่อสู้ ไม่เคยทราบข่าวสารการยกทัพจากอีกฟาก เพียงเข้ายุคสงบสุขกิจกรรมทางทหารก็ขาดความเตรียมพร้อม ทหารก็ขาดการฝึกฝน ต่อให้ไม่ใช่การดวลตัวต่อตัว ผลก็คงไม่ต่างกัน ทหารที่ได้รับการฝึกฝนย่อมมีค่ามากกว่าชาวบ้านธรรมดาแน่นอน
สุดท้าย กาลเวลาไม่เคยปรานีใคร ท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องแก่ชรา สิ่งที่ทุกคนควรทำก็คือการยอมรับในข้อจำกัดของตน และควรส่งองค์ความรู้ ถ่ายทอดความรับผิดชอบให้คนรุ่นใหม่สืบทอดต่อไป มิเช่นนั้น ซักวันก็จะเหมือนกับอาณาจักรของยอดนักรบที่ไม่รู้จักหาตัวแทน เมื่อต้องไปเจอคลื่นลูกใหม่ ก็ทำให้ยอดนักรบต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
ท้ายสุดนี้ อย่าลืมถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอดปัญญา ส่งต่อคบไฟให้แก่คนรุ่นใหม่สืบต่อไปครับ ;-)
Original Story by review.everything.jinglebell

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา