6 ก.ค. 2019 เวลา 00:00 • การศึกษา
“คนบ้าทำความผิด ไม่ต้องรับโทษ จริงหรือไม่ ? ”
ผู้อ่านคงเคยได้ยินสุภาษิต “อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา” กันใช่มั้ยครับ ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ อย่าไปถือสาคนที่ไร้สติ เพราะคนไร้สติทำอะไรโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดการควบคุม ทำให้แสดงออกในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่สมควร
แต่ในทางกฎหมายนั้น สุภาษิตนี้อาจใช้ไม่ได้ไปซะทั้งหมด
กรณีที่คนบ้าได้ทำความผิดตามกฎหมายอาญา เช่น ไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของ หรือไปทำลายทรัพย์สินของคนอื่นนั้น ในสายตาของคนทั่วไปอาจมองว่า คนบ้าทำความผิดโดยไม่มีสติ ไม่มีเจตนา จึงไม่สมควรต้องถูกลงโทษ
ส่วนในสายตาของกฎหมายนั้น ได้มองต่างออกไป โดยแบ่งระดับของความบ้า ในขณะทำความผิดและการลงโทษไว้อย่างนี้ครับ
Lv 1. 🥴 ถ้าทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
⚫ ตัวอย่าง
จำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตมานานแล้ว จะมีการกำเริบ เป็นครั้งคราวและไม่อาจรู้ได้ล่วงหน้า เมื่อมีอาการทางจิตแล้วจะรู้สึกกลัวและจำอะไรไม่ได้
การที่จำเลยฟันทำร้าย ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสี่มีเรื่องบาดหมางมาก่อนอันจะเป็นมูลเหตุให้จำเลยโกรธเคืองมุ่งร้ายผู้เสียหาย ถือเป็นการผิดปกติวิสัยที่คนจิตปกติจะมาฟันทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏสาเหตุใด ๆ มาก่อน
ดังนั้น พฤติการณ์ที่จำเลยกระทำย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายทั้งสี่ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่ สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องหรือโรคจิต จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดดังกล่าว
การกระทำของจำเลยที่ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายอาญานั้นต้องพิจารณาถึง
ผู้กระทำว่า "รู้สึกผิดชอบในการกระทำผิดลงในขณะนั้น" กับ "ขณะนั้นผู้กระทำสามารถยับยั้งหรือบังคับตนเองได้หรือไม่" อันเนื่องจากมีจิตบกพร่องหรือโรคจิต
มิใช่ถือเอาการกระทำของจำเลยภายหลังเกิดเหตุที่นำชี้สถานที่เกิดเหตุกับแสดงท่าทาง ในการกระทำผิดมาเป็นเกณฑ์พิจารณาประกอบการกระทำความผิดที่กระทำก่อนแล้วไม่
(อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 530/2542)
Lv 2. 🤒 ถ้าผู้ทำผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง จะต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้
⚫ ตัวอย่าง
จำเลยมีอาการป่วยทางจิตคล้ายเป็นโรคจิตเภทโดยมีอาการระแวง จึงไปรับการรักษาที่คลินิกรวม 4 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจำเลยบอกแพทย์ที่รักษาว่าหายแล้ว ขอเลิกกินยา แสดงว่าอาการของจำเลยต้องดีขึ้น สามารถพูดจารู้เรื่องแล้ว
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน จำเลยเคยนำอาวุธปืนของกลางออกไปใช้แล้วนำกลับไปคืนที่บ้านนาย A
ในวันเกิดเหตุจำเลยงัดกุญแจประตูห้องนอนของนาย A แล้วนำอาวุธปืนของกลางออกไป โดยก่อนไปยังขอเงินภริยาจำเลยเพื่อเติมน้ำมันแล้วขับรถยนต์ออกไป
หลังเกิดเหตุที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว จำเลยยังสามารถขับรถยนต์หลบหนีกลับบ้านได้
และในชั้นสอบสวนจำเลยพูดจารู้เรื่องสามารถพูดโต้ตอบได้
จึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำความผิดในขณะยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามกฎหมายอาญา
(อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 1226/2547)
สรุปคือ กฎหมายได้กำหนดระดับของความบ้าเอาไว้ โดยดูว่าในขณะทำความผิด
ผู้กระทำความผิดสามารถรู้ผิดชอบหรือไม่ ถ้าไม่รู้เรื่องเลยว่าการกระทำของตนเป็นความผิด กฎหมายมองว่าบุคคลดังกล่าวไม่สมควรถูกลงโทษ โดยศาลอาจมีคำสั่งให้ส่งตัวไปรักษาได้
แต่ถ้าขณะทำความผิด ผู้ทำผิดยังพอรู้ตัว หรือมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ศาลจะสั่งลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเท่าไหร่ก็ได้ครับ
ขอบคุณภาพจาก pixabay
ถ้าได้ประโยชน์จากบทความนี้ ช่วยกด Like, Share ด้วยนะครับ 😻
Cr. pixabay

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา