ในปัจจุบันนี้การวัดค่า SPF จากปริมาณแสงแดดที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดอาการแดงที่ผิวหนัง จะเป็นการสังเกตด้วยตาเป็นหลัก จึงอาจทำให้ค่าที่วัดได้ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร เพราะจากการศึกษาพบว่า ปริมาณแสงที่น้อยกว่านี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังและมีการทำลายเซลล์ของผิวหนังไปแล้ว ซึ่งในอนาคตอาจต้องมีการวัดการทำลายผิวหนังของแสงแดดอาการแดงที่เห็นได้ด้วยตา เช่น การดูลักษณะของเซลล์ผิวหนังที่เปลี่ยนไปจากการไหม้แดด, การดูลักษณะของเส้นใยอีลาสตินที่เปลี่ยนรูปร่าง, การลดลงของจำนวน Langerhans cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้นด้วย ดังนี้
• SPF 2 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 50%
• SPF 4 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 75%
• SPF 6 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 80%
• SPF 8 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 87.5%
• SPF 10 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 80%
• SPF 15 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 93.3%
• SPF 20 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 95%
• SPF 25 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 96%
• SPF 30 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 96.7%
• SPF 45 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 97.8%
• SPF 50 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 98%