31 ส.ค. 2019 เวลา 01:25 • บันเทิง
Dear Evan Hansen [4]
ช่วง: คนเขียนพูดถึงละครเพลง
*ใครยังไม่อ่านตอนแรกๆไปอ่านกันก่อนน้า ใครอ่านแล้วก็ลุยเลย! ขอโทษที่เลทมานานนะคะ
เพลงที่เก้า: To Break in a Glove
รีแคปกันนิดนึงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่แล้ว เหตุการณ์หลักๆเลยคืออีแวนเริ่มโครงการขึ้นกับกลุ่มเพื่อนๆประกอบด้วย จาเร็ด และอลาน่าค่ะ
โครงการประสบผลสำเร็จมากๆเพราะคำพูดของอีแวนที่ถูกเผยแพร่ลงในโลกโซเชี่ยล โดยเนื้อหาใจความสิ่งที่พูดหลักๆคือ ซักวัน จะต้องมีคนหาคุณเจออย่างแน่นอน
ทีนี้หลังจากที่โครงการได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากๆ ทุกคนก็ทำงานกันต่อค่ะ อีแวนกับจาเร็ดก็ยังต้องร่วมมือกันอย่างลับๆเพื่อเขียนอีเมล์ปลอมต่อไป แต่สิ่งที่ต่างจากเดิมคือความใกล้ชิดของครอบครัวคอนเนอร์และอีแวนค่ะ
จากตอนที่แล้วน่าจะเล่าไปแล้วว่าโซอี้เรียกอีแวนเข้าไปหา และตอบรับความรู้สึกของเขาด้วยค่ะ ตอนนี้ทั้งสองคนก็เลยคบกันอยู่
ส่วนพ่อแม่ของคอนเนอร์ก็ชวนอีแวนมากินข้าวบ้านทุกวัน ดูแลดีมากๆ และเพลงนี้ก็คือเพลงที่เป็นบทสนทนาระหว่าง แลร์รี่ พ่อของคอนเนอร์ และอีแวนนั่นเองค่ะ
[LARRY:]
I bought this glove a thousand years ago
For some birthday or some Christmas that has come and gone
I thought we might play catch or... I don't know
But he left it in the bag, with the tag still on
ตอนนี้แลร์รี่กับอีแวนนั่งเก็บของในกล่องกันค่ะ แล้วอีแวนก็บังเอิญไปเห็นถุงมือเบสบอลพอดี แลร์รี่เห็นว่าน่าจะเหมาะกับอีแวน เลยตัดสินใจบอกอีแวนว่าเอาไปได้ค่ะ
ตามเนื้อเพลง ถุงมืออันนี้แลร์รี่ซื้อมานานแล้ว ซื้อให้ใครก็คงพอรู้กันเนอะ เดาว่าสาเหตุหลักๆที่แลร์รี่ไม่ยอมเล่าหรือพูดถึงตรงๆคงเป็นเพราะไม่อยากนึกถึงด้วยแหละค่ะ
เราจะเห็นจากตรงนี้นะว่าจริงๆแลร์รี่ก็พยายามซื้อของให้ลูกในฐานะพ่อเหมือนกัน แต่คอนเนอร์ดูจะไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะหยิบมาเปิดออกเลยด้วยซ้ำ
You'll have to break it in though, first. You can't catch anything with it that stiff.
เผื่อใครไม่รู้นะคะ ถุงมือเบสบอลตอนซื้อมาจะแข็งมากจนใส่ไม่ได้ ต้องเอาไปจัดการให้มันอ่อนลงก่อน
[EVAN:]
How do you break it in?
[LARRY:]
Shaving cream.
[EVAN:]
Shaving cream?
[LARRY:]
Oh yeah. You rub that in for about five minutes, tie it all up with rubber bands, put it under your mattress, and sleep on it.
And you do that for at least a week, every day, consistent.
ตรงนี้ไม่มีอะไรค่ะ จริงๆวิธีที่แลร์รี่ใช้เป็นวิธีที่คนทั่วไปรู้กันอยู่แล้ว และเป็นที่นิยมด้วย แต่โฟมโกนหนวดนี่น่าจะเพิ่มขึ้นมาเอง เพราะแต่ละคนก็จะมีการเปลี่ยนส่วนผสมนิดหน่อย
And though this method isn't easy
Every second that you spend is gonna pay off
It'll pay off in the end
It just takes a little patience
It takes a little time
A little perseverance
And a little uphill climb
ตรงนี้เริ่มไม่ใช่เรื่องของถุงมือแล้วค่ะ แลร์รี่น่าจะหมายถึงชีวิตคนเรามากกว่า ว่าเวลาเราตัดสินใจทำอะไร มันก็ต้องใช้ความอดทน ใช้เวลา ใช้ความพยายาม และก็อาจจะยากมากๆ แต่สุดท้ายผลที่ได้ก็คุ้มค่าค่ะ
You might not think it's worth it
You might begin to doubt
But you can't take any shortcuts
You gotta stick it out
ท่อนที่สอง แลร์รี่น่าจะพาดพิงถึงลูกชายตัวเองที่คิดสั้นฆ่าตัวตาย เป็นการแก้ปัญหาแบบทางลัดที่ในความคิดของเขา เหมือนคอนเนอร์แค่ทิ้งปัญหาไว้ให้คนที่รออยู่ด้านหลังต้องมาตามรับผิดชอบ
[LARRY:]
Some people say just use a microwave
Or try that "run it through hot water" technique
Well, they can gloat about the time they saved
'Til they gotta buy another glove next week
อันนี้ถ้าเปรียบเทียบเหมือนเมื่อกี้ดู จะเห็นว่า ผลลัพธ์ที่ได้มาจากกระบวนการชุ่ยๆ ยังไงก็อยู่ได้ไม่นานค่ะ ก็เหมือนคอนเนอร์ที่แทนที่จะแก้ปัญหา เวลาทุกข์ กลับหันไปพึ่งยาเสพติดแทน ซึ่งก็สร้างความสุขได้แค่เพียงระยะสั้น พอยาหมดฤทธิ์ เขาก็กลับสู่วังวนเดิมไปเรื่อยๆ
[LARRY:]
'Cause there's a right way in everything you do
Keep that grit
Follow through
[EVAN:]
Keep that grit
Follow through
[LARRY:]
Even when everyone around you thinks you're crazy
Even when everyone around you lets things go
ตรงนี้แลร์รี่พูดถึงซินเทียและโซอี้ค่ะ ทั้งสองมีมุมมองในการดูแลคอนเนอร์ที่แตกต่างกับแลร์รี่มากๆ ซินเทียจะออกแนวตามใจลูกค่ะ ไม่ได้สปอยล์นะคะ แต่จะไม่ค่อยกล้าดุอะไรเท่าไหร่ ต่างกับแลร์รี่ที่เข้มงวดมากๆ เลยทำให้ถูกทั้งสองคนมองว่าเขากดดันคอนเนอร์มากไปค่ะ
And whether you're prepping for some test
Or you're miles from some goal
Or you're just trying to do what's best
For a kid who's lost control
แบบนี้คงชัดเจนแล้วนะคะว่าแลร์รี่หลุดจากเรื่องถุงมือไปไกลแล้ว ท่อนสุดท้าย แลร์รี่เหมือนพยายามปลอบใจตัวเองว่าเขาทำดีที่สุดแล้วเพื่อคอนเนอร์ค่ะ
เท่าที่เราลองหาข้อมูลดู แลร์รี่เกิดในยุคที่คนไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องจิตวิทยา มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่คนกุขึ้นมาค่ะ ซึ่งถ้าทุกคนยังจำได้ คอนเนอร์เป็นโรคที่มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการหลั่งสารเคมีในสมอง และต้องได้รับยาจากแพทย์ หรือยังไงก็ต้องมีการพาไปหาจิตแพทย์เป็นเรื่องเป็นราวค่ะ
แต่สำหรับแลร์รี่ที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เลยมองว่าคอนเนอร์เหมือนแค่ใช้โรคเป็นข้ออ้างมากกว่า เลยไม่ได้ให้ความสนใจกับคอนเนอร์เท่าไหร่ค่ะ
เราว่าแลร์รี่เองก็คงเริ่มรู้ตัวว่าผิดค่ะ และอาจจะเริ่มคิดๆบ้างแล้วว่าบางทีสาเหตุที่ลูกชายตัวเองฆ่าตัวตาย อาจจะมีส่วนมาจากตรงนี้ด้วย
You do the hard thing
'Cause that's the right thing
Yeah, that's the right thing
ตรงนี้เหมือนแลร์รี่จะพยายามพูดกับตัวเองค่ะ พยายามทำให้ตัวเองเชื่อว่าเขาทำถูก ทั้งๆที่ลึกๆในใจก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจแล้วค่ะ
[EVAN:]
Connor was really lucky to have a dad that... uh, a dad who cared so much about... taking care of stuff.
ตรงนี้เป็นบทพูด แต่รู้สึกว่าสำคัญเลยใส่เข้ามา เราว่าอีแวนคงไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอกค่ะ ที่ต้องการจะพูดออกมาจริงๆ คงอยากบอกว่า ‘คอนเนอร์โชคดีมากๆ ที่มีพ่อที่สนใจเรื่องลูกชาย’ มากกว่า
อีแวนไม่เจอพ่อตั้งแต่เด็ก เมื่อได้มาพบกับแลร์รี่ที่สำหรับคอนเนอร์อาจดูเหมือนพ่อที่เข้มงวด อีแวนคงมองแลร์รี่ว่าเป็นคนที่ใส่ใจลูกมากกว่า แล้วก็คงแอบอยากมีพ่อแบบนี้เหมือนกันค่ะ
ตอนนี้เป็นตอนที่น่าเศร้านะคะ เราไม่เคยรู้เลยว่าสรุปแล้วทำไมคอนเนอร์ต้องฆ่าตัวตาย เลยได้แต่คาดเดาไปเรื่อยๆ ขนาดเราเป็นแค่คนดูอยากสงสัย คนที่เป็นครอบครัว ก็ต้องไม่สบายใจค่ะ เพราะลึกๆก็เริ่มกังวลแล้วว่าบางทีเราอาจจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้เขาตัดสินใจแบบนั้นก็ได้
หาอนิเมชั่นที่ถูกใจไม่เจอเลยค่ะ ไปฟังเพลงแทนดีกว่าน้า:
เพลงที่สิบ: Only Us
เพลงนี้คือตอนที่อีแวนพาโซอี้ไปที่บ้านของตัวเองค่ะ จากตอนนี้เราจะเห็นว่าโซอี้จริงๆแล้วเธอน่ารักนะ พยายามใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของอีแวน แต่อีแวนเหมือนจะยังกังวล คิดว่าโซอี้คบกับเขาแค่เพราะเขาเป็นเพื่อนของคอนเนอร์ เลยพยายามเล่าเรื่องอีกคอนเนอร์ให้โซอี้ฟัง จนโซอี้ต้องบอกว่าเธออยู่ใต้เงาของพี่ชายมาทั้งชีวิตเพราะทั้งพ่อแม่ต่างก็ให้ความสนใจพี่มากกว่า ดังนั้นเธออยากจะให้อีแวนสนใจแค่เรื่องของพวกเขาสองคนก็พอค่ะ
เพลงนี้มีเนื้อร้องน่ารักมากค่ะ ใครอยากหาเพลงร้องคู่กับคนรักนี่เราแนะนำเพลงนี้เลยนะ
[ZOE:]
I don't need you to sell me on reasons to want you
I don't need you to search for the proof that I should
You don't have to convince me
You don't have to be scared you're not enough
'Cause what we've got going is good
อย่างที่บอกว่าอีแวนมีปัญหาในเรื่องความมั่นใจ เขามักจะคิดไปเองก่อนแล้วว่าคนอื่นจะเกลียดเขา เพราะลึกๆแล้วอีแวนก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นตอนที่อยูากับโซอี้ อีแวนจะเลือกพูดถึงคอนเนอร์แทน เพื่อเหมือนเป็นการชดเชยส่วนของตัวเองที่เล่าออกมาไม่ได้
โซอี้ที่พอจะเข้าใจเลยบอกค่ะ ว่าเธอไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไมเธอต้องเลือกอีแวน แล้วก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายไปหาหลักฐานอะไรมาเยอะแยะ เพราะเธอชอบอีแวนแบบนี้จริงๆค่ะ
I don't need more reminders of all that's been broken
I don't need you to fix what I'd rather forget
Clear the slate and start over
Try to quiet the noises in your head
We can't compete with all that
โซอี้รู้ว่าที่ผ่านมาอีแวนพยายามเล่าเรื่องคอนเนอร์ให้เธอฟังเพราะอยากให้เธอมองพี่ชายในแง่ที่ดีขึ้น แต่สำหรับโซอี้ ไม่ว่ายังไงสิ่งที่คอนเนอร์เคยทำกับเธอก็ยังคงอยู่ในความทรงจำ แล้วตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว การจะไปพยายามทำความเจ้าใจในอดีตมันไม่จำเป็น เธอเลยคิดว่าอยากจะละทิ้งทุกอย่าง และเริ่มต้นใหม่กับอีแวนดีกว่า
So what if it's us?
What if it's us
And only us
And what came before won't count anymore or matter?
Can we try that?
โซอี้พยายามน้ำให้ชัดเจนมากๆค่ะว่าเธอต้องการให้ความสัมพันธ์ของเธอและอีแวนไม่มีคอนเนอร์เข้ามายุ่งเกี่ยว เธออยากให้มีแค่เธอคนเดียวที่สำคัญ ไม่เหมือนกับที่พ่อแม่ของเธอสนใจแต่พี่ชาย
What if it's you
And what if it's me
And what if that's all that we need it to be
And the rest of the world falls away?
What do you say?
ตรงนี้เป็นคำพูดที่น่าจะไปจี้อีแวนเข้าจังๆเลยค่ะ ที่ผ่านมาอีแวนมัดจะบอกเสมอว่าเขาไม่มีตัวตน และหากเขาหายไป คงไม่มีใครรับรู้ แต่ตอนนี้โซอี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เธอกำลังบอกเขาว่าเธอเลือกที่จะปล่อยให้คนอื่นๆจางหายไป เหลือไว้แค่อีแวนคนเดียว มันเป็นสิ่งที่อีแวนโหยหามาตลอดแทบทั้งชีวิต
[EVAN:]
I never thought there'd be someone like you who would want me
คิดว่าอีแวนน่าจะเริ่มเปิดใจแล้วนะคะ ถึงได้เริ่มพูดออกมาบ้างแล้วว่าเขาเองก็แอบกลัวหน่อยๆว่าโซอี้จะไม่ชอบเขา
ตรงนี้ยังไม่เคยเล่า คือโซอี้ที่โรงเรียนก็ถือว่าดังพอสมควรนะคะ เล่นกีตาร์ในวงดนตรีประจำโรงเรียน แล้วก็หน้าตาดีซะด้วย ดังนั้นถ้าอีแวนจะรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอก็ไม่แปลกค่ะ
[ZOE:]
Well...
[EVAN:]
So I give you ten thousand reasons to not let me go
But if you really see me
If you like me for me and nothing else
Well, that's all that I've wanted for longer than you could possibly know
ที่ผ่านมา อีแวนพยายามหาเหตุผลที่จะรั้งโซอี้ไว้ค่ะ โดยใช้คอนเนอร์เป็นข้ออ้าง ทำยังไงก็ได้ให้เธอไม่ปล่อยเขาไปเหมือนคนอื่นๆ
แต่โซอี้เพิ่งจะยืนยันกับเขาไปเองว่าเธอชอบอีแวนที่เขาเป็นเขาจริงๆ ไม่ได้ชอบเพราะคอนเนอร์ มันเลยทำให้อีแวนมีความหวังขึ้นมาค่ะ
So it can be us
It can be us
And only us
And what came before won't count anymore or matter
We can try that
ตรงนี้เป็นจุดที่เหมือนจะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในเรื่องเลยค่ะ ด้วยแค่คำพูดไม่กี่ประโยคนี่แหละ
ตอนนี้คือตอนที่อีแวนได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ ได้พ่อที่อยู่ข้างๆ ได้แม่ที่มีเวลาให้ ได้แฟนสาวที่เฝ้ามองมาตลอด
จากคนที่เคยเฝ้ามองโลกผ่านไปอยู่ด้านนอก ตอนนี้อีแวนเหมือนได้มาอยู่กลางแสงไฟ ในที่ที่ไม่เคยคิดหรือฝันว่าจะมายืนตรงนี้ได้
ปัญหาคือ... เขามาอยู่ตรงนี้ได้เพราะคอนเนอร์ แต่ตอนนี้โซอี้กลับบอกว่าไม่ต้องการคอนเนอร์แล้ว แล้วหลังจากนี้อีแวนจะทำยังไง? จะเลือกทิ้งคอนเนอร์ไป หรือจะเลือกบอกความจริงกับเธอดี?
ไม่มีคนทำอนิเมชั่นสวยๆเลยค่ะ;-; แต่โชคดีที่บังเอิญไปเจอวิดิโอที่เขาแสดงสดกัน น่ารักมากๆ ลองไปดูกันนะคะ:
Talk//
ปกติเราจะเขียนตอนละสามเพลง แต่ตอนนี้เหลือแค่สองเพลงเพราะว่าเพลงต่อไปเป็นเพลงที่ต้องคู่กับอีกเพลงนึงค่ะ เหลือแค่สี่เพลงก็จะจบแล้วนะคะ แต่มีเพลงที่ไม่ได้ถูกใส่ในโชว์ด้วย กะว่าจะเขียนถึงเหมือนกันค่ะ เพราะเพลงโปรดทั้งนั้นเลย
จริงๆเพลง Only Us นี่มีส่วนที่ไม่ได้พูดถึงเยอะมาก เพราะรู้สึกว่ายังพูดไม่ได้ มันจะเหมือนสปอยล์เนื้อเรื่องไปเลย บางทีถ้าเกิดว่าอ่านตอนต่อไปแล้วกลับมาอ่านเพลงนี้ใหม่ อาจจะพอเห็นเนื้อหาอะไรที่แตกต่างไปบ้าง ก็ลองดูกันนะคะ^-^
ตอนแรกนึกว่าจะลงไม่ทันซะแล้ว ปั่นจนปวดมือไปหมดเลย แต่สนุกดีค่ะ ได้เขียนอีกรอบก็เลยได้เพิ่มอะไรนิดหน่อย แล้วก็ตัดส่วนไม่สำคัญออกไปบางส่วนด้วย หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ^^
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ รักมากๆน้า💕❤️🥰✨

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา