12 มิ.ย. 2019 เวลา 13:09 • บันเทิง
เรื่องสั้น : ห้องแห่งความหลัง
(1)
คนมักพูดกันว่า คนเรามักไม่อาจลืมเลือนอดีตได้ แม้ว่าจะเยียวยาด้วยเวลายาวนานเท่าใดก็ตาม หากมันเป็นเรื่องของหัวใจหรือความรักมากมายที่เรามอบให้อะไรหรือใครสักคน
คงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่งั้นผมคงไม่มาที่นี่
ผมเดินไปยังห้องเก็บของที่เช่าไว้ ห้องเก็บของให้เช่าเรียงรายยาวไปสุดทางเดินมืดสลัวผมหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลข 326
ผมไขกุญแจเข้าไป เปิดไฟที่ข้างประตู ทันทีที่ในห้องสว่างวาบ ความทรงจำสีเทาก็แผ่ปกคลุมไปทั่วห้องราวกับท้องฟ้าในวันฝนตกก่อนเข้าฤดูหนาว
1
ผมเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือเก่า เปิดลิ้นชักแล้วหยิบกล่องกระดาษสีชมพู ที่ตอนนี้ดูเก่าเก็บสีซีดและเปื้อนเป็นรอยอยู่ทั่ว พอเปิดกล่องออกมีซองจดหมายและของใช้ของเธอมากมายวางอยู่ในนั้น
ผมหยิบดินสอกดสีฟ้าที่ใช้สมัยเรียนออกมา เธอซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดของผมตอนอายุ 15 ปี มีริบบิ้นสีแดงที่เธอใช้มัดผมเสมอตอนวัยรุ่น มันมาอยู่ในกล่องได้เพราะเธอเอามาผูกที่กระเป๋าสะพานสมัยมหาลัยด้วยเหตุผลที่ว่า
“จองไว้ก่อน เดี๋ยวสาวอื่นจะมาเหล่เอา ใครมาจีบ บอกไปเลยนะว่ามีเจ้าของแล้ว”
เธอทำหน้าบูดตอนที่มัดมันจนแน่น หลังจากผมเล่าว่ามีจดหมายสารภาพรักมาเสียบไว้ที่ล๊อกเกอร์ส่วนตัว
ผมอมยิ้มพร้อมน้ำตาคลอ มันอบอุ่นแต่ก็ปวดร้าวเสียเหลือเกิน ผมหันไปหยิบตั๋วหนังเรื่อง Titanic เลขที่นั่ง C14 และ C15 ที่เก่าจนเหลือง นั่นเป็นหนังเรื่องที่เราจูบกันครั้งแรก ผมจำได้ว่าเธอร้องไห้และซบลงที่ไหล่ตอนที่พระเอกกำลังจะแข็งตายในน้ำทะเลเย็นจัด
จะว่าไปแล้ว ตอนนี้หัวใจผมก็ราวกับจมลงใต้ทะเลที่ดำดิ่งและเหน็บหนาว เช่นเดียวกับสร้อยคออัญมณีรูปหัวใจที่ถูกทิ้งลงมหาสมุทรอันมืดมิดในหนังเรื่องนั้นไม่ต่างกัน
“พอเถอะ เราไปกันไม่ได้แล้ว อย่าพยายามอีกเลย” คำสุดท้ายที่ผมพอจะจำได้ในวันที่เราจากกัน
แม้ความรักของผมจะจบลงนานมากแล้ว แต่ผมกลับลืมมันไม่ได้เสียที ห้องเก็บของที่ผมเช่าไว้ จึงเป็นเหมือนห้องแห่งความหลัง ที่ผมจะใช้เวลาเกือบทุกอาทิตย์แวะมาเพื่อเสพความหลังที่เจ็บปวด ราวกับผมเสพติดความเศร้าเสียอย่างนั้น
ผมนั่งร้องไห้กับกล่องแห่งความทรงจำใบนี้ทุกครั้ง
วันนี้ก็เช่นกัน
ผมเดินออกมา กำลังจะล๊อกกุญแจห้องเก็บของ ทันใดนั้นห้องเก็บของข้างๆ ประตูก็ถูกเปิดออก หมายเลข 328 บนประตูเกือบชนเข้าที่หน้าผม
“เฮ้ย” ผมร้องเสียงดัง เพราะตกใจ คงเพราะห้องเก็บของให้เช่าส่วนใหญ่จะวังเวงและเงียบกริบ คนส่วนใหญ่เช่าไว้เก็บของที่เขาไม่ใช่แล้วทั้งนั้น ติดแต่แค่ตัดใจทิ้งไม่ลงเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่จึงเป็นห้องที่ปิดมานานมาก นานเท่าไหร่ก็ได้ตราบที่เจ้าของยังจ่ายค่าเช่ารายเดือนอยู่
“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวในชุดไหมพรมสีเทา เธอกล่าวละล่ำละลักพร้อมรีบงับประตูปิด
“ระวังหน่อยสิครับ” ผมกล่าวเสียงเข้ม
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะยังยืนอยู่ตรงนี้” เธอทำเสียงสั่นราวกับถูกจับผิดได้
“หมายความว่าไง นี่คุณรู้ว่าผมอยู่ห้องข้างๆ งั้นเหรอ” ผมชักน้ำเสียงขึ้นสูง เพราะรู้สึกว่ากำลังโดนละเมิดความเป็นส่วนตัว
“ก็ผนังมันบาง แล้วก็คุณออกจะร้องไห้เสียงดังขนาดนั้น”
“นี่คุณ มันจะมากไปแล้วนะ เสียมารยาทที่สุด”
เธอรีบล๊อกกุญแจห้อง ก้มหัวทำทีขอโทษ แล้วรีบหันหลังวิ่งหนีออกไปอีกทางในทันที
“เฮ้! คุณ นี่กลับมาคุยกันก่อน” ผมหงุดหงิดจนหน้าแดง ก่อนจะทำกุญแจในมือหล่น จนเสียเวลาไปมากกว่าจะล๊อคห้องได้ ซึ่งนั่นทำให้เธอจากไปไกลเสียแล้ว
“ยัยบ้าเอ้ย” ผมสบถก่อนเก็บกระเป๋าสะพายพาดบ่าก่อนเดินจากมาแบบหัวเสีย
อาทิตย์ต่อมา ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านจดหมายเก่าๆ ที่เธอเคยเขียนถึงผมในห้องเก็บของ ผมได้ยินเสียงดังมาจากห้องข้างๆ
นั่นใช่ที่ผมคิดไว้แน่
ผมรีบหยุดนิ่งรอฟังเสียง แล้วค่อยๆ ย่องไปที่ประตู รอฟังเสียงเปิดประตูของอีกห้อง ทันทีที่เธอเปิดประตูห้อง ผมเปิดประตูโพล่งออกไปทันที
“นี่คุณ!” ผมทำเสียงดัง
“ว๊าย” เธอร้องเสียงหลง แล้วเซจนล้มลงก้นจ้ำพื้น
ผมยืนขำจนท้องแข็ง ในขณะที่เธอรีบลุกขึ้นจากพื้นพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ที่ไม่รู้ว่าเพราะความอับอายหรือความโกรธกันแน่
“คุณนี่ชั่วร้ายจริงๆ” เธอบ่นอุบ
“ถือว่าหายกันน่า” ผมยังพูดปนหัวเราะ
“ผู้ชายอะไร เจ้าคิดเจ้าแค้น มิน่า..” เธอล๊อคห้องอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหงุดหงิดเต็มที่
“มิน่าอะไรคุณ พูดมาชัดๆ”
“ไม่มีอะไร หายกันแล้วนี่ จบไหม” เธอเก็บกุญแจแล้วกำลังจะเดินหนีไป
ผมรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำแบบนี้ ออกจะผิดวิสัยผู้ชายที่ควรจะทำ ผมคิดว่าควรขอโทษเธอน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่านี้
“เดี๋ยวก่อนคุณ พอเถอะ ผมขอโทษ ให้ผมเลี้ยงกาแฟคุณซักแก้วแล้วกันนะ” ผมรีบเอ่ยก่อนเธอจะจากไป
“นี่แทนคำขอโทษใช่ไหม” เธอหันมามองหน้าผม
พอมองตาเธอชัดๆ จริงๆ เธอเป็นคนหน้าตาน่ารักมากเลยทีเดียว
“แทนคำขอโทษอย่างจริงใจของผมแล้วกัน โอเคนะ ผมรู้จักร้านดีๆ มีครัวซองอบที่อร่อยมากๆ ด้วย อยู่ไม่ไกล เดินไปสองบล๊อคนี่เอง” ผมล๊อคกุญแจห้อง
“โอเค วันนี้ฉันว่างพอดี” เธอยิ้ม
“งั้นเราเดินไปแล้วกันนะครับ” ผมยิ้มให้เธอกลับ
น่าแปลกที่ผมลืมสิ่งของต่างๆ ในห้องเก็บของนั้นไปชั่วขณะยามที่คุยกับเธอ นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีก็ได้สำหรับความทรงจำที่เจ็บปวดที่ถูกขังไว้ถายใน
(2)
ฉันได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นมาจากห้องเช่าเก็บของที่อยู่ติดกัน ฉันตกใจอยู่แวบนึง แต่คิดว่าน่าจะเป็นเสียงคนแน่ๆ คงไม่ใช่ผีสางที่ไหน แถมเสียงนั่นยังเป็นเสียงทุ้มต่ำ คงเป็นเสียงร้องไห้ของผู้ชายซักคน
“น่าแปลก ผู้ชายที่ไหนมานั่งร้องไห้อยู่ในห้องเก็บของเช่า”
“เค้าคงซ่อนความเจ็บปวดไว้ในห้องนี่แน่ๆ” ฉันนึกกับตัวเอง
ฉันรีบเก็บของในห้องให้เรียบร้อยอย่างเบามือ เพราะมันคงไม่ดีถ้ามีใครรู้ว่ามีผู้หญิงตัวคนเดียวคลุกตัวอยู่ในห้องเก็บของเช่าที่แสนเปลี่ยวในเวลานี้
ฉันจึงค่อยๆ ย่องออกมา รีบเปิดประตูออกไปเพื่อจะรีบออกไปจากที่นี่ให้ไว้ก่อนที่ผู้ชายห้องข้างๆ จะรู้ตัว
“เฮ้ย” เสียงผู้ชายห้องข้างๆ ร้องดังขึ้นตอนฉันเปิดประตูออกไป
“ซวยแล้ว บ้าจริง” ฉันสะดุ้ง รีบงับประตูปิดในทันที่ที่ผ่านออกมาพ้นห้องนั้น
“ขอโทษค่ะ” ฉันรีบกล่าว เพราะคำขอโทษน่าจะจะดีกว่าวิ่งหนีไปเฉยๆ ในตอนนี้
“ระวังหน่อยสิครับ”
แล้วฉันก็เผลอพูดออกไปจนเขาจับได้ว่าฉันแอบได้ยินว่าเขาร้องไห้อยู่ห้องข้างๆ จนได้ นี่เป็นความผิดพลาดมากทีเดียว
ฉันจึงเปลี่ยนใจรีบวิ่งหนีออกมาก่อนดีกว่า การอยู่กับผู้ชายที่กำลังเริ่มฉุนเฉียวในที่เปลี่ยวๆ นั่นไม่ดีแน่
อาทิตย์ต่อมา ฉันแอบย่องมาที่ห้องเก็บของอีกครั้ง ฉันคงต้องเก็บกวาดห้องนี้เสียแล้ว เพราะห้องนี้มีแต่ความหลังครั้งเก่า ความรักที่พังไม่เป็นท่าถูกปิดผนึกไว้ที่นี่ มันคงไม่ดีถ้ามีคนรู้ว่าฉันยังเก็บอะไรพวกนี้ไว้ คงดูเป็นผู้หญิงประสาทที่จมกับอดีตจนก้าวไปไหนไม่ได้เสียที
ฉันเก็บของใช้ของผู้ชายพวกนั้นใส่กล่อง ทั้งผ้าเช็ดหน้าที่เอ็ดเคยมอบให้ตอนที่ฉันทำเค้กเลอะริมฝีปาก
ทั้งผ้าพันคอแบบยาวพิเศษที่ได้เป็นของขวัญวันเกิด
“ยาวๆ แบบนี้ พันสองคนพร้อมกัน อุ่นดีนะ ว่าไหม?” คำพูดที่บ๊อบ บอกฉันในวันที่หิมะกำลังโปรยปรายลงมากลางสวนสาธารณะในคืนวันเกิดของฉัน
ถึงตอนนี้น้ำตาฉันรินออกมาช้าๆ
“สร้อยข้อมือรูปแม่กุญแจนี่มีความหมายนะ รู้ไหม มันหมายถึงผมจะล๊อคไม่ให้คุณเปลี่ยนใจจากผม ไม่ว่าจะอีกกี่ปีต่อจากนี้ไป” เสียงไคล์กระซิบบอกฉันแผ่วเบา ในคืนร่างกายเปลือยเปล่าเราโอบกอดกันใต้ผ้าห่มผืนใหญ่
“แหวนนี่อาจไม่มีค่าอะไรมากมาย แต่ความจริงใจของผม คุณคงทราบดีว่ามันท่วมท้นมากมายขนาด ให้ผมได้ดูแลคุณนะ แต่งงานกับผมเถอะ” แหวนทองคำขาววงเล็กในกล่องกำมะหยี่สีแดงสดสะท้อนเงาใบหน้าของฉันอยู่ลางๆ แต่มันคงสะท้อนไม่เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มฉันในตอนนี้เป็นแน่ ภาพขณะที่ทอมกำลังยื่นแหวนมาให้ลอยขึ้นมาในความทรงจำ
ฉันเก็บของเหล่านั้นลงกล่องอย่างเบามือ ปิดเทปกาวให้เรียบร้อย แล้วหันไปเปิดตูเหล็กด้านหลัง จับกล่องยัดใส่ชั้นด้านล่างที่ยังว่างอย่างรวดเร็ว แต่พอปิดประตูตู้กลับพบว่ามันแน่นจนปิดไม่สนิท ฉันจึงออกแรงดันเต็มกำลัง จนประตูปิดได้ แต่แลกมาด้วยเสียงดังของโลหะที่กระแทกกันอย่างจัง
“ตายแล้ว” ฉันอุทานแล้วเอามือปิดปากแทบจะในทันที
ฉันหวังว่าคงไม่มีใครทันได้ยินเสียงนั่น จึงรีบเก็บของและออกจากห้องให้ไวที่สุด
“นี่คุณ” ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้น
ฉันตกใจสะดุดขาตัวเองล้มลงก้นจ้ำพื้น ทั้งอายทั้งเจ็บ แต่ที่สำคัญคือเจ็บใจที่ตาบ้านั่นยืนหัวเราะอยู่ได้ ไม่มีน้ำใจช่วยกันแม้เพียงนิด
ฉันจึงรีบลุกขึ้นล๊อกประตูห้อง แถมพูดแดกดันเขาไปหลายประโยค
แต่สุดท้ายเขาก็กล่าวขอโทษและชวนไปดื่มกาแฟเพื่อไถ่โทษ
“นั่นเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยสำหรับคอคาเฟอีนอย่างฉัน ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่ดูจริงใจของเขาแล้ว…” ฉันนึกในใจ แล้วก็ตอบตกลงไปจนได้
“ยัยคนใจอ่อนเอ๊ย” เสียงในสมองบอกกับตัวเอง ในขณะเดียวกับที่กำลังเดินหน้าแดงตามหลังเขาไปตามทางเดินสลัวของโถงห้องเช่ายาวสุดสายตา โดยที่ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ซึ่งนั่นน่าแปลกทีเดียว
(1)
หลังจากนั่งดื่มกาแฟ แนะนำตัวกันเรียบร้อย เรายังคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่อีกนาน จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีแค่นั้นเอง
จะให้สารภาพ คงเพราะรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่สดใสของเธอกระมัง ที่ทำให้หัวใจผมตอนนี้มันอบอุ่นขึ้นมาชอบกล
(2)
กาแฟหมดไปนานแล้ว แต่ฉันยังนั่งคุยกับเขาอยู่อีกนานสองนาน น่าแปลกที่เขาเป็นคนตลกและสดใส ผิดกับภาพผู้ชายที่นั่งร้องไห้ในห้องเก็บของเมื่อคราวก่อนเสียลิบลับ ฉันกับเขาสลับกันคุยเรื่องบ้าๆ บอๆ หลายอย่าง แปลกมากจริงๆ ที่ฉันเผยตัวตนให้ผู้ชายที่แทบไม่รู้จักไปเสียมากมายขนาดนี้
จะให้สารภาพ คงเพราะรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่สดใสของเขากระมัง ที่ทำให้หัวใจฉันตอนนี้มันอบอุ่นขึ้นมาชอบกล หลังจากที่เย็นชามานานเกือบปี
(1)
ผมเดินกลับมาเอารถที่ลานจอด ในใจนึกถึงบทสนทนาในร้านกาแฟ กับหญิงสาวนิรนามที่เจอกันโดยบังเอิญ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าเราผูกพันกันอย่างง่ายดาย หรือพระเจ้าจะทรงโปรดให้ผมได้พ้นจากความทรงจำเก่าเก็บที่แสนเจ็บปวดเสียที
ผมเหยียบคันเร่งช้าๆ รถค่อยๆ เคลื่อนออกไป คล้ายกับหัวใจผมที่กำลังเริ่มเต้นแบบที่ควรจะเป็นอีกครั้ง
“สงสัยต้องรีบมาเก็บของในห้องที่เช่าไว้เอาไปทิ้งเสียแล้วคราวนี้ บาดแผลในอดีตคงไม่ต้องเก็บไว้อีกแล้วมั้ง” ผมยิ้มนึกตัวเองก่อนจะเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่
(2)
ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดหลังจากเอ่ยลากับเขาที่หน้าร้านกาแฟ ฉันคิดว่าความสัมพันธ์แบบแปลกๆ ในครั้งนี้อาจพัฒนาให้ยั่งยืนได้ เพราะดูแล้วเราทั้งคู่มีอะไรคล้ายๆ กันมากหลายอย่างเลยทีเดียว
ก่อนจะเดินไปทางสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าคงต้องแวะไปเก็บของในห้องเก็บของอีกซักที ยังพอมีเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนจะมืด
คงไม่ดีถ้าเขารู้ว่าอดีตที่ผ่านมาฉันต้องเจอผู้ชายแย่ๆ ขนาดไหนมาบ้าง แต่เขาคงอภัยให้ความผิดพลาดในคราวก่อนๆ ของฉันได้ หากว่าเขาจริงใจกับฉันจริงๆ
ฉันเปิดประตูห้องเก็บของเข้าไป เปิดประตูตู้เหล็กออกอย่างเบาๆ ฉันยืนจ้องดูของเก่าเก็บพวกนั้น ภาพความโหดร้ายที่พวกผู้ชายชั่วๆ เหล่านี้มอบให้ฉัน คำโกหก การนอกใจ และบาดแผลทางกายและใจอีกมากมายนับไม่ถ้วน ฉันคงต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ แล้วหวังว่าจะไม่ต้องกลับมาที่ห้องเก็บของนี่อีก
“ลาก่อนที่รัก”
ฉันยืนโบกมือเบาๆ ให้ขวดโหลที่บรรจุส่วนหัวของมนุษย์ผู้ชายหลายอันที่วางเรียงรายกันอยู่ในชั้นวาง พวกมันดูน่าสะอิดสะเอียดนิดหน่อย บางหัวลืมตาโพลง บ้างก็อ้าปากกว้างคล้ายกำลังร้องอย่างเจ็บปวด แต่ทุกใบหน้าดวงตาซีดขาวและไร้ชีวิต
ทั้งเอ็ดจอมโกหก บ๊อบจอมเจ้าชั่วมั่วผู้หญิง ไคล์ผู้ชายหน้าตัวเมียที่ลงมือกับผู้หญิงได้ลงคอ และ ทอมผู้ชายเลวๆ ที่ขอแต่งงานเพราะหวังเอาเงินของฉันไปเล่นการพนันแถมยังบังคับให้ฉันไปเอาเด็กออก
“สมควรแล้วที่พวกแกจะมีสภาพแบบนี้ หึ” ฉันหัวเราะในลำคอ
ฉันยังพยายามลืมภาพตอนที่กำลังบั่นคอพวกสวะสังคมพวกนี้อย่างชำนาญ เพราะตอนนี้ฉันคงต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ซึ่งหวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่แล้วมา
ฉันปิดล๊อกห้องเก็บของอีกครั้ง คราวนี้ใช้แม่กุญแจที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าเดิมมาคล้องแทน
“หวังว่าคงไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ลาก่อนที่รัก” ฉันเอ่ยกับตัวเองก่อนถอดลูกกุญแจออกแล้วเดินไปตามทางทอดยาวที่เงียบงันเพียงลำพัง ในใจคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะโทรมาชวนไปทานอะไรไหม เพราะก่อนจากกันที่ร้านกาแฟ เขาเอ่ยเปรยๆ มาก่อนจะแยกกัน
ฉันจึงยิ้มเดิมฮัมเพลงเบาๆ ไปอย่างมีความสุข
อ้า ว่างๆ พวกคุณมาเที่ยวชมของสะสมของฉันก็ได้นะ ฉันอนุญาต ยินดีเลยล่ะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา