25 ก.ค. 2019 เวลา 12:19 • บันเทิง
เรื่องสั้น : จิโซ (1)
ขณะกำลังพลิกหน้านิตยสารท่องเที่ยวไปมาแก้เบื่อ ช่วงเข้าเวรห้องฉุกเฉินในคืนเนิบนาบกลางฤดูหนาวแบบนี้ ภาพเล็กๆ หลายภาพซึ่งเป็นวิวทิวทัศน์ที่ถูกถ่ายมาจากทั่วทุกมุมของเมืองนารา มีภาพหนึ่งในนั้นที่ทำเอาฉันต้องสะดุดสายตา มันเป็นรูปของเทวรูปหินผูกผ้าสีแดงดูเก่าซีด ใบหน้าที่สลักขึ้นดูคล้ายกำลังอมยิ้ม รูปสลักหินทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นอีกครั้ง
เทวรูปหินรูปร่างคล้ายพระธุดงค์ที่เรียกันว่า จิโซ ตั้งเรียงรายกันอยู่ข้างถนนดินแคบๆ ที่ข้างกำแพงบ้านฉัน เพื่อนที่เคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านต่างชื่นชอบและมักมาไหว้ขอพรกันเป็นประจำ แต่สำหรับตัวฉันเอง กลับไม่กล้าแม้จะเดินผ่านซอยข้างบ้านนี้สักเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คงเพราะภาพสยองในพลบค่ำวันนั้นเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน
วันนั้นฉันเดินกลับจากโรงเรียนเพียงลำพัง เพราะกว่าจะเสร็จจากการซ้อมว่ายน้ำหลังเลิกเรียนของชมรมก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มแล้ว ถนนหนทางเริ่มเงียบสงัด เพราะแถบชนบทเช่นนี้ พอพลบค่ำแล้ว ทุกคนก็จะเข้าบ้านทานอาหารกันแล้วจึงพักผ่อน ไม่มีร้านรวงอะไรเปิดจนดึกดื่นเหมือนสมัยนี้
ฉันแทบจะเป็นคนเดียวในตอนนั้นที่เดินอยู่บนถนนที่ทอดยาวไปตามทุ่งนาข้างทาง แสงสีส้มกำลังจะลับขอบฟ้า ก้าวสั้นๆ ก่อนหน้า ตอนนี้เปลี่ยนเป็นก้าวยาวขึ้นและเร่งจังหวะขึ้น เส้นทางที่ใกล้ที่สุดคือถนนดินที่ทอดยาวผ่ากลางทุ่งนาเว้งวาง มันมุ่งตรงไปสิ้นสุดยังซอยแคบๆ ที่ตัดกับถนนกลางหมู่บ้าน และซอยนั้นอยู่ติดข้างบ้านของฉันพอดิบพอดี ฉันจึงตัดสินใจใช้ทางนี้เพื่อให้ถึงบ้านทันก่อนจะมืด
ด้านหลังบ้านของฉันที่ถนนดินตัดผ่านนั้น เป็นบ้านเก่าที่ซ่อนอยู่ในสวนแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ หากในช่วงกลางวันอาจพอมองลอดผ่านรั้วต้นไม้เข้าไปด้านในได้บ้าง เราจะเห็นสวนบอนไซที่พริ้วไหวสวยงาม กับหินรูปร่างแปลกตาขนาดใหญ่ ลานกว้างประดับด้วยกรวดทรายดูโปร่งโล่งสงบแบบสวนเซน
แม่เคยเล่าให้ฟังว่าเป็นบ้านของตระกูลซามูไรเก่าแก่ ที่ตอนนี้เหลือเพียงคุณป้าคนหนึ่งกับลูกชายของแกที่อาศัยอยู่ แต่นานหลายปีแล้วที่ไม่มีใครได้คุยหรือพบเจอคุณป้ากับลูกเลย มีบ้างที่เคยเจอคุณป้ามาหาซื้ออาหารมังสาวิรัตเพื่อตุนไว้ตลอดช่วงฤดูหนาวที่ยากลำบาก
ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังเดินผ่านรั้วบ้านหลังใหญ่ที่ว่า ก็อดไม่ได้ที่จะมองลอดข้ามรั้วไปด้านใน แสงสว่างที่บางเบานั้นทำให้เห็นเพียงเงามืดทึมของก้อนหินที่เรียงรายสลับกับต้นไม้ รูปร่างเงาลางๆ กลับช่างน่ากลัวเมื่อมองผ่านความมืดเข้าไป
ขณะที่เร่งเดินผ่านมีเสียงแปลกๆ ดังแทรกเสียงฝีเท้าของฉันเองขึ้นมา เป็นเสียงครืดคราดจนรู้สึกเสียวฟัน เสียงที่ว่าดังขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าฉันกำลังเข้าใกล้ต้นตอเสียงเข้าไปทีละน้อย
อีกราวสิบกว่าเมตรเห็นจะได้ ฉันจำได้ว่ามีตุ๊กตาจิโซเรียงรายทอดไปตามแนวรั้วอยู่ตรงนั้น เสียงที่ว่าก็น่าจะมาจากที่เดียวกัน ฉันจึงค่อยชะลอฝีเท้าลงและเพ่งเข้าในในความมืดสลัว
บางอย่างตรงนั้นมีสีขาวจางๆ จนพอมองออกเมื่อตัดกับความมืดสลัวตรงหน้า มันกำลังขยุกขยิกอยู่ข้างรูปปั้นจิโซ พอเพ่งมากขึ้นก็พอจะมองเห็นรูปร่างคร่าวๆ ซึ่งสิ่งที่ฉันบอกกับตัวเองในสมองตอนนั้นคือ
“ปีศาจกัปปะ”
ด้วยท่านั่งยองกับลำตัวซีดเผือก ผมยาวรุงรังที่ปกหน้าตา กับแขนขาที่ยาวเก้งก้างที่กำลังเกาะกุมจิโซอยู่ ปากที่อ้ากว้างเห็นฟันสีขาวลางๆ กำลังขบกัดที่ส่วนหัวของจิโซะพร้อมเสียงครืดที่เสียดแทงแก้วหูยิ่งกว่าเดิม
1
ฉันกรีดร้องสุดเสียงกับภาพตรงหน้า แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ฉันมั่นใจว่าว่ามันไม่ใช่มนุษย์ปกติเป็นแน่ ฉันวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม วิ่งแบบไม่คิดชีวิตตัดลงไปที่ทุ่งนาที่ตอนนี้มืดเกือบสนิทอย่างไม่เกรงกลัวอะไรอีก เพราะสติของฉันเตลิดไปไกลเกินกว่าจะควบคุมได้ ด้วยภาพที่น่าสะพรึงที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่ ฉันได้แต่กรีดร้องและวิ่งไปยังแสงสว่างที่ใกล้ที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นไฟถนนที่พอมองเห็นอยู่ริบๆ
ในขณะที่นึกภาพในอดีตอยู่แม้ในตอนนี้ มือทั้งสองยังเปียกชื้นและสั่นเทิ้ม คอฉันแห้งผาก จนกลืนได้ลำบาก
ฉันเคยพยายามเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่เปล่าประโยชน์
“หนูตาฝาดหรือเปล่าลูก ว่ายน้ำจนเหนื่อยละมัง เลยเบลอขาดนั้น”
คำตอบของแม่ก็ยังเป็นแบบที่แม่เป็นจริงๆ
“คุณหมอโนฮาระ เชิญที่ห้องฉุกเฉินด่วนค่ะ” เสียงจากลำโพงในห้องพักแพทย์ปลุกฉันจากความทรงจำในอดีตขึ้นทันที
ฉันรีบลุกแล้วจ้ำเท้าไปห้องฉุกเฉินในทันที เวลาทุกนาทีมีค่าสำหรับทุกชีวิตในภาวะวิกฤติเสมอ
“คุณหมอ เคสนี่ เออ..เออ” พยาบาลอึกอักจนน่าสงสัย
“เตียงไหนละ รีบบอกมาสิคะ”
“เตียง 3 ที่ปิดม่านไว้ค่ะคุณหมอ เพิ่งเข้ามาด้วยอาการหัวใจเต้นผิดปกติ บวมน้ำอย่างรุนแรง ผู้ป่วยต่อต้านเลยต้องรัดตรึงไว้กับเตียง คุณหมอระวังด้วยนะคะ” พยาบาลยื่นแฟ้มผู้ป่วยให้ด้วยมือสั่นเทา
ฉันอดสงสัยไม่ได้กับท่าทีที่ว่า แต่ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ป่วยบางรายมีอาการต่อต้าน บ้างก็เอะอะเสียงดัง กร่นด่าคนที่เข้าใกล้อย่างบ้าคลั่ง พยาบาลส่วนใหญ่ก็อึดอัดกับผู้ป่วยแบบนี้เสมอ
“เฮ้อ..” ฉันถอนหายใจกับภาพคนเมาอาละวาดที่คงจะเจอหลังม่านนั่น แต่ก็แปลกที่ไม่มีเสียงโวยวายเอะอะอะไรอย่างที่คิดไว้
ฉันค่อยๆ รูดม่านเปิดออก
“สวัสดีค่ะ ฉันหมอโนฮา..” ฉันสะดุกเฮือกจนพูดไม่จบคำ
ร่างเปลือยเปล่ากำลังดิ้นทุรนทุรายบนเตียง ผิวหนังซีดขาวบางจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวแตกแขนงไปทั่วตัว ส่วนท้องบวมเป่งคล้ายลูกโป่งใส่น้ำที่กำลังจะระเบิดในไม่ช้า แขนขาบวมคล้ายตุ๊กตามนุษย์ถูกอัดลมจนใกล้ปริแตก
ฉันอ้าปากค้างอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ตัว จนพยาบาลเข้ามาเขย่าแขนเรียก
“คุณหมอคะ จะให้ทำไรเพิ่มอีกไหมคะ ตอนนี้กำลังพยายามเจาะเลือดผู้ป่วยอยู่ค่ะ แต่เส้นเลือดหดเล็กมาก อาจจะกำลังช๊อค”
“เออ...เจาะเลือดค่ะ ตรวจซีบีซี.. บียูเอ็น ครีเอตินิน อิเลคโตรไลท์ กับ..กับ..การทำงานของตับด้วย หมอขอผลด่วนนะ แจ้งทางห้องแลปด้วย” ฉันยังตะกุกตะกักจากภาพตรงหน้า
“ได้ค่ะ จะรีบเจาะแล้วส่งด่วนค่ะ”
ฉันพยายามมองร่างตรงหน้าอย่างละเอียด หน้าตาที่บิดเบี้ยวมีผมยาวรุงรังปกหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ที่ปากเผยให้เห็นฟันหน้าที่ยื่นยาวออกมาจากริมฝีปากแต่สภาพหักบ้างแตกบ้างหลุดหายไปบางซี่ ดูราวกับรั้วไม้เก่าที่ล้มและผุพัง
ฉันพยายามรวบรวมความกล้า สูดหายใจเข้าเต็มปอด
“คุณ คุณค่ะ ได้ยินหมอไหม”
“อย่าดิ้นเลย พยาบาลจะได้เจาะเลือดไปตรวจค่ะ หมอจะรักษาให้นะ อย่าขัดขืนเลยค่ะ”
เปล่าประโยชน์ ร่างบวมเป่งกลับดิ้นไปมาอย่างไร้การควบคุม พยาบาลหลายคนเข้ามาช่วยกันจับแขนขาตรึงไว้
“มานี่ หมอช่วย” ฉันเอามือจับที่ข้อมือซ้ายของเขา ผิวหนังที่จับยุบลงราวกับฟองน้ำ อาการบวมน้ำดูแย่กว่าที่ตาเห็นมากจริงๆ
แต่ในทันทีที่ฉันสัมผัส ร่างตรงหน้ากลับค่อยๆ สงบลงและเริ่มนิ่ง ขยับเพียงการพยายามหายใจฝืนให้มีชีวิตต่อไป
“รีบเจาะเลือด เตรียมชุดเจาะท้องด้วย คงต้องเอาน้ำออกจากช่องท้องเยอะเลยคะ” ฉันตะโกนสั่ง
หลังจากคนไข้เริ่มสงบ เป็นโอกาสที่จะให้ยานอนหลับ เพื่อให้การจัดการและดูแลผู้ป่วยที่ก้าวร้าวนั้นง่ายขึ้น ซึ่งพอเขาหลับไป การวางแผนการรักษาจึงเริ่มขึ้นจริงๆ เสียที
“หมอโนฮาระ ได้ยินว่าเจอเคสประหลาดเหรอครับ” หมอโอตะ แผนกอายุรกรรม พูดขึ้นขณะกดกาแฟจากเครื่องชงอัตโนมัติในห้องพักแพทย์
“ใช่ค่ะ เขาดูแปลกมาก อาการก็มีสาเหตุที่อาจเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ฉันกลับรู้สึกแปลกๆ กับเคสนี้นะคะ” ฉันหยิบแฟ้มผู้ป่วยที่พยาบาลเพิ่งนำมาให้เมื่อครู่ขึ้นอ่าน
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ ประหลาดกว่าผมคงไม่มีหรอก เชื่อสิ” เขายิ้มทะเล้นก่อนเดินออกห้องไป
“ตาบ้า” ฉันนึกยิ้มในใจ
ฉันไล่อ่านประวัติคร่าวๆ พบว่ามีคนพบเขาหมดสติอยู่กลางถนนในหมู่บ้าน
“มีคนพบผู้ป่วยนอนหมดสติอยู่ริมทางซอยสาม ถนนคิตายามะ” พยาบาลเขียนในส่วนประวัติผู้ป่วย
“ตายแล้ว หรือ...จะใช่อย่างที่คิด” ฉันเผลออุทานกับตัวเอง เมื่อเห็นข้อความดังกล่าว เพราะคิตายามะ ซอยสาม นั่นคือซอยข้างบ้านของฉันเอง และแน่นอน ชายที่นอนหายใจโรยรินบนเตียงในห้องฉุกเฉินก่อนหน้า คงเป็นสิ่งที่ฉันพบในคืนวันนั้นไม่ผิดแน่ เพียงแต่ตอนนี้ เขาดูตัวบวมโต ผมเผ้ารุงรังกว่าตอนน้้นมาก
ฉันตกใจทีเดียว ที่ความกลัววัยเด็กกลับมาในรูปแบบที่เห็นกันใกล้ๆ แถมมาในสภาพคนป่วยที่ฉันต้องรักษาอีกด้วย โชคชะตาดูท่าจะเล่นตลกกับฉันเข้าแล้ว
หลังเปิดดูผลตรวจอื่นๆ พบว่าการทำงานของไตแย่มาก จึงไม่น่าแปลกที่จะเห็นเขาบวมน้ำขั้นรุนแรงเช่นนั้น มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และผลเลือดที่ย่ำแย่ ซึ่งนั่นทำให้เขาซีดคล้ายซากศพก็ไม่ปาน
การวางแผนการรักษาตอนนี้คงต้องจัดการอาการบวมน้ำและคอยติดตามการเต้นของหัวใจอย่างใกล้ชิด ฉันพยายามหาสาเหตุที่ทำให้เขาป่วยและอ่อนแอถึงขนาดนี้
“อาจเป็นเพราะโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง แต่ความดันโลหิตก็ไม่ได้สูงขนาดที่น่าวิกฤติ”
“หรือไตวายเฉียบพลันจากการติดเชื้อ ไม่สิ ผลตรวจปัสสาวะก็ดูปกติ”
มีภาวะแร่ธาตุในเลือดไม่สมดุล มีระดับแคลเซียมในเลือดสูงมากทีเดียว คงต้องเริ่มจากตรงนี้ ฉันจึงสั่งตรวจระดับฮอร์โมนบางตัวเพิ่มเพื่อยืนยันสมมุติฐานที่เกี่ยวกับระดับแคลเซียมที่ผิดปกติ และหวังว่าจะช่วยให้เขาดีขึ้นได้ ตอนนี้คงต้องให้ยาขับปัสสาวะไปก่อน ฉันเขียนคำสั่งลงในแฟ้มผู้ป่วยมือเป็นระวิง
“คุณหมอโนฮาระ เชิญที่หอผู้ป่วยวิกฤติค่ะ”
สิ้นเสียงประกาศ ฉันรีบพุ่งตัวออกจากห้องพักในทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา