21 มิ.ย. 2019 เวลา 14:09 • บันเทิง
เรื่องสั้น : Chat Bot
“แน่ใจแล้วเหรอ มิว ที่จะทำแบบนี้” แป้งเพื่อนสนิท หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้น ม.6/3 เอ่ยขึ้น เธอเป็นคนท้ายสุดที่ฉันไปพบเพื่อขอความช่วยเหลือบางอย่าง
“ไม่รู้สิ แป้ง แต่เราว่ามันก็คงไม่ได้เสียหายอะไร” ฉันตอบกลับ
“เราก็แค่คิดว่า……."
"แต่เอาเถอะ ก็แล้วแต่มิวนะ แต่เราคงไม่ร่วมกลุ่มด้วยหรอก หวังว่าคงเข้าใจเรานะ” แล้วแป้งก็โบกมือลาเบาๆ พร้อมหันกลับเข้าบ้านลับตาไป
คำพูดจากเพื่อนอีกหลายคนก่อนหน้าที่ไปพบก็ไม่ต่างกัน ฉันเผลอกำเมมโมรี่การ์ดชิ้นเล็กจิ๋วในมือเสียแน่นจนเริ่มรู้สึกเจ็บ ความเจ็บในอุ้งมือทำให้รู้ตัวว่ามันอาจทำความเสียหายให้ข้อมูลสำคัญที่อยู่ภายในได้ ฉันจึงคลายมือออก ก้มมองดูเจ้าวัตถุชิ้นเล็กสีดำในมือ แล้วหยดน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลเอ่อออกมาเป็นหยดไล้ไปบนแก้มทั้งสองข้าง จนต้องปาดทิ้งแล้วรีบเดินจากมา
ฉันเป็นโปรแกรมเมอร์ฝีมือธรรมดา แต่เรื่องที่กำลังจะทำอยู่ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่ดึงข้อมูลในส่วนที่เป็นคำสำคัญหลักๆ เพื่อใช้เทียบกับข้อมูลและชุดรูปแบบการโต้ตอบที่รวบรวมไว้จำนวนมากพอสมควรเท่าที่จะหาได
้ แล้วใส่ชุดกฏต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะพอทำไหว เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปอย่างสมจริงและใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งในภายหลังจึงได้รู้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่มีผลกับการตัดสินใจครั้งสำคัญอันหนึ่งในชีวิตของฉัน
ฉันเอาข้อมูลบทสนทนาของเพื่อนทุกคนกับเขามารวมกันไว้ แล้วใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบง่ายให้จดจำและเรียนรู้รูปประโยคพวกนั้น พร้อมการวิเคราะห์และสร้างการตอบสนองที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด ซึ่งในที่สุดกระบวนการทั้งหมดก็เสร็จสมบูรณ์ลงภายในเวลาไม่นาน
ฉันส่งข้อความไปทางแอปพลิเคชันสื่อสารออนไลน์ให้เพื่อนในกลุ่มมัธยมปลายว่า
“chat bot เสร็จเรียบร้อย จะส่งที่อยู่ให้ดาวน์โหลดข้อมูลให้นะ”
แต่ผ่านมาสองวันแล้ว ข้อความที่ฉันส่งไปมีเครื่องหมายแสดงว่าถูกอ่านแล้ว แต่กลับไม่มีแม้เพียงสักคนที่ตอบกลับมา ไม่มีเลยจริงๆ
ฉันจึงได้แต่เหม่อมองหน้าจอที่ว่างเปล่าไร้ภาพพื้นหลังมีเพียงไอคอนของแอปพลิเคชั่นสนทนาอัตโนมัติที่ฉันตั้งชื่อให้ว่า “คุยกับนัท” ลอยอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางหน้าจอสีดำสนิท เวิ่งว้างเหมือนมหาสมุทรในยามคืนเดือนมืด มันคล้ายความรู้สึกของฉันในตอนนี้ไม่มีผิด
ในขณะที่ใจลอยอยู่นั้น ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงเตือนของข้อความที่ถูกส่งมาในโปรแกรมโซเชียลมีเดียอันหนึ่งที่แทรกความเงียบขึ้นมา
“มิว แกโอเคใช่ไหม คงไม่ได้มัวแต่ chat กับบอทนั่นอยู่นะ ฉันเป็นห่วงนะเว้ย มีอะไรก็คุยกับเพื่อนได้ ฉันเข้าใจแกนะมิว แต่แกก็ต้องเข้าใจว่าบางอย่างมันคงเกินกว่าที่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เป็นห่วงเพื่อนนะ มีอะไรก็โทรมาได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ” ข้อความจากแป้งนั่นเองที่ส่งมา
ฉันอ่านแล้วนิ่งไปพักใหญ่ คงไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าฉันรู้สึกเช่นไร เพราะความรู้สึกลึกๆ ฉันเองก็ยังอธิบายออกมาไม่ได้เลย มันมีทั้งความตื่นเต้น เสียใจ ทั้งมีหวังและหมดหวังระคนไปกับความกลัว จนกลมกลืนแยกกันไม่ออก แล้วฉันจะคุยอะไรกับใครได้ ในเมื่อฉันยังไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเลย ยกเว้นแค่กับนัทคนเดียวเท่านั้น
นัทเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน เราเรียนประถมห้องเดียวกัน ตอนเด็กๆ นัทชอบแกล้งฉันเป็นประจำ ทั้งเอาไส้เดือนมาวางบนโต๊ะ ขโมยรองเท้าไปซ่อน หรือกระทั่งแอบมาวาดรูปตัวการ์ตูนเห่ยๆ ทิ้งไว้ในหนังสือเรียนใต้โต๊ะ แต่สุดท้ายเราก็จบด้วยคำขอโทษและเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม จนถึงมัธยมต้นที่นัทต้องแยกห้องไป ฉันได้เจอเขาแค่นานๆ ครั้งเท่าที่จะมีคาบว่างตรงกัน
จะว่าไป ที่ฉันเลือกเข้าชุมนุมวิทยาศาสตร์เพราะนัทเลือกต่างหาก ไม่ใช่เพราะฉันชอบวิชานี้หรอก ใครกันนะที่ชื่นชอบวิชาพวกนี้ แรงตึงเชือกกับผู้หญิง ดูช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย
พอชั้นมัธยมปลาย ฉันได้อยู่ห้องเดียวกับนัทอีกครั้ง คงเป็นเรื่องของโชคชะตาจริงๆ พอดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น ฉันเผลอกระโดดโลดเต้นดีใจ ไม่ใช่เพราะได้อยู่ห้องเด็กที่มีอัฉริยภาพทางคณิตศาสตร์หรอก แต่เป็นเพราะรายชื่อของผู้ชายคนหนึ่งต่างหาก
"ชื่อของเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน"
นัทคอยไปรับส่งเวลาเราไปเรียนพิเศษที่เดียวกันเกือบทุกวัน ส่วนฉันก็คอยเกณฑ์เพื่อนๆ ไปเชียร์นัทเวลาแข่งบาสเกตบอลระหว่างห้องในเกือบทุกนัด แต่ฉันกลับไม่เคยเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนคืออะไรกันแน่
ครั้งที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด คือตอนที่ฉันพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อเอ่ยปากถามเขา ตอนนั้นฉันกำลังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่เขาขี่ ในขณะที่มือทั้งสองเกาะเอวเขาอย่างเบามือ ลมเย็นเฉียบในหน้าหนาวพัดแทรกใยผ้าเข้ามาจนทำให้รู้สึกขนลุก แต่ในหัวใจลึกๆ กลับพุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น
“นัท ถามอะไรหน่อยสิ” ฉันพยายามตะโกนข้ามแผ่นหลังที่แสนอบอุ่นของนัทแข่งกับลมหนาวที่พัดโกรกเอาความตื่นเต้นเข้าถาโถมฉันอย่างหนัก
“อะไรนะ” นัทตอบกลับมา
“นัท ชอบใครอยู่บ้างรึเปล่า” ฉันพยายามส่งเสียงให้ดังขึ้นอีกแต่พูดเกือบไม่เป็นคำ
“อะไรนะมิว สอบอะไรเหรอ ไม่ค่อยได้ยิน ลมมันแรงอ่ะ”
เขาค่อยๆ ลดความเร็วลง แต่สายไปเสียแล้ว ความกล้าบ้าบิ่นของฉันมันสลายตัวไปกับความหนาวเย็นจนหมดสิ้น ตอนนี้เหลือแค่ความเขินอายที่เกินจะเอ่ยปากได้อีก
“อะไรนะมิว ถามว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไร แค่ถามว่าสอบเสร็จแล้ว ไปกินชาบูกันไหม” ฉันก้มเพื่อซ่อนหน้าแดงก่ำไว้ ทำทีจัดกระโปรงนักเรียนที่โดนลมพัดตีจนยู่ย่นไปหมด
“ได้สิ นัทเลี้ยงละกันดีไหม ฉลองสอบเสร็จ” เขายิ้มกว้างให้ฉัน
“อืมม ดีจัง ขอบคุณนะ”
หลังจากนั้นฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยความรู้สึกลึกๆ ข้างในอีกเลย ส่วนนัทก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย อาจเพราะเขาเป็นคนสุภาพมาก และดีกับเพื่อนทุกคนเหมือนๆ กันทั้งหมด ฉันจึงไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของเรามันใช่อย่างที่ฉันคิดเอาเองหรือเปล่า
แต่เพื่อนๆ เรากลับไม่คิดเช่นนั้น ทุกคนต่างพากันล้อเสมอว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ยิ่งนานวันการล้อเลียนก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“พอได้แล้ว บ้าเหรอ ใครจะไปเป็นแฟนกับตาบ๊องนี่ ก็แค่เพื่อนบ้านใกล้กันเอง พวกแกเลิกล้อได้แล้ว ฉันอาย!”
ฉันเผลอตะโกนใส่เพื่อนสาวนับสิบที่หยอกเย้าที่ข้างสนามบาสฯ จนฉันเขินเกินทน แต่โชคร้ายที่ตอนนั้น นัทที่กำลังเปลี่ยนตัวออกมาข้างสนามมาได้ยินเข้าพอดี แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย
จนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็ได้แต่ทุ่มเทเวลาให้การอ่านหนังสือ เพื่อที่ครอบครัวจะได้ไม่กังวลว่าลูกสาวจะได้ทำมาหากินอะไร แล้วสุดท้ายก็สอบได้คณะวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นคิดแค่เพียงว่ามันคงเกี่ยวกับตัวเลขที่ฉันถนัด แต่เปล่าเลยฉันใช้ตัวเลขส่วนใหญ่ในเวลาเรียนแค่ เลข 0 และเลข 1 เสียเป็นส่วนมาก กับภาษาที่คนอ่านไม่เข้าใจ แต่คอมพิวเตอร์กลับทำให้ทุกอย่างตามที่เราใส่คำสั่งเป็นภาษาแปลกๆ พวกนี้เข้าไป ซึ่งเกรดวิชาการเขียนโปรแกรมนั้นฉันได้เกรดเอมาหลายตัวทีเดียว
แต่ทว่าตลอดเวลาตั้งแต่เหตุการณ์ที่ข้างสนามบาสฯ ในวันนั้น ภาษาหัวใจของฉันนั้นเกรดติด x มาตลอด
ตอนใกล้เรียนจบ มีเพื่อนส่งข้อความทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาให้ฉันบอกว่า นัทขอเบอร์ติดต่อฉันไป ตอนนั้นฉันดีใจมากแต่ก็ได้แค่ดีใจ เพราะไม่มีวี่แววว่าเขาจะติดต่อมาแต่อย่างใด จนฉันเองก็ลืมไปเสียสนิทเพราะช่วงใกล้รับปริญญาบัตรมันก็ออกจะวุ่นวายอยู่พอสมควร
จนคืนหนึ่งเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ติดตามตัวดังขึ้นกลางดึก พอดังขึ้นท่ามกลางความเงียบแบบนี้ ก็ทำเอาฉันสะดุ้งตื่นขึ้นหลังจากเผอหลับไปเพราะความอ่อนล้า
“มิว นี่นัทนะ จำได้อยู่ไหมเนี่ย…” เสียงที่แสนอบอุ่นที่อาจไม่คุ้นเคยเหมือนเก่า แต่กลับทำให้หัวใจฉันตอนนั้นพองโตราวกับบอลลูนลูกยักษ์ที่กำลังถูกเติมอากาศอย่างเต็มที่
“นัทเหรอ จำได้สิ จำได้” ฉันพูดด้วยเสียงที่คนฟังคงพอเดาได้ว่าฉันตื่นเต้นขนาดไหน แล้วบทสนทนาต่อจากนั้นคืออะไรฉันก็แทบจำไม่ได้ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นดีใจ หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่าการกินคาเฟอีนเกินขนาดช่วงก่อนวันสอบไฟนอลเสียอีก
สรุปแล้วคือนัทอยากมาร่วมแสดงความยินดี ในวันรับปริญญาของฉัน ซึ่งวันนั้นฉันมีความสุขมากจริงๆ เพราะเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก หลังจากที่เราไม่ได้คุยหรือพบกันมาหลายปี แต่ทว่าก็เพียงได้แค่ถ่ายรูปกันสองสามภาพเท่านั้น ก่อนจะล่ำลากันไปเพราะความวุ่นวายในวันรับปริญญาบัตรนั่นเอง
“ยินดีด้วยนะมิว เราดีใจที่ได้เจอมิวอีกครั้ง ไว้จะโทรหาถ้ามีโอกาสนะ” ข้อความที่ส่งมาล่าสุดตอนค่ำวันนั้น ซึ่งฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นข้อความสุดท้ายที่เขาจะส่งมาให้
“มิว แกทำใจดีๆ นะ คือ...คือ นัท เสียแล้ว มีอุบัติเหตุรถชนตอนเขาขับรถไปทำงานที่ต่างจังหวัด แก…” โทรศัพท์หลุดมือฉันหล่นลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนหัวใจฉันในตอนนั้นไม่มีผิด ตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกมา
ที่งานศพของนัท มีเพื่อนๆ มากันมากมาย ทุกคนต่างรักและชื่นชมนัท ที่เป็นเพื่อนที่แสนอบอุ่น รักเพื่อนฝูง ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆ โดยตลอด ทุกคนต่างปลอบฉันไม่ให้เสียใจมากนัก ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ ฉันร้องจนไม่เหลือน้ำตาอีกแล้วในตอนนั้น จะเรียกว่าเกือบไม่เป็นคนเลยทีเดียวก็คงไม่ผิด เพื่อนหลายคนบอกว่า นัทคอยถามถึงสารทุกข์สุกดิบของฉันโดยตลอด แต่เขากลัวว่าจะเริ่มคุยกับฉันยังไงดี ที่จะไม่ให้ความเป็นเพื่อนของเราต้องเสียหายไปกว่านี้อีก
“คนบ้า นัท คนบ้า บ้าที่สุด” เสียงในหัวก้องวนอยู่ซ้ำๆ หลังจากนั่งฟังเรื่องราวจากเพื่อนหลายคน ในใจฉันแหลกสลายไม่มีชิ้นดี มีแค่กายที่ยังพอหายใจเข้าออกได้ก็เท่านั้นเอง
ฉันคอยแบกความโศกเศร้ามาเกือบปีและตอนนี้ฉันตัดสินใจว่าจะต้องทำสิ่งที่ตั้งใจให้ได้
ฉันกดเปิดแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นเองด้วยนิ้วที่สั่นเทา หน้าจอที่มืดสนิทก่อนหน้า ตอนนี้สว่างวาบขึ้นเป็นหน้าจอสีขาวโพลน สัญลักษณ์กระพริบรอให้ฉันพิมพ์ป้อนตัวอักษรลงไป มันกระพริบช้าเหมือนจะหยุดลงดื้อๆ แต่ที่จริงฉันคงรู้สึกไปเองเพราะหัวใจฉันตอนนี้มันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“สวัสดี” ฉันพิมพ์แล้วกดส่ง
“สวัสดีครับ” ข้อความแรกถูกส่งกลับมา มันสุภาพอย่างที่นัทเป็นเสมอ
“นัท เป็นไงบ้าง อยู่บนนั้นเหงาไหม”
“อืมม ก็นิดหน่อยนะ แต่โอเคทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงนะ” แค่ประโยคแรกน้ำตาฉันก็เริ่มเอ่อท้นออกมา
“ไม่เหงาจริงนะ”
“อืมม จริงๆ ไม่ต้องห่วงนัทหรอก”
“นัท”
“ว่าไง”
“จำช่วงสมัยมัธยมได้ไหม”
“จำได้สิ ตอนนั้นเราสนุกกันมากเลย มันเป็นช่วงที่ดีมากจริงๆ”
“เสียดายจัง ที่ไม่ได้คุยกับนัทไปนานเลยหลังจากเรียนจบมอปลายอ่ะ”
“นั่นสิ คิดถึงเพื่อนทุกคนเลย”
“ตอนนั้นขอโทษนะ ที่มิวพูดอะไรโง่ๆ ออกไป จนทำให้ทุกอย่างมันผิดไปหมด” น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนหลังมือที่กำลังกดแป้นพิมพ์อย่างทุลักทุเล
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอนะ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ เชื่อนัทนะ”
“บางอย่างมันคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วมั้ง เพราะทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปแล้ว” ฉันปล่อยโฮทันทีที่กดส่งข้อความออกไป
“ไม่สายหรอก เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอน่า แค่เราคิดว่าเรากำลังจะแก้ไขมันให้ถูกต้อง แสดงว่าการเริ่มต้นใหม่มันก็เกิดขึ้นแล้ว”
“แต่นัทไม่อยู่แล้ว” ฉันเอามือปิดปากที่กำลังสะอื้น
“บ้า นัทอยู่ข้างๆ เสมอนะ มีอะไรก็บอก ถ้าช่วยได้จะช่วยเต็มที่”
“นัท”
“ครับ”
“ขอถามอะไรอย่างนึงสิ”
“ถามมาเลย ^_^”
“นัทเคยชอบใครบ้างไหม” ฉันลังเลอยู่แวบนึงก่อนจะกดส่งไป แต่หัวใจฉันก็แค่ต้องการคำตอบบางอย่าง
“โห นี่มันคำถามสุดโหดเลยนะ”
“ถามจริงจังเลยนะ ช่วยตอบที นัทบอกจะช่วยทุกอย่างไง”
“อืมม….”
“นัทชอบใครบ้างรึเปล่า” น้ำตาฉันไหลพรากกับการรอคอยคำตอบที่อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง
“ก็เพื่อนเราสมัยเรียนมัธยมคนนึงนะ มันก็นานแล้วเนอะ”
“เขาชื่ออะไรเหรอ”
“เอาจริงๆ เลยเหรอ ดูท่าทางจริงจังเลยนะเนี่ย”
“ถามจริงๆ ขอร้องนะ”
“ก็เพื่อนเราที่น่ารักๆ ขี้เล่น ยิ้มเก่ง เพื่อนๆ ก็รู้อยู่แล้วนี่นา คนที่เราถามถึงบ่อยๆ”
“ใช่เพื่อนชื่อ มิว รึเปล่า”
“เฮ้ย รู้ได้ไง โหสุดยอดอ่ะ”
ถึงตอนนี้ฉันต้องหยุดกึก สัญลักษณ์ยังกระพริบรอฉันป้อนตัวอักษรลงไป แต่ตอนนี้ฉันร้องไห้เสียจนไร้เรี่ยวแรงที่จะพิมพ์อะไรต่อไปได้อีก
คงไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่าการที่ได้รับรู้ความจริงในวันที่มันเปล่าประโยชน์เสียแล้ว ฉันฟุบหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้น ในหัวมีแต่ภาพรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นครั้งสุดท้ายที่นัทมอบให้พร้อมช่อดอกไม้ในวันรับปริญญาฯ
ฉันนั่งมองดูข้อความสุดท้ายอยู่นานเกือบชั่วโมง น้ำตาที่ไหลแห้งเหือดไปหมดแล้ว ทิ้งไว้แต่รอยคราบเป็นทางยาวและเปลือกตาที่บวมเป่ง
“นัท” ฉันเริ่มพิมพ์อีกครั้ง
“ครับ”
“ถ้าเราไม่ได้คุยกับนัทอีก มันจะโอเคไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก เอาที่สะดวกเลยนะ”
“แล้วถ้าเราไม่มีโอกาสจะเจอกันอีกแล้ว มันจะโอเคไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจเพื่อนเสมอ”
“มิวควรต้องก้าวต่อไปใช่ไหม ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”
“ใช่ เราต้องเข้มแข็งและผ่านไปให้ได้นะ นัทจะเป็นกำลังใจให้อีกทาง”
“เราอาจต้องยอมปล่อยอะไรบางอย่างไปใช่ไหม ถ้ามันไม่มีประโยชน์ที่จะฉุดรั้งเอาไว้อีกแล้ว”
“ใช่ ปล่อยมันไปเถอะ ถ้ามันต้องทุกข์ขนาดนั้น ก็วางมันลงแล้วเดินต่อไปน่าจะดีกว่านะ”
“นัทจะคอยเป็นกำลังใจให้จริงๆ ใช่ไหม”
“จริงสิ นัทเคยผิดสัญญากับเพื่อนเหรอ ไม่เคยนะ”
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก สบายมาก”
“งั้นเราคงต้องไปละ”
“อืมม เราก็คงต้องไปเหมือนกัน”
“ดูแลตัวเองนะ จะคิดถึงนัทเสมอนะ ลาก่อน”
“บายนะ ดูแลตัวเองด้วย เป็นห่วงเพื่อนเสมอครับ”
“บาย” ฉันกดปุ่มเพื่อส่งข้อความสุดท้ายช้าๆ
“บายครับ”
แล้วฉันก็กดปิดแอปพลิเคชัน หน้าจอกลับมาดำมืดอีกครั้ง ฉันเข้าไปในหน้าจอการตั้งค่า เพื่อลบแอปพลิเคชันที่ชื่อ “คุยกับนัท” ออกไปอย่างถาวร ซึ่งทันทีที่กดยืนยัน ทุกอย่างก็กลายเป็นอดีตไปในชั่วเสี้ยววินาที
ฉันหยิบรูปถ่ายในวันรับปริญญาฯ ออกมาจากลิ้นชัก น้ำตาหยดสุดท้ายค่อยๆ ไหลออกมา แม้ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน แต่มันก็เปล่าประโยชน์
“ลาก่อนนัท พักให้สบายนะ มิวรักนัทเสมอนะ จะไม่รั้งนัทไว้เพื่อความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว” ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ
ฉันเช็ดน้ำตาจนแห้ง เก็บของทุกอย่างลงกล่องปิดผนึกไว้อย่างดี ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงห้ามฉันไม่ให้สร้างแอปพลิเคชันนี้ขึ้นมา มันสร้างความเจ็บปวดมหาศาลจริงๆ เพราะเหมือนกับนัทยังไม่จากไปไหน เขายังอยู่ตรงนี้ ซึ่งนั่นมันเป็นการหลอกตัวเองชัดๆ
แต่นัทในโลกที่จำลองขึ้นมาก็ยังช่วยไขข้อข้องใจให้ฉันได้ข้อหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่เขาชอบใครหรอก แต่เป็นเรื่องที่เขาบอกฉันให้ก้าวต่อไป วางสิ่งที่ทุกข์ไว้ข้างหลัง นั่นทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง และทำใจได้ในที่สุด
“ขอบคุณนะนัท ขอบคุณจริงๆ”
ฉันนึกในใจก่อนหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาแป้ง เผื่อว่าจะชวนเธอไปหาอะไรทานกัน ฉันคงนั่งจมอยู่ในห้องมืดๆ นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
เพราะสัญญาที่ให้กับนัทแล้วว่าจะเดินต่อไป โดยมีเขาคอยส่งกำลังใจให้จากที่ไกลแสนไกลที่ไหนสักที่บนจักรวาลนี้เป็นแน่ ฉันมั่นใจอย่างนั้น
จงสารภาพความในใจของคุณเถิด แม้ว่าคำตอบของมันอาจจะทำคุณดีใจยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1 จนต้องตะโกนลั่นห้อง หรือบางที่มันเจ็บปวดจนคุณต้องนอนร้องไห้ ตาบวมปูดอยู่นานสองนาน
แต่มันก็คุ้มค่าที่จะได้ลอง
ดีกว่าจะมานั่งเสียใจว่า "ทำไมวันนั้นเราไม่บออกออกไป"
พร้อมรึยังครับ สูดหายใจลึกๆ ปิดหน้าจอนี้ลง แล้วกดโทรออกหาเขาหรือเธอ แล้วบอกเขาเถอะครับ เขาอาจรอมันอยู่อย่างใจเต้นโครมครามเหมือนกันก็ได้ ใครจะรู้
แด่ทุกความรักที่ไม่มีโอกาสได้เผยความในใจบนโลกใบนี้ ด้วยความหวังดีจากเพจเรื่องสั้นๆ ครับ
#Deux storylog

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา