2 ส.ค. 2019 เวลา 02:30 • บันเทิง
Dear Evan Hansen [2]
ช่วง: คนเขียนพูดถึงละครเพลง
*ใครยังไม่อ่านพาร์ทแรก ไปอ่านก่อนเน้ออ เดี๋ยวไม่รู้เรื่องนะ ใครอ่านเรียบร้อยแล้วก็ลุยเลย!
เพลงที่สาม: For Forever
เพลงนี้คือเรื่องราวที่อีแวน แฮนสันแต่งขึ้นเพื่อหลอกให้ครอบครัวของคอนเนอร์เชื่อว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันค่ะ เป็นเหตุการณ์หลังจากที่คอนเนอร์ฆ่าตัวตาย จุดเด่นของเพลงนี้คือความอบอุ่นแฝงด้วยความเศร้าสร้อยบวกกับความแปร่งๆของเนื้อหา ไปดูกันเลยนะคะ^-^//
End of May or early June
This picture-perfect afternoon we shared
Drive the winding country road
Grab a scoop at À La Mode
And then we're there
การเริ่มต้นที่แสนเรียบง่าย เป็นการพูดถึงช่วงเวลาของทั้งสองในช่วงปิดเทอมค่ะ เริ่มจากการค่อยๆขับรถไปตามท้องถนน แวะกินไอศกรีม และเดินทางต่อจนถึงที่หมาย ทุกอย่างดูอบอุ่นไปหมด อีแวนได้สถานที่ต่างๆมาจากที่ซินเทียเล่าช่วงเวลาของครอบครัวให้ฟัง
หากมองจากแง่นึง อีแวนกำลังแสดงให้เห็นว่าคอนเนอร์ยังเห็นความสำคัญของครอบครัว หากมองอีกแง่ คืออีแวนแค่พยายามจะโกหก และเพราะไม่รู้จักกับคอนเนอร์มาก่อน เลยต้องเลือกสถานที่ที่ถูกกล่าวถึงมาก่อนแล้วค่ะ
An open field that's framed with trees
We pick a spot and shoot the breeze
Like buddies do
Quoting songs by our favorite bands
Telling jokes no one understands
Except us two
And we talk and take in the view
ตรงนี้คือจุดที่สำคัญที่สุดของเพลงค่ะ หากเราอ่านดีๆ ทุกคนคงรู้ใช่มั้ยคะ ว่าสมัยนี้ไม่มีใครใช้เวลาว่างกับเพื่อนไปกับการนั่งเล่นบนพื้นหญ้า มองท้องฟ้าแบบนี้
นั่นเพราะอีแวนกำลังพยายามโกหกค่ะ โดยวาดภาพอันงดงามระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นมา แต่เพราะอีแวนไม่เคยไม่มีเพื่อนมาก่อน จึงไม่แปลกเลยที่มันจะออกมาไม่เนียนสุดๆ ท่อนนี้จึงเป็นท่อนที่ไม่สมจริง หากแต่เป็นการเน้นย้ำถึงความโดดเดี่ยวของอีแวนให้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
All we see is sky for forever
We let the world pass by for forever
Feels like we could go on for forever this way
Two friends on a perfect day
ท่อนนี้เป็นอีกท่อนที่เผยถึงตัวตนของอีแวนค่ะ ในท่อนที่บอกว่า ‘เราสองคนปล่อยให้โลกนี้หมุนผ่านไป’ ประโยค ‘โลกหมุนผ่านไป’ ในที่นี้คือการที่คนอื่นๆใช้ชีวิต ส่วนอีแวนยังยืนอยู่ที่เดิม ท่อนนี้แสดงให้เห็นว่าอีแวนไม่ได้แค่กลัวที่เขาถูกเมิน แต่เขากลัวที่เขาเป็น ’คนเดียว’ ที่ถูกเมิน ดังนั้นเขาจึงสร้างคอนเนอร์ในจินตนาการไว้เป็นเพื่อนที่สามารถอยู่นอกกรอบกับเขาได้
We walk a while and talk about
The things we'll do when we get out of school
Bike the Appalachian trail or
Write a book or learn to sail
Wouldn't that be cool?
อันนี้เป็นอีกจุดที่อีแวนพลาดค่ะ Appalachian trail เป็นทางเดินที่ห้ามจักรยานผ่าน เพราะเป็นแนวขึ้นไปบนภูเขา แสดงให้เห็นว่าอีแวนไม่ได้รู้จักกับสถานที่นี้ เพราะหากเขารู้ เขาคงไม่พูดถึงการขี่จักรยานขึ้นเส้นทางนี้แน่นอน
ที่ตลกคือ อีแวนไม่เนียนเลย แต่ครอบครัวของคอนเนอร์กลับเชื่อหมดใจ ทั้งๆที่บางเรื่องพวกเขาเองก็ต้องรู้ นี่อาจแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองก็ต้องการคำโกหกของอีแวนเช่นกัน
And there he goes
Racing toward the tallest tree
From far across the yellow field I hear him calling, "follow me" there we go
Wondering how the world might look from up so high
ตรงนี้ขออนุญาตสปอยล์เนื้อเรื่องนะคะ คือในเรื่องจริงที่เกิดขึ้น หากอีแวนไม่ได้โกหก สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคืออีแวนกำลังจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อกระโดดลงมา ‘ฆ่าตัวตาย’ ค่ะ
อีแวนน่าจะพยายามสื่อว่าบางทีถ้าเกิดมีใครอยู่ตรงนั้นกับเขา อะไรๆอาจจะไม่เหมือนเดิม และเขาอาจจะตัดสินใจไม่กระโดดลงมาก็ได้
One foot after the other
One branch then to another
I climb higher and higher
I climb 'til the entire
Sun shines on my face
ประโยคที่บอกว่า กิ่งไม้ต่อกิ่ง หรือเท้าที่ก้าวขึ้นไปทีละก้าว ตรงนี้สามารถเปรียบได้ถึงความรู้สึกของอีแวน ถ้าเรามาคิดๆดู คนที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้วอยากฆ่าตัวตายเลยนะคะ มันคือการที่เรื่องมันทับถมสูงขึ้นๆเรื่อยจนมาถึงจุดที่ทนไม่ไหวจนต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่างแล้วจริงๆ มันอาจเป็นการบอกว่าอีแวนทนมามากแล้ว และการตัดสินใจก้าวขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อที่จะกระโดดลงมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จำเพลงที่สองได้มั้ยคะ มีประโยคที่บอกว่า ‘ให้ก้าวออกมาจากแสงอาทิตย์’ แต่เพลงนี้ อีแวนกำลังบอกว่าเขาปีนขึ้นไปหาแสงอาทิตย์กับคอนเนอร์ บางทีเขาอาจจะกำลังสื่อว่า หากมีคนอยู่ข้างๆ การได้เข้าไปอยู่ในจุดที่เขาหวาดกลัวอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่นักก็ได้
And I suddenly feel the branch give way
I'm on the ground
My arm goes numb
I look around
And I see him come to get me
He's come to get me
And everything's okay
ตรงนี้อย่างที่เรารู้กัน เรื่องจริงคือไม่มีใครอยู่ตรงนั้นตอนที่อีแวนตกลงมา แต่อีแวนกลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคำโกหกที่ไม่ใ่ช่แค่ครอบครัวของคอนเนอร์เท่านั้นที่ต้องการ แม้แต่ตัวของเขาเอง ลึกๆแล้ว นั่นก็คงเป็นสิ่งที่อีแวนอยากให้เกิดขึ้นเช่นกัน
เพลงนี้ทำให้เราเห็นค่ะ การโกหกไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย สิ่งที่อีแวนทำไม่ถูกต้อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยเหมือนกันว่า ณ ตอนนั้น บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรอบตัวของเขาต้องการก็ได้
คือจริงๆแล้วในสายตาของคนในครอบครัว คอนเนอร์ดูเป็นคนที่ไม่เคยใส่ใจพวกเขาเลย ไม่เคยมีเวลาให้ ไม่เคยคิดจะพูดคุย หรือสนใจพวกเขา แต่สิ่งที่อีแวนทำคือแสดงให้ซินเทียเห็นว่าลูกชายของเธอไม่ใช่คนแบบนั้น และเปลี่ยนภาพจำของคอนเนอร์ให้ดูงดงามยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ
สามารถฟังเสียงสวยๆของอีแวนได้พร้อมกับอนิเมชั่นกินใจจากคุณ Mushie R. ได้ที่ตรงนี้เลยค่ะ:
เพลงที่สี่: Sincerely, Me
เพลงนี้เป็นเพลงน่ารักๆ ตลกๆระหว่างสามหนุ่มนั่นคือ อีแวน จาเร็ด และคอนเนอร์ค่ะ
เนื้อหาของเพลงนี้คือตอนที่อีแวนกับจาเร็ดร่วมมือกันเขียนอีเมล์หลอกพ่อกับแม่ของคอนเนอร์ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน (ก็ถ้าเป็นเพื่อนก็ต้องติดต่อกันบ้าง เลยต้องทำให้เนียน) ซึ่งทั้งคู่ก็มีเล่นมุกใส่กันจนพาคนฟังขำจนเกือบสำลักน้ำเหมือนกันค่ะ ฮาา มาดูกันเลย!
[CONNOR:]
Dear Evan Hansen
We've been way too out of touch
Things have been crazy
And it sucks that we don't talk that much
But I should tell you that I think of you each night
I rub my nipples and start moaning with delight
[EVAN:]
Why would you write that?
[JARED:]
I'm just trying to tell the truth
เปิดมาก็ฮาเลยค่ะ จำเพลงที่แล้วได้มั้ยคะ ไม่ว่าจะฟังด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ขนาดไหน มันก็ต้องมีแอบคิดๆแล้วแหละว่า เอ๊ะ!? อีแวนกับคอนเนอร์นี่มันยังไงนะ สนิทกันเกินไปรึเปล่า
ซึ่งตอนที่อีแวนเล่าให้จาเร็ดฟัง จาเร็ดก็ล้อเลยค่ะว่าอีแวนเป็นเกย์แน่ๆ ถึงกับใช้ประโยคว่า “secret gay lovers” กันเลยที่เดียว เพราะอีแวนบอกว่าคอนเนอร์ไม่อยากให้เพื่อนที่โรงเรียนรู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน เลยติดต่อกันได้แค่ทางอีเมลค่ะ มันก็น่าคิดอยู่นะ😂🤔
ดังนั้นท่อนของคอนเนอร์คือท่อนที่จาเร็ดเขียน ส่วนเนื้อหาเป็นยังไงคนเขียนขอละไว้ให้แปลกันเองนะคะ 5555
[CONNOR:]
I've gotta tell you, life without you has been hard
[JARED:]
Hard?
[CONNOR:]
Has been bad
[JARED:]
Bad?
[CONNOR:]
Has been rough
[JARED:]
Kinky!
ตอนแรกท่อนนี้จะตัดออก แต่ขอใส่ไว้คลายเครียดให้คนอ่านนะคะ😂 คือคำว่า Hard, Bad หรือ Rough เนี่ย จาเร็ดกำลังล้ออีแวนเรื่องรสนิยมบนเตียงทั้งนั้นเลยค่ะ และที่เห็นคอนเนอร์พูดท่อนเดิมซ้ำแต่เปลี่ยนแค่คำลงท้ายคืออีแวนที่ต้องแก้อีเมลทุกครั้งที่จาเร็ดล้อค่ะ🤣
Fun facts: เคยมีครั้งนึงที่คุณจาเร็ดเปลี่ยนคำว่า kinky เป็นคำว่า hot บนเวทีเพราะสังเกตุเห็นว่ามีคนดูกำลังพยายามถ่ายการแสดงของพวกเขา เป็นการส่งสัญญาณให้ยามรู้ตัวและหาคนทำผิด เนียนแค่ไหน คิดดูXD
[CONNOR:]
If I stop smoking pot
Then everything might be alright
I'll take your advice
I'll try to be more nice
I'll turn it around
Wait and see
'Cause all that it takes is a little reinvention
It's easy to change if you give it your attention
All you gotta do is just believe you can be who you want to be
Sincerely, Me
ตรงนี้เป็นการยืนยันค่ะว่าคอนเนอร์ติดยาจริงๆนั่นแหละ ส่วนท่อนต่อมาคืออีแวนกำลังพยายามย้ำให้เห็นว่าเขาคือคนที่ช่วยคอนเนอร์จริงๆนะ
หรือจริงๆถ้าให้มองอีกมุม เพราะคนที่เขียนท่อนนี้คืออีแวน ลึกๆ จริงๆแล้ว นี่อาจจะเป็นคำพูดที่อีแวนต้องการได้ยินจากใครซักคนก็ได้ แต่เพราะไม่มีใครเคยพูดกับเขา เขาเลยต้องใช้คอนเนอร์ในจินตนาการแทนค่ะ
[EVAN:]
Dear Connor Murphy
Yes, I also miss our talks
Stop doing drugs
Just try to take deep breaths and go on walks
[JARED:]
No.
ตรงนี้ถ้าสังเกตุดีๆ การหายใจลึกๆ หรือออกไปเดินเล่นไม่ใช่คำแนะนำของผู้ติดยานะคะ แต่เป็นคำแนะนำสำหรับคนที่เป็น Social Anxiety แสดงว่าจริงๆอีแวนก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกค่ะ แต่เพราะต้องเขียนอะไรซักอย่าง เลยยกคำพูดที่หมอน่าจะพูดกับเขาบ่อยๆมาและหวังว่ามันจะปรับใช้ด้วยกันได้นั่นเอง
[EVAN:]
I'm sending pictures of the most amazing trees
[JARED:]
No!
[EVAN:]
You'll be obsessed with all my forest expertise
[JARED:]
Absolutely not
อันนี้เป็นการแสดงให้เห็นค่ะ ว่าอีแวนกำลังคาดหวังว่าหากเขามีเพื่อนซักคน ก็อยากได้เพื่อนที่จะสนใจเรื่องเดียวกับเขา (อีแวนชอบต้นไม้)
[EVAN & CONNOR:]
Our friendship goes beyond
Your average kind of bond
[EVAN:]
But not because we're gay
[CONNOR:]
No, not because we're gay
[EVAN & CONNOR:]
We're close, but not that way
The only man that I love is my dad
นี่คืออีแวนที่พยายามย้ำแบบชัดเจนมากๆค่ะว่าเขาไม่ใช่เกย์เหมือนที่จาเร็ดบอก ฮาา แต่ที่ตลกกว่าคือท่อนที่สองคนบอกว่า ‘ผู้ชายคนเดียวที่เรารักคือพ่อ’
คือคอนเนอร์กับแลรี่ พ่อของคอนเนอร์ไม่เคยลงรอยกันเลยค่ะ ในตอนหลัง มีฉากที่ซินเทียกับโซอี้ต่อว่าแลรี่ด้วยว่าไม่มีเวลาให้คอนเนอร์เท่าที่ควร ดังนั้นสองคนนี้เลยไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่
ส่วนอีแวนก็โดนพ่อทิ้งตั้งแต่เด็ก และเหมือนจะจำใบหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ตรงนี้เลยเป็นท่อนที่ awkward สุดๆ เป็นการพูดที่ฝืนมากๆค่ะ
[ALL:]
Hey hey hey hey!
'Cause all that it takes is a little reinvention
It's easy to change if you give it your attention
All you gotta do is just believe you can be who you want to be
Sincerely
Miss you dearly
Sincerely, Me
อันนี้เป็นท่อนซ้ำค่ะ แต่ขอพูดถึงคำว่า sincerely, me นิดนึง คือคำนี้ปกติใช้ลงท้ายจดหมายค่ะ แต่ต้องเขียนว่า sincerly, yours การเปลี่ยนคำว่า yours เป็น me คงเป็นการบอกนัยๆว่า จดหมายฉบับนี้เขียนโดยอีแวน และส่งถึงอีแวน หรือก็คือเขียนเองตอบเองนั่นแหละค่ะ😂
กดฟังเพลงน่ารักๆพร้อมกับตัวละครที่เพิ่มระดับความชิบให้คู่นี้ถึง 100% โดยคุณ Mushie R. ได้ตรงนี้เลยค่ะXD:
เพลงที่ห้า: Requiem
คำว่า Requiem แปลเป็นภาษาไทย คือ เพลงที่ใช้สวดเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายค่ะ เพลงนี้ร้องโดยโซอี้ น้องสาวคนเดียวของคอนเนอร์ อีกหนึ่งในผู้ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อและแบกรับความเจ็บปวดหลังการตายของคอนเนอร์นั่นเอง
ก่อนที่จะเข้าเพลงนี้ ซินเทียนำจดหมายที่อีแวนเขียนให้โซอี้อ่าน เพื่อบอกเธอว่าพี่ชายเธอจริงๆแล้วไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่ทุกคนเห็น เพลงนี้ความรู้สึกของเธอที่มีต่อจดหมายนั้นและการตายของพี่ชายตนเองค่ะ
[ZOE:]
Why should I play this game of pretend?
Remembering through a secondhand sorrow?
Such a great son and wonderful friend
Oh, don't the tears just pour
เริ่มต้นมาด้วยการประชดประชันของโซอี้ค่ะ เธอถามว่าทำไมเธอต้องเสแสร้ง พยายามทำเหมือนคอนเนอร์เป็นคนดีผ่านจดหมายของอีแวนด้วย? ก่อนหน้าเพลงนี้ โซอี้เคยเล่าว่าคอนเนอร์เคยเข้ามาโวยวายในห้องเธอ และขู่ที่จะทำร้ายเธอ ดังนั้นไม่ว่าในจดหมาย พี่ชายของเธอจะแสนดีขนาดไหน แต่สิ่งที่เขาทำกับเธอ สิ่งที่เธอเจอมากับตนเองจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น
ตรงท่อนที่บอกว่า Such a great son and wonderful friend เป็นท่อนที่ซินเทียและอีแวนพูดถึงคอนเนอร์ค่ะ ตอนที่ร้องท่อนนี้ เธอหัวเราะนิดนึงด้วย น่าจะเป็นการประชด เพราะเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความจริง และมันน่าหงุดหงิดที่ทุกคนทำเหมือนคอนเนอร์เป็นคนดีขึ้นมาเพียงเพราะจดหมายไม่กี่ฉบับ
[LARRY:]
I gave you the world, you threw it away
Leaving these broken pieces behind you
Everything wasted, nothing to say
So I can sing no requiem
ตรงนี้คือท่อนของคุณพ่อของคอนเนอร์นั่นเองค่ะ เขาบอกว่าสำหรับเขา สิ่งที่คอนเนอร์ทำ(ฆ่าตัวตาย) มันไม่ได้ทำให้เขาดูน่าชื่นชมขึ้น และไม่พอ คอนเนอร์ยังทำให้คนที่ชีวิตอยู่ต้องเจ็บปวดอีก เขาเลยบอกว่าเขาคงร้องเพลงให้คอนเนอร์ไม่ได้ค่ะ
[CYNTHIA:]
I hear your voice, I feel you near
Within these words, I finally find you
And now that I know that you are still here
I will sing no requiem tonight
ส่วนซินเทีย เธอเป็นคนเดียวที่ดูมีความสุขที่ได้รับจดหมายนี้ มันเหมือนกับได้ลูกชายคนเก่าเมื่อนานมาแล้วของเธอกลับมา ดังนั้นเธอจะไม่ร้องเพลงค่ะ ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะสำหรับเธอ คอนเนอร์ยังอยู่ตรงนี้ จึงไม่มีเหตุผลให้ร้องสวดให้ไปที่อื่นค่ะ
[ZOE & LARRY:]
Why should I have a heavy heart?
[ZOE:]
Why should I say I'll keep you with me?
Why should I go and fall apart for you?
Why should I play the grieving girl and lie
Saying that I miss you
And that my world has gone dark without your light?
(I can see your light)
ตรงนี้ ข้อความในวงเล็บคือของซินเทียค่ะ แสดงให้เห็นว่าในครอบครัว เธอเป็นคนเดียวที่ยังคงโหยหาคอนเนอร์อยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ตาม ส่วนแลรี่ และโซอี้ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกหกค่ะ ทำไมต้องทำเป็นว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้โดยไม่มีคอนเนอร์ หรือว่าทำไมต้องทำเหมือนว่าคิดถึง ในเมื่อตอนที่คอนเนอร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่เคยเห็นความสำคัญของคนในครอบครัวเหมือนกัน
ตรงนี้พูดยากนะคะ คือโซอี้กับแลรี่ไม่ผิดเลยที่จะคิดแบบนี้ ลองคิดๆดูว่าถ้ามีคนนึงที่ทำตัวเลวร้ายใส่คุณทั้งชีวิต แต่พอเขาตาย ทุกคนกลับเรียกร้องให้คุณทำเหมือนกับว่าเขาสำคัญ ยิ่งสำหรับโซอี้ คงรู้สึกไม่ยุติธรรมค่ะ
'Cause when the villains fall, the kingdoms never weep
No one lights a candle to remember
No, no one mourns at all
When they lay them down to sleep
ตรงนี้ โซอี้เปรียบพี่ชายตัวเองเหมือนตัวร้ายในนิทานค่ะ เวลาที่แม่มดหรือมังกรถูกฆ่าตาย คนในอาณาจักร ไม่เคยมีใครมานั่งไว้ทุกข์ให้พวกเขาซักหน่อย ไม่มีใครจุดเทียนเพื่อให้จดจำตัวร้ายได้นี่นา
So, don't tell me that I didn't have it right
Don't tell me that it wasn't black and white
After all you put me through
Don't say it wasn't true
That you were not the monster
That I knew
ดังนั้นเธอจึงบอกว่าเธอไม่ได้ทำผิดค่ะ เพราะจากทุกสิ่งทุกอย่างที่คอนเนอร์ทำกับเธอ มันแสดงให้เห็นชัดมากๆว่าเขาเป็นปีศาจ และมันไม่ผิดเลย ถ้าเธอจะปฏิบัติกับเขาเหมือนตัวร้ายในนิทาน
'Cause I cannot play the grieving girl and lie
Saying that I miss you
And that my world has gone dark
ตอนที่ร้องท่อนนี้ โซอี้ร้องไห้ตอนประโยคสุดท้ายด้วยค่ะ ในมุมมองของคนเขียน เรามองว่าเธอคงเศร้า และเสียใจเรื่องที่คอนเนอร์ตายนั่นแหละค่ะ คงจะคิดถึงมากๆด้วย แต่ความรู้สึกของเธอมันยังมีภาพอดีตที่คอนเนอร์เคยทำร้ายเธอติดอยู่ด้วย เธอเองก็คงสับสน และทำตัวไม่ถูกค่ะว่าควรจะทำยังไง
[LARRY:]
I will sing no requiem
[CYNTHIA:]
I will sing no requiem
[ZOE:]
I will sing no requiem tonight
เราชอบตรงนี้ที่สุดค่ะ ทั้งสามคนกำลังร้องท่อนเดียวกัน แต่เหตุผลของทั้งสามคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงตามที่เขียนไปด้านบนนั่นเองค่ะ
มาน้ำตาไหลและปลื้มใจไปกับเสียงใสๆของโซอี้พร้อมกับอนิเมชั่นจากคุณ Mushie R. ได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ:
Talk//
จะเชื่อมั้ยคะ... ถ้าบอกว่านี่ยังไม่จบ Act 1 เลย ฮือ... คิดว่าคงจะจบภายในอีกสามโพสต์นะคะ
เป็นยังไงบ้างคะ ตอนนี้เราได้ฟังความคิดของตัวละครเกือบทุกคนแล้ว เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับใคร มาพูดคุยกันได้นะคะ คนเขียนพร้อมจะรับฟังค่ะ^^

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา