9 ส.ค. 2019 เวลา 14:13
Dear Evan Hansen [3]
ช่วง: คนเขียนพูดถึงละครเพลง
*ใครยังไม่อ่านตอนที่ 1,2 ไปอ่านก่อนน้า เดี๋ยวตามไม่ทัน ใครอ่านแล้วก็ลุยเลยค่า//
เพลงที่หก: If I Could Tell Her
เพลงนี้เป็นตอนที่อีแวนเข้ามาดูห้องคอนเนอร์ค่ะ แล้วโซอี้ก็ตามเข้ามา ทั้งสองคนคุยกันเรื่องโซอี้ค่ะ ซึ่งเธอบอกชัดเจนมากว่าเธอคิดว่าพี่ชายไม่ชอบเธอ อีแวนเลยเล่า(กุ)เรื่องอีกมุมของคอนเนอร์ที่น้องสาวไม่รู้มาก่อน
[EVAN:]
Well... He said
There's nothing like your smile
Sort of subtle and perfect and real
He said
You never knew how wonderful
That smile could make someone feel
จริงๆก่อนจะร้องท่อนนี้ อีแวนเล่าว่า รอยยิ้มของโซอี้เวลาที่เธอเล่นท่อนโซโล่ในวงดนตรีของโรงเรียน เธอจะหลับตา แล้วก็ยิ้มเล็กๆออกมา เหมือนเธอได้ยินอะไรที่ตลกมากๆแต่ต้องเก็บไว้เป็นความลับ แต่รอยยิ้มของเธอ... มันเหมือนเธอให้พวกเราเข้ามาอยู่ในความลับนั้นด้วย
แต่อีแวนก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเปลี่ยนเป็นมุมมองของคอนเนอร์ ก็เลยรีบร้องท่อนนี้ต่อค่ะ โดยเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมือนว่าคอนเนอร์เป็นคนพูดนั่นเอง
And he knew
Whenever you get bored
You scribble stars on the cuffs of your jeans
And he noticed
That you still fill out the quizzes
That they put in those teen magazines
อันนี้แสดงให้เห็นค่ะว่าที่ผ่านมาเบนใส่ใจโซอี้มากแค่ไหน ทำให้เขาสามารถสังเกตุรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้
อย่าลืมนะคะว่าทุกอย่างที่อีแวนพูดไม่ได้มาจากคอนเนอร์ เขาเป็นคนเห็นเองทั้งหมด แต่ต้องเอามาเปลี่ยนให้เหมือนออกมาจากปากของคอนเนอร์เท่านั้นเอง
But he kept it all inside his head
What he saw he left unsaid
And though he wanted to
He couldn't talk to you
He couldn't find the way
But he would always say
ที่ตลกคือท่อนแรกค่ะ อีแวนบอกว่าคอนเนอร์เก็บทุกอย่างไว้ในหัวของตัวเอง และไม่เคยพูดอะไรออกมา แต่จริงๆแล้วคนที่เก็บไว้คืออีแวนต่างหาก และแม้แต่ตอนนี้ที่เขาพูดออกมา เขาก็ยังคงใช้พี่ชายของคอนเนอร์เป็นฉากกำบังอยู่ดี
ท่อนหลังน่าจะเหมือนกับที่อีแวนเคยพูดในเพลง Waving Through A Window ค่ะ คือเขาพูดหรือแสดงออกอะไรไม่ได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีวิธีที่จะพูดให้โซอี้รับรู้เลย
If I could tell her
Tell her everything I see
If I could tell her
How she's everything to me
But we're a million worlds apart
And I don't know how I would even start
If I could tell her
ตรงนี้เนี่ย อีแวนใช้คำว่า I แทนคำว่า He แล้วค่ะ แปลว่าอีแวนคงเริ่มพยายามจะสื่อออกมาแล้วว่าเขาอยากบอกความรู้สึกของตัวเองแก่โซอี้มากขนาดไหน แต่ส่วนตัวโซอี้ เธอเข้าใจว่าอีแวนกำลังพูดแทนตัวพี่ของเธออยู่ ก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรค่ะ
And he wondered how you learned to dance
Like all the rest of the world isn't there
คำว่า dance ในเพลงนี้หมายถึงการใช้ชีวิตค่ะ ทั้งอีแวนและคอนเนอร์ไม่ค่อยได้ทำอะไรตามใจตัวเอง สำหรับอีแวน มันเป็ยเพราะเขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเปิดเผยตัวตน และแสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้ คอนเนอร์ก็เหมือนกัน
กลับกัน ผู้หญิงตรงหน้ากลับสามารถปลดปล่อยตัวตนของตัวเองออกมาได้อย่างไม่ต้องสนใจสายตาของใคร เธอจะแสดงดนตรี หรือทำตัวบ๊องๆก็ไม่ต้องกลัวใครมาว่า เพราะถึงมีใครไม่พอใจ เธอก็ไม่สนใจคนพวกนั้นอยู่ดี
[EVAN & ZOE:]
But we're a million worlds apart
ท่อนแบบนี้อีกแล้วค่ะ ทั้งสองคนร้องประโยคเดียวกัน แต่สิ่งสื่ออกมาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อีแวนหมายถึงระยะห่างระหว่างเขากับโซอี้
ส่วนโซอี้หมายถึงระยะห่างระหว่างตัวเธอเองกับคอนเนอร์
[EVAN:]
And how do you say
I love you?
I love you
I love you
I love you
ไม่ต้องบอกก็คงจะเดากันได้ค่ะ อีแวนพยายามบอกรักโซอี้จริงๆ ส่วนโซอี้ก็ยังคงเข้าใจว่าคอนเนอร์หมายถึงพี่ชายของเธออยู่
ถึงจะเข้าใจผิดกันไปจนเกือบจบเพลง แต่สุดท้ายพอร้องจบ อีแวนก็ดึงโซอี้เข้ามาจูบค่ะ ซึ่งเธอช็อคมากๆ เลยผลักอีแวนแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไป
ต้องบอกว่าอีแวนนี่ออก น่ากลัวหน่อยๆเหมือนกันนะ เอาตัวตนพี่ชายที่ตายไปแล้วมาหลอกน้องสาวแบบนี้ได้ยังไง แต่ก็นั่นแหละค่ะ เรื่องนี้มันก็เริ่มต้นด้วยการโกหกอยู่แล้วนี่เนอะ...
ลองฟังเพลงพร้อมกับอนิเมชั่นน่ารักๆจากคุณ Shizzome ได้ที่นี่เลยนะคะ:
เพลงที่เจ็ด: Disappear
เพลงนี้คืออีแวนที่คุยกับคอนเนอร์ในจินตนาการของอีแวน หรือก็คือพูดคนเดี๋ยวนั่นแหละค่ะ(...) คืออีแวนเริ่มลังเลว่าบางทีเขาไม่ควรพูดโกหก และเริ่มคิดว่าเขาควรบอกความจริง แต่คอนเนอร์กลับบอกว่าครอบครัวของเขาต้องการมัน หรือก็คือ อีแวนกำลังพยายามหลอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ต้องการคำโกหกนี้ค่ะ ยังไงก็มาดูเนื้อเพลงกันนะคะ
[CONNOR:]
Guys like you and me
We're just the losers
Who keep waiting to be seen, right?
I mean no one seems to care
Or stops to notice that we're there
So we get lost in the in-between
ตรงนี้ คอนเนอร์ย้ำกับอีแวนค่ะ ว่ายังไงพวกเขาก็เป็นได้แค่พวกขี้แพ้ที่รอให้ใครซักคนมามองเห็น ยังไงซะก็ไม่มีใครคิดจะสนใจ หรือรับรู้ตัวตน พวกเขาก็เลยเหมือนถูกลืมอยู่ตรงนั้น
But
If you can somehow keep them thinking of me
And make me more than an abandoned memory
Well that means we matter too
It means someone will see that you are there
การตายของคอนเนอร์ ทำให้อีแวนที่อยู่ในความมืดมาตลอดได้ก้าวเข้ามาในแสงไฟ แต่ตอนนี้อีแวนกำลังจะกลับไปเป็นคนไร้ตัวตนเหมือนเดิมอีกครั้ง คอนเนอร์เลยพยายามห้าม และบอกอีแวนว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะพยายามทำให้ตัวเองมีตัวตนขึ้นมา
No one deserves to be forgotten
No one deserves to fade away
No one should come and go
And have no one know he was ever even here
No one deserves to disappear
To disappear
Disappear
ตรงนี้ไม่มีความหมายแฝงอะไร แต่ชอบเนื้อเพลงมาก เลยขอแปลนะคะ
ไม่มีใครสมควรที่จะถูกลืม หรือจางหายไป ไม่มีใครควรจะเข้ามา และจากไปโดยที่ไม่มีใครรับรู้ว่าเขาเคยอยู่ตรงนี้
ไม่มีใครสมควรจะแค่หายไป...
[CONNOR:]
Even if you've always been that
Barely-in-the-background kind of guy
[EVAN & CONNOR:]
You still matter
[CONNOR:]
And even if you're somebody who can't escape the feeling
That the world's passed you by
[EVAN:]
You still matter
[CONNOR:]
If you never get around to doing some remarkable thing
That doesn't mean
[EVAN:]
That doesn't mean
That you're not worth remembering
ตอนนี้คือคอนเนอร์พยายามอย่างหนักมากที่จะโน้มน้าวให้อีแวนหาทางทำให้คนจำคอนเนอร์ให้ได้ค่ะ โดยคอนเนอร์ก็ใช้ปมของอีแวนนี่แหละตอกย้ำเขาเรื่อยๆ
[CONNOR:]
When you're falling in a forest
And there's nobody around
All you want is for somebody to find you
When you're falling in a forest
And when you hit the ground
All you need is for somebody to find you
จำเนื้อเพลงท่อนนึงในเพลง Waving through a window ที่บอกว่า ‘ตอนที่คุณล้มลงในป่า แล้วไม่มีใครได้ยินเสียงของคุณ’ ได้มั้ยคะ?
คอนเนอร์กำลังพูดในสิ่งที่อีแวนต้องการมาตลอดค่ะ โยการใช้ประโยคเดิม แต่เปลี่ยนจากการที่ ‘ไม่มีใครได้ยิน’ เป็น ‘สิ่งเดียวที่คุณต้องการคือให้ใครซักคนหาคุณเจอ’
หลังจากนี้เป็น Dialogues พูดคุยที่มีตัวละครเยอะและเปลืองพื้นที่มาก ดังนั้นจะสรุปให้ตรงนี้คร่าวๆนะคะ
อีแวน จาเร็ด อะลาน่า(เพื่อนอีกคนในกลุ่ม) ตัดสินใจทำโปรเจ็คเพื่อให้คนจำเรื่องราวของคอนเนอร์ และเพื่อให้คนอื่นๆที่เป็นแบบเขาไม่ต้องถูกลืมค่ะ ซึ่งครอบครัวของคอนเนอร์เห็นด้วยมากๆ มันทำให้พวกเขาเห็นว่ายังมีคนที่พร้อมจะยืนข้างคอนเนอร์อยู่
สรุปเพลงนี้คืออีแวนที่หาเหตุผลมาหลอกตัวเองไปเรื่อยๆค่ะว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่เอาจริงๆ ถ้าไม่ฟังตามเนื้อเรื่องหลัก เพลงนี้เป็นเพลงที่ใช้ปลอบใจได้ดีมากๆนะคะ เป็นอีกเพลงที่เซียชอบเลยล่ะ
มาฟังเพลงเศร้าๆพร้อมกับลายเส้นที่แสนคุ้นเคยจากคุณ Mushie R. กันนะคะ:
เพลงที่แปด: You Will Be Found
เพลงนี้คือคำพูดของอีแวน ในฐานะประธานของ Connor Project เหมือนเป็นการกล่าวเปิดอะไรทำนองนั้นค่ะ
ในตอนแรก อีแวนถือโพยกระดาษขึ้นไป แต่เขาเกิดตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยพูดต่อหน้าคนเยอะๆมาก่อน เลยมือสั่นจนโพยตกพื้น เขาเลยต้องพูดจากความรู้สึกของตนเอง กลายมาเป็นเพลงนี้นั่นเองค่ะ
[EVAN:]
Have you ever felt like nobody was there?
Have you ever felt forgotten in the middle of nowhere?
Have you ever felt like you could disappear?
Like you could fall, and no one would hear?
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่อีแวนเจอค่ะ พ่อของอีแวนออกจากครอบครัวไปตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนแม่ก็ทำงานทุกวันแทบจะคลอดเวลา อีแวนเลยไม่เคยได้อยู่กับครอบครัว
ตอนที่อีแวนตกลงมาจากต้นไม้ เขาวอนขอให้ใครซักคนหาเขาเจอ แต่เปล่าเลย เขาได้แค่นอนรออยู่ตรงนั้น เหมือนเขาไม่มีตัวตน เหมือนไม่มีใครเคยได้ยินเขา
Well, let that lonely feeling wash away
Maybe there's a reason to believe you'll be okay
'Cause when you don't feel strong enough to stand
You can reach, reach out your hand
ในท่อนนี้ อีแวนใบ้คำว่า maybe ด้วย แสดงให้เห็นว่าเอาจริงๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังลังเลกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปค่ะ ซึ่ฃก็ไม่แปลก เพราะที่ผ่านมาชีวิตของเขามันไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูดเลย
สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากอีแวนคือเขาไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเลย แม้แต่ในตอนที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายก็ไม่ได้มีใครยื่นมือมาช่วยเขา แต่ตอนที่เขายืนพูดอยู่ท่ามกลางผู้คน ตอนที่เรื่องราวของเขามีคอนเนอร์ปนอยู่ด้วย อีแวนเริ่มจะเชื่อจริงๆค่ะ ว่าซักวันนึง จะต้องมีคนยื่นมือมาหาเขาแน่นอน
Even when the dark comes crashing through
When you need a friend to carry you
And when you're broken on the ground
You will be found
อันนี้เป็นจุดเปลี่ยนของอีแวนเลยค่ะ เพราะตรงนี้เสียงของเขาหนักแน่นมาก ราวกับว่าเขาเชื่อมั่นแล้วจริงๆว่ามีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเขา
So let the sun come streaming in
'Cause you'll reach up and you'll rise again
Lift your head and look around
You will be found
จำได้มั้ยคะว่าอีแวนเคยบอกว่าให้ก้าวออกมาจากแสงอาทิตย์ แต่ตอนนี้เขากลับพร้อมที่จะอยู่ท่ามกลางแสงนั้น โดยละทิ้งความกลัวที่ผ่านมาทั้งหมด
หลังจากนี้คือคำพูดและเนื้อร้องที่ปนกันมั่วมากๆค่ะ ดังนั้นขอสรุปให้เลยนะคะ
คนบนอินเทอร์เน็ตสนใจอีแวนมากๆ คำพูดของเขาคือสิ่งที่คนมากมายรอที่จะฟังมานาน (อย่าว่าแต่คนในเรื่องเลยค่ะ เอาจริงๆเซียฟังยังคล้อยตามเลย) นั่นทำให้โปรเจ็คของอีแวนได้รับความสนใจล้นหลาม
แค่นั้นไม่พอ ครอบครัวของคอนเนอร์ก็ขอบคุณอีแวนด้วยค่ะ แม้แต่โซอี้ที่ตอนแรกกลัวอีแวนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนอน ตอนนี้กลายเป็นว่ามุมมองของเธอต่ออีแวนเปลี่ยนไปสุดๆ เรียกได้ว่าคำพูดของเขาเปลี่ยนโลกของคนหลายพันคน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่คำโกหกก็ตาม...
ฟังเพลงนี้พร้อมกับอนิเมชั่นของคุณ kjunginger ได้ตรงนี้เลยค่ะ:
Talk//
จบ Act 1 แล้ว เย่!😂 รู้สึกว่าพาร์ทนี้เนื้อหาไม่ค่อยหนีไปจากเดิมเท่าไหร่ เหมือนเอาความหมายเพลงที่ผ่านมามา clash หัน ซึ่งออกมางดงามมาก
เจอกันพรุ่งนี้นะคะ ฝากกดแชร์ด้วย รักคนอ่านทุกคนมากๆน้า💕❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา