การเดินทางทางใน เมลเบิร์น 🇦🇺
หลังจากแชร์ประสบการณ์ต่างๆโดยเฉพาะเรื่องงานในเมลเบิร์นไปแล้ว คราวนี้จะมาแชร์เรื่องการเดินทางในเมลเบิร์นบ้างคะ
ขอบอกว่าการเดินทางสำคัญมากนะคะ ไม่ว่าคุณจะไปทีนั่นเพื่อ เรียนภาษา ทำงาน หรือท่องเที่ยว ด้วยตัวเอง ก็ตาม การเดินทางนี่สำคัญไม่แพ้ที่พักอาศัยเลยค่ะ
Photography by J.Mahaudomchab
การเดินทางในเมลเบิร์นแบ่งออกเป็น เดินทางโดยขนส่งสาธารณะ กับ เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว และ Uber ค่ะ
ขนส่งสาธารณะ ก็มี Train, Tram และ Bus ค่ะ
รถยนต์ส่วนตัว มีทั้งแบบซื้อสำหรับคนที่อยู่ยาวที่นั่น
และ แบบรถเช่าสำหรับคนไปเที่ยวค่ะ เรื่องรายละเอียดการเช่ารถและขับรถในเมลเบิร์นเราขอไม่เล่าให้ฟังนะคะเพราะเราขับรถไม่เป็นค่ะ เลยไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ 😁 แต่จากฟังๆเขาพูดกันมาว่าใบขับขี่ของไทยที่มีภาษาอังกฤษสามารถใช้ได้ที่นั่นค่ะ มีเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มเราเขาก็ซื้อรถมือ 2 มาจากเพื่อนค่ะ เขาบอกว่าไม่มีใบขับขี่สากลหรือใบขับขี่ของรัฐ Victoriaค่ะ เขาใช้ใบขับขี่ของไทยแทนค่ะ
ส่วนของ Uber ที่นั่นเฟื่องฟูมากค่ะ ทั้ง Uber Drive และ Uber Eat เลยค่ะ เราเองก็รอดออกจากฟาร์มสตอเบอรี่มาได้เพราะ Uber นี่แหละ 😅 ส่วน Uber Eat น้องผู้ชายที่แชร์บ้านกับเราเขาทำเป็นคนส่งอยู่ค่ะ น้องบอกว่ารายได้ดีมากและก็ปั่นจนเหนื่อยมากเช่นกัน
Photography by J.Mahaudomchab
มาที่ขนส่งสาธารณะกันดีกว่า
เราขอเริ่มต้นจาก บัตร Myki ค่ะ
เจ้า Myki card ใบนี้ใช้สำหรับ ขึ้น Train, Tram และ Bus
พกใบเดียวใช้ขึ้นได้หมดค่ะ ค่าธรรมเนียมซื้อบัตรครั้งแรกอยู่ที่ 6$ ซื้อแล้วซื้อเลยคืนไม่ได้ค่ะ
บัตรสามารถซื้อได้ที่ตู้เติมเงินบัตร Myki ได้เลยค่ะ จะมีเมนูให้เราเลือกว่าซื้อบัตร จ่ายเงินเสร็จจะมีบัตรหล่นลงมาให้ค่ะ
โดยไม่ต้องไปติดต่อซื้อกับเจ้าหน้าที่แบบที่ไทยค่ะ
อัตราค่าโดยสาร พูดตรงๆทุกวันนี้เรายังงงมึนๆอยู่เลยค่ะ 😅
ถ้าผิดพลาดอย่างไรเราต้องขออภัยด้วยนะคะ
เราเองก็เคยกดเติมเงินผิดกลายเป็นซื้อแบบเหมาจ่ายรายเดือน+บัตรใหม่ ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เขาก็พยายามช่วยค่ะเที่ยวรายเดือนในบัตรที่ซื่อผิดมาโอนให้บัตรอื่นได้ แต่ถ้าเราไม่โอน ตราบใดที่เรายังไม่ Touch on ในระบบ (คือเรายังไม่เคยใช้งานหลักจากซื้อมา) ระบบก็จะยังไม่เริ่ม Run เราสามารถเก็บบัตรนี้ไว้ไปใช้เดือนหน้าก็ได้ หรือตอนไหนๆก็ได้ระบบจะเริ่มนับวันต่อเมื่อเราเปิดใช้งานครั้งแรกเท่านั้น
เราว่ามันดีกว่าของ Rabbit ของ BTS ที่ไทยนะ ที่ซื้อแบบเติมเที่ยวรายเดือนซื้อปุ๊บระบบทำงานเลย
แต่ตัวค่าธรรมเนียมบัตรราคา 6$ ไม่สามารถคืนได้ค่ะ เจ้าหน้าที่ขอโทษเราที่ช่วยได้เท่านี้บอกว่าเขาเข้าใจว่าระบบมันซับซ้อนเข้าใจยากสำหรับคนมาใหม่แบบเรา
เราก็ถือเสียว่าเสียค่าโง่ไป 6$ 😅
การมีบัตร Myki 2 ใบ ใครๆเขาก็มีกัน (ปลอบใจตัวเอง)
มาต่อที่อัตราค่าโดยสารกันค่ะ เราอ้างอิงข้อมูลจากเว็บ PT นะคะ
เริ่มจากส่วน
Free Tram Zone คือ ส่วนพื้นที่ในเมือง Melbourne CBD จะฟรีค่าเดินทางค่ะ ในส่วนนี้จะเป็นการใช้ Tram ในการเดินทาง
ที่นั่นไม่มีวินแบบที่บ้านเรานิคะ จะให้เดินเท้าทั่วเมืองก็ไม่ไหวเขาเลยมี Free Tram Zone ให้เราแทน
ต่อมา เรื่องนี้เราว่าหลายคนไม่รู้ เราเองก็รู้จากเพื่อนสนิทบอกเราตอนไปทำงานโรงงานนอกเมืองค่ะ
เรียกว่า Early Bird train travel สำหรับคนที่เดินทางด้วยรถไฟตอนเช้าก่อน 7.15น. จะเดินทางฟรีค่ะ
(อันที่จริงในเว็บก็มีบอกหมดแต่ไม่อ่านให้ดี😶)
พูดถึงของฟรีไปแล้ว มาถึงคราวที่ต้องเสียเงินแล้วค่ะ
ค่าโดยสารแบบรายวัน เรียกว่า myki Money ค่ะ
แบ่งเป็น myki Money 2 hour fare คือ ค่าโดยสารภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมงค่ะ อยู่ที่ 4.40$
การนับเวลาจะนับจากที่เรา Touch on ขึ้นรถ จะหักไปเลย 4.40$ และ Touch off ภายใน 2 ชั่วโมง คือไม่เสียเงินเพิ่ม
แต่ถ้าเราไม่ Touch off เกิน 2 ชั่วโมง ค่าโดยสารจะกลายเป็นอัตรา myki Money Daily fare คือ 8.80$ ถ้าได้โดนราคานี้แล้วจงรู้ไว้ว่า สูงสุดแล้ว จากนั้นเราจะ Touch on/off อีกกี่ทีภายในวันนี้ก็ไม่เสียเพิ่มจากนี้แล้วค่ะ
สิ่งที่เรายังมึนงงก็ต้องนี้แหละค่ะ
บางทีเราไม่ได้ Touch off ภายใน 2 ชั่วโมง แต่เราก็เสียแค่ 4.40$ แทนที่จะเป็น 8.80$
และต่อมาเป็นแบบ myki Pass full fare คือแบบเหมือนจ่าย
จะเริ่มต้นที่ 7 วัน ราคาเหมาจ่ายต่อวันอยู่ที่ 6.3$
และ 28-356 วัน ราคาเหมาจ่ายอยู่ที่ 5.30$ ต่อวัน
ส่วนใหญ่เราซื้อแบบเหมาจ่ายค่ะ เพราะออกจากบ้านไปทำงานแทบทุกวัน แต่วันไหนไม่ได้ออกก็ถือว่าเสียวันนั้นไปฟรีๆค่ะ พอช่วงที่ไม่ได้ทำงาน เราก็ใช้เป็นรายวันแทนค่ะ และชอบแอบขึ้นฟรีด้วย
เราเชื่อว่ามีหลายคนเคยทำแบบเราแน่นอน แอบขึ้นรถฟรี 😁
ที่นั่นจะเป็นระบบ open ค่ะ ไม่เหมือนกับ BTS บ้านเราที่ต้องแตะบัตรเข้าออกทุกครั้งเท่านั้น
ที่นั่นไม่เป็นค่ะ จะมีช่องสำหรับเดินออกได้เลยแบบไม่ต้องแตะบัตรค่ะ เราอาศัยตรงนั้นแหละค่ะแอบขึ้นฟรี 😁
แต่ส่วนใหญ่รถไฟจะถูก inspector ตรวจบ่อยสุดค่ะ
สายบ้านเราเจอตรวจบ่อยมาก เราเคยแอบขึ้นรถไฟฟรีอยู่หลายครั้ง แต่มีครั้งหนึ่งตอนที่เราทำงานร้านไทย ขากลับเราลงรถไฟเวลาราวๆ 5 ทุ่ม ประตูรถเปิดมา มีเราลงคนเดียว เราเจอ inspector ค่ะ เขามองเราแบบจ้องมากแต่ก็ไม่ขอตรวจนะคะ เราทำทีเป็นคุยโทรศัพท์เดินเนียนๆจนถึงที่แตะบัตรออกเราหันไปมองว่าเขามองเราอยู่มั้ย ตามเรามาหรือเปล่า พอเห็นเขายังอยู่ที่เดิม เราตัดสินใจวิ่งหนีออกไปเลย และเราก็รอดค่ะ 😅
ส่วนใหญ่เราชอบแอบขึ้น Tram ฟรีจากหน้าบ้านไปในเมืองและขึ้นจากเมืองกลับบ้านค่ะ
Tram นี่เราแอบขึ้นฟรีบ่อยมากๆค่ะ ไม่เคยโดนตรวจเลย เราจะชอบนั่งใกล้ๆที่แตะบัตรเผื่อโดนตรวจจะได้แตะบัตรทัน
และก็มีวันหนึ่งบัตรเราเงินติดลบ เราก็คิดว่าจะยังไงดี ถ้าโดนตรวจคือโดนแน่นอน แอบแตะไม่ได้ด้วยเพราะไม่มีเงิน และเราก็นึกขึ้นได้ว่าเราสามารถเติมเงินกับพนักงานขับรถได้นินา
ตอนแรกเราก็สองจิตสองใจ จะยังไงดี ฝั่งนางร้ายกับฝั่งนางฟ้าตีกันไปมาจนรถวิ่งไปครึ่งทาง เราตัดสินใจไปเติมเงินกับคนขับค่ะ พอเราเติมเสร็จก็แตะบัตร Touch on ทันที หลังจากนั้นไม่กี่นาที inspector ก็ขึ้นมาตรวจจ้า เราเลยรอด
สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะ ไม่ควรทำตาม
เรางกเงินแค่ 8.8$ แต่เราอาจจะถูกจับได้โดนค่าปรับเงินราวๆ 238$ ก็เป็นได้
หลังจากที่เราถูกตรวจ Tram วันนั้นเราก็ไม่กล้าทำอีกเลย 😔
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จะเสียน้อยหรือเสียมาก จะเสียยากหรือเสียง่าย ยังไงเราก็เสียอยู่ดีค่ะ อยู่ที่ว่าจะเลือกเสียแบบไหน
ส่วนบัตร Myki ที่เราซื้อผิดเกินใบหนึ่ง มาเราถอนทุนคืนด้วยวิธีใช้ให้เงินติดลบไปราวๆ 3.4$ ค่ะ 🤫 เอาน่าอย่างน้อยๆก็ไม่เสียเต็ม 6$ ไปฟรีๆ 😅
มาต่อที่ค่ะ Uber ที่นั่นเป็นที่นิยมมากค่ะ เพราะบางครั้งเราจ่ายในราคาที่เท่ากันกับ Train แต่สะดวกกว่าไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถให้ยุ่งยาก แถมยังมีแบบ Uber pool ด้วย คือแชร์กับคนอื่นที่ไปทางเดียวกันกับเรา อาจจะต้องรอหน่อยและอาจจะต้องเดินไปยังจุดหมายนัดรับ แต่ก็ประหยัดกว่า Uber ธรรมดาอยู่หลายตังค่ะ และที่นั่น Taxi มีน้อยส่วนใหญ่เจอตามสนามบินค่ะ เลยทำให้ Uber เป็นที่นิยมสำหรับทั้งใช้บริการและให้บริการค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามและอ่านจนจบนะคะ
คราวนี้เราจะแชร์เรื่องราวอะไรอีกรอติดตามกันนะคะ 😊
#มนุษย์กล่อง
- 3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
