16 ก.ค. 2019 เวลา 04:37
The Mellowness of Latte (*)
Prologue
'ทุกคนมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมนุษย์จะนิยามคำว่า 'รัก' ไว้หลายร้อยล้านรูปแบบ
'ซาร่าห์' เองก็ไม่ต่างกับคนอื่นเท่าไหร่นัก เธอมองว่าความรัก คือ ความสวยงามอย่างหนึ่งของธรรมชาติ เหมือนปาฏิหารย์ที่วิเศษไม่แพ้เวทย์มนตร์ในหนังสือเล่มใด...'
"แล้วอะไรต่อดีนะ... เห้อ..." 'แอช เอลเมอร์' หญิงสาววัยยี่สิบแปดปีฟุบหน้าลงกับโต๊ะหนังสือด้วยความเหน็ดเหนื่อย ดวงตากลมสีอเมทิสท์ปรือลงเพราะความอ่อนล้า
หญิงสาวส่ายหัวไปมาเพราะความหงุดหงิดที่รู้สึกเบื่อทั้งๆที่เพิ่งเริ่มแต่งบทนำไปได้ไม่กี่ประโยค หากเธอยังปั่นต้นฉบับด้วยความเร็วแบบนี้ หนังสือเล่มใหม่ของเธอคงได้ถูกเลื่อนไปวางขายช่วงปีหน้าแน่ๆ และนั่นก็จะทำให้คนเริ่มสงสัยว่านักเขียนที่กำลังเป็นที่รู้จัก เพราะผลงานนิยายแฟนตาซีชื่อดังหายตัวไปไหน
ถ้าให้พูดตามความจริง ช่วงนี้สมองเธอไม่ค่อยทำงานเท่าไหร่นัก เพราะพยายามคิดพล็อตยังไงก็คิดไม่ออก ไม่เหมือนกับเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เธอเพิ่งออกจากรั้วมหาลัย
การได้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกโครงงานทับถมอยู่นานทำให้หญิงสาวมีไฟลุกโชน คนในสำนักพิมพ์ต่างก็ชื่นชมในความรวดเร็วของเธอที่สามารถแต่งนิยายแฟนตาซีเป็นเซ็ตหกเล่มได้จบภายในเวลาหนึ่งปี แล้วไหนจะนิยายโรแมนติกอีกสองเล่ม แถมนิยายทั้งแปดเล่มนั้นยังติดอันดับ Best sellers อีกต่างหาก น่าเสียดายที่หลังจากแต่งจบ แอชก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองไม่ได้คิดพล็อตของเรื่องต่อไปเอาไว้เลย แถมไฟที่ลุกในตอนแรกก็เริ่มมอดลงเรื่อยๆ หญิงสาวเริ่มแอบคิดว่าจะลองไปปรึกษา 'วิลสัน' ดู บางทีเธออาจจะขอคดีเขามาซักสองสามคดี แล้วเขียนเล่าเรื่องพวกนั้นคั่นระหว่างที่เธอหาแรงบันดาลใจแต่งเรื่องใหม่ไปก่อน
In a little while from now. If I’m not feeling any less sour. I promise myself to take myself and visit a nearby tower~
เสียงริงโทนที่เซ็ตไว้เป็นเพลง Alone again naturally ของ Gilbert O'Sullivan ดังขึ้น
เมื่อหยิบมาแล้วพบว่าเป็นเบอร์โทรที่เธอไม่ได้เม็มไว้ และไม่รู้จัก หญิงสาวก็ถอนหายใจก่อนจะกดรับสายแล้วทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหวานๆแม้ในใจเธออยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ออกนอกหน้าต่างแทบจะทันทีที่เห็นเบอร์ก็ตาม
เธอสาบานเลยว่านี่เป็นครั้งที่สามของวันที่มีนักข่าวโทรมากวนเวลาทำงานของเธอ
"คะ? ทำภาพยนตร์หรอคะ!?" หญิงสาวเบิกตา
กว้างด้วยความตกใจ เพราะนอกจากปลายสายจะไม่ใช่นักข่าวอย่างที่คิดไว้แล้ว โปรเจกต์ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็ทำให้เธอสนใจจนต้องเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง
"แน่นอนค่ะ! ยินดีเลยล่ะค่ะ! ได้ค่ะ วันจันทร์นี้นะคะ!"
แอชคว้าปากกาบนโต๊ะขึ้นมาจดวันที่ เวลา และเบอร์ติดต่อลงบนปฏิทิน ใบหน้าของหญิงสาวประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง เธอกดวางสายโทรศัพท์แล้วกระโดดลงนอนบนเตียงด้วยความดีใจ
เส้นผมสีควันบุหรี่แผ่สยายบนผ้าปูที่นอน หญิงสาวม้วนเส้นผมของตนเองเล่นขณะที่เงยหน้ามองเพดานห้อง ในหัวจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
‘เราสนใจหนังสือเรื่อง The Story of soulmate ของคุณมากๆนะ เป็นไปได้มั้ยถ้าเราจะขอนำมันไปสร้างเป็นภาพยนตร์’
“ไม่จริงน่า...” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่แอชก็ยิ้มไม่หยุดอยู่ดี ใครจะไปเชื่อว่านิยายโรแมนติกสุดเพ้อฝันของเธอจะไปเข้าตาผู้กำกับหนังชื่อดังได้กันล่ะ
‘The story of soulmate’ เป็นนิยายเพ้อฝันบวกแฟนตาซีเกี่ยวกับคนรักสองคนที่ตัดสินใจตั้งกฏแปลกประหลาดขึ้นมาเพื่อทำความรู้จักกัน
‘ชั้นจะไม่แตะตัวคุณ เราจะได้ไม่ต้องรู้ว่าเราเกิดมาเพื่อกันรึเปล่า หากสุดท้ายแล้วเราไม่ได้คู่กัน ชั้นก็อยากให้คุณรู้ว่าชั้นดีใจนะ ที่คุณตัดสินใจชวนชั้นคุยในวันนั้น’
ก็นะ แค่ประโยคนี้ก็ทำให้รู้แล้วว่านิยายเรื่องนี้น้ำเน่าแค่ไหน แต่ก็นั่นล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่แอชจะต้องไปค้านพวกเขาให้ไม่ทำให้ฝันของเธอเป็นจริง
“จริงสิ! ต้องบอกพวกนั้น!” คิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็ถือโทรศัพท์ขึ้นมากดคอลกลุ่มในเมสเซนเจอร์ทันที
เธอชอบการโทรคุยกันมากกว่าการพิมพ์ เธอเป็นนักเขียน และเข็ดขยาดกับแป้นพิมพ์มามากพอแล้ว ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะทำงาน แอชก็ไม่อยากจะแตะมันเท่าไหร่นัก
“มีอะไร?” ‘วิลสัน’ เป็นคนแรกที่รับสายเธอเสมอ ทั้งๆที่หมอนั่นก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น เขาทำงานเป็นนักสืบเอกชน จะออกจากรังก็เฉพาะตอนที่มีคดีที่น่าสนใจเกิดขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่ทำงาน สิ่งที่หมอนั่นทำคงเป็นการนอน ไม่ก็นอน
จริงอยู่ที่เพื่อนคนนี้มีนิสัยขี้เกียจชนิดที่แมวยังอาย แต่เขาเป็นผู้ฟังที่ดีให้เธอเสมอมา และมีเวลาให้เธอตลอด ยกเว้นว่าเธอจะโทรไปหาตอนที่เขากำลังวิ่งไล่จับผู้ร้ายอยู่
“หนังสือของชั้นจะได้เอาไปทำหนังล่ะ!” แอชตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง เพราะวิลสันเป็นคนนิ่งๆ เธอจึงต้องเข้าหาเขาอย่างมีชีวิตชีวาเสมอ
“ยินดีด้วยนะ!” ‘ราเชล’ ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนเอ่ยคำยินดี ราเชลเป็นอีกคนที่แอชรู้สึกสนิทด้วยรองจาก
วิลสัน เธอเป็นคนพูดเก่ง และฉลาดพูดเสียด้วย เธอสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนให้มอบในสิ่งที่เธอต้องการได้อย่างง่ายดาย
โชคดีที่หญิงสาวตัดสินใจนำความสามารถนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำงานเป็นจิตแพทย์ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอจะมีธุรกิจรองรับอยู่แล้วก็ตาม ราเชลก็ยังคงดื้อดึงที่จะทำตามความฝันของตนเองอยู่ดี
“มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรอ?” ‘คลอเดีย’ ที่เพิ่งกดเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงงุนงง เธออายุน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่พรสวรรค์ด้านดนตรีของเธอกลับเกินวัยจนน่าเหลือเชื่อ สิ่งที่แอชประทับใจเกี่ยวกับดนตรีของรุ่นน้องสาวมากที่สุด คือเธอรู้สึกเหมือนมีธรรมชาติล้อมรอบตัวขณะที่ดนตรีของคลอเดียดังขึ้น ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้ามันจะเป็นเสียงเพลงที่เธอเปิดขณะเขียนนิยายเป็นประจำ
“เกิดเรื่องอะไรรึเปล่า? เธอโอเคมั้ย?” ‘โซล’ พ่อพระของกลุ่มถามด้วยความเป็นห่วง รุ่นน้องคนนี้อายุมากกว่าคลอเดียแค่ไม่กี่เดือน เขาเป็นเจ้าของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และเป็นคนที่พึ่งพาได้เสมอ แต่แอชก็ไม่ได้สนิทกับโซลมากนักแม้ทั้งสองคนจะมีนิสัยคล้ายๆกัน ต่างกันก็ที่แอชจะขี้เกียจ และติดที่นอนมากกว่า
“ไม่มีเรื่องอะไรไม่ดีซักหน่อย แต่หนังสือของชั้นได้เอาไปทำหนังล่ะ!” แอชบอกทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่ต่างจากเดิม
แอชหลงรักการดูภาพยนตร์ เธอมองว่าหากการเขียนหนังสือคือการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา การสร้างภาพยนตร์ก็คือการนำโลกนั้นมาทำให้เป็นจริง หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับโลกความเป็นจริงมากที่สุด ถึงแม้ว่าในใจเธอจะแอบคาดหวังว่าพวกเขาจะสนใจหนังสือแฟนตาซีของเธอมากกว่า แต่แบบนี้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่หรือ?
“ยินดีด้วยนะคะ พี่แอช!” คลอเดียปรบมือด้วยความยินดี เมื่อก่อนเธอเรียกแอชว่า รุ่นพี่ แต่หลังจากที่เรียนจบมหาลัย แอชก็บอกเธอว่าไม่ต้องเรียกแบบนั้นแล้ว จริงๆแอชให้คลอเดียเรียกเธอด้วยชื่อเฉยๆเลยด้วยซ้ำ แต่รุ่นน้องสาวก็ปฏิเสธ
“แบบนี้พวกผมคงต้องหาวันว่างนัดกันไปดูหนังแล้วล่ะครับ” โซลพูดยิ้มๆ เอาจริงๆแอชไม่รู้หรอกว่าเขายิ้มอยู่รึเปล่า แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มมันบอกเธอแบบนั้นจริงๆ
“ดีเหมือนกันนะ ช่วงนี้พวกเรายุ่งๆ ไม่ได้ไปไหนด้วยกันซักพักแล้ว” ทุกคนส่งเสียงฮึมฮัมเป็นเชิงตกลง และเดาว่าคงกำลังเปิดปฏิทินเช็ควันว่างกันอยู่
“เดี๋ยวๆๆ ชั้นเพิ่งตอบตกลง นักแสดงก็ยังไม่มี วันกำหนดฉายก็ยังไม่รู้ พวกนายรีบกันเกินไปรึเปล่า” แอชโวยวายใส่เสียงดังจนคลอเดียหัวเราะชอบใจ
“นั่นสิ... ถ้าจะนัดเจอกัน... ไปเจอที่คลับวินเซนต์ก็ได้มั้ง?” วิลสันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อืม... พรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็นเป็นไง? โซล นายจองห้องวีไอพีให้ได้รึเปล่า?” ราเชลถาม เดาว่าเธอคงแอบเกรงใจรุ่นน้องหนุ่มอยู่เหมือนกัน ปกติเวลามีงานสังสรรค์ในกลุ่มทีไร โซลก็มักจะเป็นคนจัดงานให้ตลอด
“ไม่มีปัญหาครับพี่ราเชล ห้องเดิมนะครับ” พูดจบ เขาก็ออกจากสายเพื่อไปจัดการเรื่องจองสถานที่
“หนูขอตัวก่อนนะคะพี่ๆ อีกครึ่งชั่วโมงจะขึ้นโชว์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคะ” ราเชลฮัมตอบ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวด้วย
“ชั้นก็ต้องไปละนะ มีนัดคนไข้ แล้วเจอกันแอช เธอก็อย่าบ้าจนลืมพักล่ะ” แอชหัวเราะแห้งๆให้กับคำพูดของเพื่อนสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรือจะหลอกด่ากันแน่
“นายก็จะไปแล้วใช่มั้ยวิล? พรุ่งนี้ต้องไปนะ! แล้วก็นอนมาให้พอ! อย่ามาเที่ยวหลับตอนเราคุยกันอีกล่ะ!” เมื่อเหลือเพื่อนแค่คนเดียว แอชเลยตัดสินใจว่าตนเองก็ควรจะกลับไปทำงานได้แล้ว
“ไม่มีงานสักหน่อย... อื้อ รู้แล้ว... เดี๋ยวนอนตุนไว้ตั้งแต่วันนี้เลย” พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แอชได้ยินอีกฝ่ายหาวด้วย แล้วสายก็ตัดไป
แอชพาตนเองกลับมาที่เก้าอี้ตัวเดิมและเริ่มเขียนอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาของเธอเปลี่ยนไป
ถ้ารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ถนนที่ต้องเดินก็เหมือนจะดูน่าสนุกขึ้นเยอะเลย
*ไม่ต้องสงสัยนะคะ เรื่อง Our love is like latte นี่แหละค่ะ แต่ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องนะคะ ชอบอันนี้มากกว่า 5555
Talk//
มาตามที่สัญญาแล้วค่ะ;) เอาจริงๆคือมาคิดได้ทีหลังว่าภาษาอังกฤษมันไม่มีการเรียก พี่ นี่นา คิดว่าคงมีอะไรให้ต้องระวังอีกเยอะเลยค่ะ ยังไงก็ขอฝากเหมือนทุกทีนะคะ เราจะพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะ รักเสมอค่ะ😊💕

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา