12 ก.พ. 2019 เวลา 01:09 • ธุรกิจ
The Innovators ตอนที่ 7 : Theodore Roosevelt
ต้องบอกว่า อเมริกา ภายใต้ยุคเหล่าผู้บุคเบิก ไม่ว่าจะเป็น Vanderbilt , Rockefeller , Carnegie , Thomas Edison , J.P Morgan หรือ Nikola Tesla นั้น นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองในปี 1865 หลังจากนั้นเพียงไม่เกิน 35 ปี ประเทศอเมริกาได้ยกระดับประเทศขึ้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ และมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอิทธิพลต่อทั่วโลกทันที เพราะนวัตกรรมทั้งหมด มันเกิดขึ้นในประเทศแห่งดินแดนเสรีภาพนี้ และมันเปลี่ยนอเมริกาไปตลอดกาล
The Innovators ตอนที่ 7 : Theodore Roosevelt
แต่ถึงตอนนี้ มันกำลังถึงก้าวที่สั่นคลอนของเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ทั้ง Rockefeller ,Carnegie รวมถึง J.P Morgan นั้นต้องพักศึกชั่วคราวหันมาร่วมมือกัน เพื่อเป้าหมายไม่ให้ธุรกิจที่พวกเขากำลังผูกขาดล้มครืนลงมาต่อหน้าต่อตาได้
ตอนนี้ เหล่าประชาชนผู้ยากไรต่างเริ่มไม่พอใจ กับการผูกขาดธุรกิจของเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้ง 3 มันทำให้ช่องว่างระหว่างความรวยกับความยากจนข้นแค้นของชาวอเมริกานั้น ถีบตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาเหล่านี้ได้เลย
Rockefeller , Carnegie รวมถึง Morgan ณ ตอนนี้มีทรัพย์สินรวมกันถึง กว่า หนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน พวกเขากำลังควบคุมประเทศอยู่ เศรษฐกิจทั้งประเทศกำลังถูกผูกขาดโดยพวกเขา
สามผู้ยิ่งใหญ่มีทรัพย์สินรวมกันกว่า หนึ่งล้านล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน
เหล่าคนงานอยู่ในสภาพความยากจน รวมถึงสภาพการทำงานก็เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนั้น มันกำลังจะถึงจุดเปลี่ยน เพราะจะมีการเลือกตั้งในปี 1896 มันมีชายคนหนึ่งที่จะตอบสนองความโกรธแค้นของประชาชน และมุ่งมั่นที่จะเข้าไปสู่ทำเนียบขาวเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้ได้
เขาคือ William Jennings Bryan นักการเมืองหนุ่มหน้าใหม่ เขาได้เริ่มการออกหาเสียง โดยมีนโยบายหลักคือความเท่าเทียม เขาจะขอเป็นเสียงให้กับคนจน และจะสู้กับยักษ์ใหญ่ของประเทศนี้
เขาได้กลายเป็นกระบอกเสียงของประชาชน และเข้าใจถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาต้องการล้มเหล่าธุรกิจยักษ์ใหญ่นี้ ประชาชนต้องการการป้องกันการผูกขาด มันกลายเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่หลวงที่สุดนับตั้งแต่เหล่าผู้บุกเบิกเคยเจอมา
William Jennings Bryan นักการเมืองหนุ่มผู้ลุกขึ้นมาท้าทายเหล่าผู้มีอิทธิพล
แต่ด้วยเงินทองที่มากมายของพวกเขาทั้งสาม รวมถึงการผนึกกำลังกันเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้นั้น พวกเขาได้ใช้อิทธิพลทั้งหมด โดยเฉพาะเหล่านักการเมืองที่ต้องการเงิน เงินของพวกเขาเหล่านี้นั้นมากพอที่จะซื้อใครก็ได้ที่จะทำประโยชน์ให้กับพวกเขา
ตอนนั้น William Jennings Bryan นั้นลงสมัครในนามของพรรค รีพับรีกัน พวกเขาจึงต้องสนับสนุนฝั่งตรงข้ามเลยเล็งไปที่  William Mckinley ที่เป็นอดีตผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ที่เข้าใจถึงอุตสาหกรรมสมัยใหม่มากกว่า พวกเขาจึงได้ทุ่มเงินอย่างเต็มที่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ในแคมเปญการรณรงค์หาเสียงของ Mckinley
William Mckinley ผู้มาเป็นตัวแทนของเหล่าผู้มีอิทธิพล
พวกเขาได้ใช้อิทธิพลไปทั่ว รวมถึงการซื้อสื่ออย่างกว้างขวางเพื่อกระจายไปยังกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ แต่ Bryan นั้นก็ไม่ยอมแพ้ โดยการออกเดินสายหาเสียงไปทั่วประเทศ ไปพูดกับประชาชนโดยตรง ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบของการหาเสียงเลือกตั้งจนมาถึงปัจจุบันนี้
มันเป็นการสู้ศึกกันอย่างดุเดือด มันการเล่นสกปรกกันอย่างมากมาย โดยฝ่าย 3 ผู้มีอิทธิพล  ทั้งประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายคนรวย กับ ฝ่ายคนจน ซึ่งแน่นอนว่า ฝ่ายคนจนนั้นมีมากกว่าอยู่แล้ว เป็นการเลือกตั้งที่คึกคักเป็นอย่างมาก ประชาชนกว่า 90% เข้าคูหาเลือกตั้ง
ตอนนี้อนาคตของคนทั้งชาติแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทั้งสองฝ่ายต่างรอผลการเลือกตั้งอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งในที่สุดผลการเลือกประธานาธิบดีก็ออกมา Mckinley เอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิด และแน่นอนฝ่ายคนรวยเอาชนะไปได้สำเร็จ
มันทำให้ Rockefeller , Carnegie และ Morgan มีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม และถึงเวลาแล้วที่ต้องยกเลิกการเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง พวกเขาจึงต้องกลับมาแข่งขันกันเหมือนเดิม
การโดนไฟฟ้าเริ่มมาแย่งตลาดน้ำมันก๊าซของ Rockefeller ทำให้เขาเริ่มมองหาธุรกิจใหม่มาเสริมความแข็งแกร่งให้เขา และเขาเล็งไปที่ ธุริจเหล็ก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ Carnegie
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แร่เหล็กซึ่งมีมากมายมหาศาลในขณะนั้น มันทำให้ Carnegie ไม่ค่อยจะสนใจกับการเข้ามาสู่ธุรกิจเหล็กของ Rockefeller เพราะเขามองว่า เขาทำมานานและมีประสบการณ์มากกว่า ยากที่ Rockefeller จะตามทันในธุรกิจที่เขาถนัดอย่างธุรกิจเหล็กกล้า
Rockefeller เจาะฐานที่มั่น Carnegie เริ่มต้นจากเหมืองถลุงแร่เหล็กก่อน
แต่ดูเหมือน Carnegie จะประเมิน Rockefeller ต่ำไปหน่อย เพราะ Rockefeller ได้เริ่มต้นส่งแร่เหล็กไปยังคู่แข่งของ Carnegie ด้วยสนนราคาที่ต่ำมาก มันทำให้การแข่งขันดุเดือดขึ้น มันไปแย่งลูกค้าของ Carnegie โดยตรง ส่งผลต่อกำไรของ Carnegie โดยตรง
Rockefeller เริ่มคิดแผนใหม่ขึ้นมา เขาจะสร้างโรงงานเหล็กขึ้นมา ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าสิ่งที่ Carnegie ได้สร้างขึ้น Carnegie ต้องขัดขวางทุกวิถีทาง โดยเข้าไปพบกับ Rockefeller เพื่อขู่ให้ Rockefeller เลิกยุ่งกับธุรกิจเหล็กเสีย มันเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้าเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่มีฝ่ายไหนยอมถอย มันเป็นการเจรจาที่ยืดเยื้อกว่าหลายเดือน
Carnegie ไม่มีทางเลือกมากนัก ที่จะรักษาอาณาจักรของเขาไว้ เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ Rockefeller ออกไปจากธุรกิจนี้ซะ สุดท้ายมันก็มีการเจรจาตกลงกันได้สำเร็จ พวกเขาทั้งสองรู้ดีว่าต่างคนต่างยิ่งใหญ่กันเกินไปที่จะมาห้ำหั่นกันเองแบบนี้ มันจะเจ็บตัวทั้งคู่เสียเปล่า ๆ
โดย Carnegie เสนอซื้อแร่เหล็กทั้งหมดที่ Rockefeller ขุดมาได้ โดยบังคับไม่ให้ Rockefeller ห้ามขายไปยังคู่แข่งในธุรกิจเหล็กกล้าของเขา ซึ่งมันเป็น Deal ที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีการรุกล้ำอาณาเขตซึ่งกันและกันแต่อย่างใด
สุดท้ายก็เจรจาผลประโยชน์ลงตัวระหว่าง Carnegie และ Rockefeller
และเรื่องข้อตกลงดังกล่าวนั้นดังไปถึงหูของ J.P Morgan ผู้ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งคน ที่มองเห็นว่าน่าจะทำอะไรบางอย่างได้ ระหว่าง Deal ของ Carnegie และ Rockefeller  Morgan นั้นมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า ทั้ง Carnegie และ Rockefeller
Morgan นั้นใช้ความสามารถของเขาในการเข้าไปเจรจาควบรวมกิจการหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ธุรกิจเหมือนแร่จนถึงการขนส่งทางรถไฟ Morgan ต้องการยุติการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า เขาต้องการรวมคู่แข่งทั้งหมดในอุตสาหกรรมให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว มันเป็นการรวมกิจการที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา และที่สำคัญมันยังมีความเสี่ยงสูงที่สุดอีกด้วย ซึ่งวิธีการก็คือ เข้ายึดอาณาจักรของ Andrew Carnegie ทั้งหมดให้ได้
และมันเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะพอดี ที่ Carnegie ที่ตอนนั้นเหนื่อยกับการต่อสู้อย่างยาวในการแข่งขันของธุรกิจเหล็กกล้า และเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในแนวคิดของตนเอง เพราะมันต้องต่อสู้ไปตลอดอีกชีวิต
มันเป็นวิธีที่เสี่ยงสำหรับ Morgan เขาไม่อาจะเข้าไปคุยกับ Carnegie โดยตรงได้ เขาจึงเลือกที่จะเข้าไปคุยกับผู้ช่วยของ Carnegie แทน ซึ่งเขาคนนั้นคือ  Charles  Schwab ผู้ซึ่งทำงานให้ Carnegie มากว่า 15 ปี ซึ่ง Morgan ต้องการทราบราคาโดยให้ Schwab นั้นไปสืบราคามาให้ และเสนอตำแหน่งประธานบริษัทให้หาก Deal สำเร็จ
1
ความจริงนั้น Carnegie ก็ไม่ได้มีแผนการที่จะขายธุรกิจเหล็กของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่หลังจาก Schwab ได้ลองถามดู หากต้องการขาย Carnegie จะขายที่ราคาเท่าไหร่ เขาเลยนึกตัวเลขคร่าว ๆ ว่าน่าจะประมาณ 480 ล้านเหรียญ หรือ เทียบเท่า 400,000 ล้านเหรียญหากเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน
1
มันเป็นจำนวนที่สูงยิ่งกว่างบประมาณของรัฐบาลสหรัฐทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ ตัว Carnegie เองก็คงไม่คิดว่า J.P Morgan นั้นจะบ้าซื้อได้ในราคาดังกล่าวได้อย่างแน่นอน แต่คนอย่าง Morgan นั้นต้องการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมขนาดยักษ์อย่างธุรกิจเหล็กกล้า
มันเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่ ทั้ง Andrew Carnegie และ John D. Rockefeller ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงการที่จะได้เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา และในที่สุด มันก็ถึงเวลาที่ Carnegie ชนะเสียที ข้อตกลงกับ J.P Morgan นั้นมันได้ทำให้ Carnegie มีทรัพย์สินส่วนตัวพุ่งขึ้นไปสูงถึง 310,000 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน และเขายังเป็นผู้ที่เคยมีทรัพย์สินมากที่สุด เท่าที่โลกใบนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นจวบจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถล้มสถิตินี้ได้
หลังจากเป้าหมายของ J.P Morgan สำหรับ เขาได้ตั้งชื่อบริษัทใหม่ว่า U.S Steel มันได้กลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทแรกของโลกที่มูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญ และมันได้ครอบความเป็นใหญ่ในธุรกิจเหล็กกล้าอีกกว่า 100 ปี อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
การควบรวมจนกลายเป็นบริษัท U.S Steel บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนหน้า ถึงแม้เหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ จะซื้อประธานาธิดีขึ้นมาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถหนีการเมืองไปได้ตลอดกาล อำนาจที่พวกเขามีเหนืออุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในประเทศ ได้ดึงดูความสนใจของนักการเมืองคนหนึ่ง ที่ชื่อ Theodore Roosevelt
Roosevelt นั้นมีลักษณะนิสัยแทบจะไม่ต่างจาก เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้ง 3 เขาเป็นคนที่ชอบข่มคนอื่น และมีนิสัยที่ชอบสั่งการ  ตัว Roosevelt เองนั้นเติบโตมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยย่านนิวยอร์ก และกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่แบบเดียวกับที่ Carnegie หรือ Rockefeller ทำได้
แต่แทนที่จะไปเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แบบทั้ง 2 นั้น เขากลับเลือกเส้นทางการเมืองแทน แม้ภาพลักษณ์เขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็พยายามปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองจากชนชั้นสูง มาเป็นคนที่ทำงานเพื่อประชาชน เขาได้สมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพ ในสงครามสเปนนิช-อเมริกัน  เขาได้ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเขาก็ได้กลายมาเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก
Roosevelt เลือกเส้นทางการเมืองแทนการเป็นนักธุรกิจ
Roosevelt นั้นแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ชัดเจนของเขา เขาไม่ต้องการให้ใครมาบังคับเขาได้ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม เขาได้เริ่มท้าทายบริษัทใหญ่ โดยออกกฏหมาย เพื่อให้มีการกดขี่ข่มเหงจากบริษัทใหญ่ ๆ และตอนนี้เป้าหมายใหญ่ที่สุดของเขาคือ การยกเลิกการผูกขาดที่ทรงพลังที่สุดของประเทศ
แต่ด้วยฐานะที่ร่ำรวยอยู่แล้ว มันทำให้เขาไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ดังนั้นเหล่าผู้มีอิทธิพล อย่าง Morgan และ Rockefeller นั้นต้องหาวิธีที่จะทำให้เขาอ่อนแอที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ Roosevelt นั้นขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้
เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามาอีกครั้ง เหล่าผู้ท้าชิงจากปี 1896 ระหว่าง 
Mckinley กับ Bryan และมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังมากมาย เพื่อหวังให้ Mckinley เอาชนะให้ได้อีกครั้ง เหล่าผู้มีอิทธิพลก็ใช้แผนเดิม ๆ ทำให้ Mckeinley นั้นสามารถกลับมาเป็นประธานาธิบดีได้อีกครั้ง
โดยจุดเปลี่ยนที่สำคัยคือ Roosevelt นั้นสามารถก้าวขึ้นมาเป็น รองประธานาธิบดีได้สำเร็จ แต่ต้องบอกว่าในสมัยนั้น ตำแหน่งนี้ไม่ได้มีอำนาจมากมายเหมือนอย่างในปัจจุบัน มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทั้ง Morgan และ Rockefeller ก็ต่างคิดว่าพวกเขาสามารถปกป้องอาณาจักรของตัวเองได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง
Mckinley นั้นได้ดำรงตำแหน่งต่ออีก 4 ปี มันทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลนั้นสบายใจ และพร้อมที่ขยายอาณาจักรของพวกเขาให้ยิ่งใหญ๋ยิ่งขึ้นไปอีก แต่มันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ในเดือนกันยายนปี 1901 นั้น ประธานาธิบดี Mckinley ได้เดินทางไปยังเมืองบัฟฟาโล เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เชิดชูความรุ่งเรืองของอเมริกา
1
แต่ความรุ่งเรืองนั้นกลับไปไม่ถึงทุกคน ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ยากจนนั้นต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด พวกเขาต่างเบื่อความสัมพันธ์ระหว่าง Mckinley กับเหล่ายักษ์ใหญ่ทางธุรกิจที่กำลังผูกขาดประเทศอยู่
Leon Czolgosz เป็นอดีตคนงานในโรงงาน เขาเพิ่งเสียงานในบริษัทแห่งหนึ่งจากการที่ J.P Morgan ได้เข้าไป take over เพื่อรวมให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง U.S Steel เขาเชื่อในลัทธิ Anachy โดยเชื่อว่าคนรวยตักตวงผลประโยชน์จากคนจน และเขามุ่งมั่นที่จะหยุดมันลงให้ได้ และเขาก็ได้ทำการลอบสังหาร ประธานาธิบดี Mckinley จนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นอีก 8 วันนับจากการลอบสังหาร ประธานาธิบดี Mckinley ก็เสียชีวิตไปในที่สุด
Leon Czolgosz ลอบสังหาร Mckinley จนเสียชีวิตในที่สุด
และมันกลายเป็นแผนที่ผิดพลาดของเหล่าผู้มีอิทธิพลที่ไม่ได้วางเอาไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นนี้ เพราะตอนนี้ Roosevelt จอมต่อต้านการผูกขาดที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเหล่าผู้มีอิทธิพล กำลังจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในการเป็นปรธานาธิบดีแทน Mckinley ที่เสียชีวิตไป
ตอนนี้ ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดแล้ว มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหมด Roosevlet นั้นส่งสัญญาณไปยังเหล่าผู้มีอิทธิพลทันทีว่า ควรตระหนักตัวให้ดีว่า พวกเขานั้นเป็นเพียงแค่นักลงทุน ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาใหญ่โตควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกต่อไป
ส่วนตัวเขานั้นเป็นคนที่ถูกเลือกโดยประชาชน ให้มาบริหารประเทศ เขามีสิทธิอำนาจแบบเต็มมือในการจัดการทุกอย่าง ไม่นานเขาก็เริ่มแผนที่จะต่อกรกับเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศทันที และเป้าหมายแรกของเขาคือ บริษัทอาณาจักรรถไฟ ที่ตอนนี้กลายเป็นของ J.P Morgan
Roosevelt นั้นไม่ใช่คนที่จะควบคุมอะไรได้เหมือนกับ Mckinley อีกต่อไปตอนนี้ เหล่าผู้มีอิทธิพลกำลังอยู่ในสถานกรณ์ลำบาก แม้ J.P Morgan จะพยายามเข้าไปพูดคุยด้วย แต่ก็ไม่ได้ผล
Roosevelt ได้เริ่มฟ้องร้องต่อศาลรัฐบาลกลาง ในเรื่องการผูกขาดธุรกิจ ต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย และมันเริ่มต้นด้วยชัยชนะทันที การผูกขาดธุรกิจรถไฟของ J.P Morgan ต้องพังทลายลงทันที
เริ่มเดินหน้าฟ้องธุรกิจผูกขาดทั้งหลายต่อศาลรัฐบาลกลางทันที
และตัวอย่างแรกมันได้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เหลือ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ถูกเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สองต่อทันที เขาได้เริ่มทำการฟ้องร้องการผูกขาดธุรกิจไปหลายสิบคดีต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งของประเทศอเมริกา ตอนนี้เหล่ายักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ต้องมาเป็นฝ่ายตั้งรับบ้างแล้ว
จะเกิดอะไรขึ้นต่อ เมื่อถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในอเมริกา การเข้ามากวาดล้างของ Roosevelt นั้นทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลยักษ์ใหญ่ ที่ตอนนี้เริ่มโรยราไปตามวัย ต้องพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการต่อสู้ ซึ่งตอนหน้าจะเป็นบทสรุปทั้งหมดของ ซีรี่ย์ชุดนี้แล้วนะครับ โปรดอย่าพลาดติดตามนะคร้าบ
ช่องทางติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา