4 ส.ค. 2019 เวลา 09:36 • ประวัติศาสตร์
“This Is All For Your Stupid Dreams”
Pairing: US/Britain (อืม...)
Warning: Angst
Timeline: The end of WWI, 1918-1921***
* เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น และไม่เกียวข้องกับความเป็นจริงใดๆทั้งสิ้น
**เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด แม้จะมีการอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ก็ตาม
***Timeline ในเรื่องนี้ไม่ได้อิงตามความเป็นจริงค่ะ ดูอีเวนท์ที่ถูกได้ด้านล่างน้า***
เขามันโง่เอง ใช่... เขานั่นแหละที่ทำตัวเอง...
"สนใจเข้าร่วมด้วยกันมั้ย?" ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปดวงตาของผู้พูด รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายทำให้เขาเกือบจะยื่นมือออกไปจับแทบจะทันทีที่ผู้นั้นพูดจบ เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ชายหนุ่มร่างบางรู้สึกว่าถ้าคนคนนี้อยู่ด้วยล่ะก็ เขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น...
"ไม่รู้สิ... แล้วฝรั่งเศษล่ะ? เขาว่าไง?" เขาถามขณะตีหน้านิ่งใส่แล้วยักไหล่เหมือนไม่ได้สนใจอะไรนัก
"อ่า... ก็ตามนิสัยล่ะนะ ถ้าคุณเข้า ฝรั่งเศษก็ต้องตามคุณอยู่แล้ว"
"แล้วเจ้าวางแผนอะไรไว้ล่ะ?" ดวงตาสีฟ้าใสของฝ่ายตรงข้ามเปล่งประกายทันทีที่เขาพูดจบ ไม่นานนัก ข้อมูลทุกอย่างก็ไหลพรั่งพรูออกมาจนอังกฤษต้องกลั้นยิ้มกับความกระตือรือร้นของเด็กหนุ่ม
"หืม? องค์กรสร้างสันติสุข? เจ้านี่พูดจาเลอะเทอะไม่เปลี่ยนเลยนะ" ถึงจะเป็นการต่อว่า แต่รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามน ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองใบหน้าของอเมริกา
ช่างไร้เดียงสา... และน่าปกป้อง
"เชื่อผมสิว่ามันจะได้ผล! ผมวางแผนไว้หมดแล้วนะ นี่ไง!" ปึกกระดาษที่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มช่างฝันกอดเอาไว้ถูกดันเขามาหาร่างบาง มือเรียวต้องยื่นมารับอย่างช่วยไม่ได้
"เห้อ... ก็ได้ๆ ข้าจะลองเก็บไปคิดดู" สิ้นเสียงพูด อีกฝ่ายก็กระโดดจนตัวลอย แล้วดึงเขาเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตาของอังกฤษเบิกกว้างด้วยความตกใจ
คนโกหก...
"ไหนอเมริกาล่ะ?" สมาชิกสามคนขององค์กรหันมามองชายหนุ่มผมเฮเซลนัทด้วยสีหน้าสงสัย เจ้าตัวจึงกอดอก และถอนหายใจใส่ ก่อนจะตอบปัดๆอย่างไม่ไยดี
"จะไปรู้หรอ หมอนั่นก็บอกแล้วนี่ว่าจะมา--"
ยังไม่ทันจะพูดจบ ประตูบานใหญ่ของห้องประชุมก็เปิดออก เด็กชายตัวเล็กวิ่งเข้ามาพร้อมจดหมายในมือ ใบหน้าหวานดูเลิ่กลั่กจนชายหนุ่มผู้ดีเริ่มเอะใจ
"คุณอังกฤษครับ! นี่จดหมายจากคุณอเมริกาครับ!" เขารับจดหมายมาจาก'ลิทูเอเนีย'แบบงงๆ เมื่อเปิดอ่านได้ซักพัก ร่างบางก็เหมือนจะเซล้มจนต้องเอามือยันเก้าอี้ข้างตัวไว้
'ผมขอโทษนะ แต่ผมไม่สามารถเข้าร่วมองค์กรนี้ได้เพราะมีปัญหาภายในประเทศ ยังไงก็ตาม องค์กรนี้คือความฝันทั้งชีวิตของผม ผมฝากมันไว้ในมือของคุณได้ใช่มั้ย? ถ้ามีคุณอยู่ ผมมั่นใจว่าทุกอย่างต้องออกมาดีแน่ๆ
ด้วยรักและนับถือ
อเมริกา
หลอกลวง...
"ว่าไงนะ!? นี่มันบ้าอะไรกัน!?" 'อิตาลี่' ก่นด่าอย่างหัวเสีย ส่วนฝรั่งเศษที่ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ยังเดินเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยท่าทางกังวล
"เจ้าไหวมั้ย?... แล้วเราจะทำยังไงดี?" อังกฤษนิ่งไปซักพัก เขาหลับตาลงเพื่อใช้ความคิด ก่อนจะประกาศสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจออกไป
"เราก็ต้องทำสิ" ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทำให้เสียงตัวเองออกมาหนักแน่นแค่ไหน แต่สมาชิกคนอื่นก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
"นี่เราเพิ่งออกมาจากสงครามนะ ลำพังแค่ดูแลตัวเองก็ลำบากแล้ว เจ้าบาดเจ็บไปหมดทั้งตัว แถมพวกเราก็ไม่มีเงินเหลือมากขนาดที่จะไปดูแลคนอื่นต่อได้หรอก" ชายหนุ่มผมบลอนด์ยาวสลวยพูดด้วยความใจเย็น เขาบีบไหล่ของอังกฤษเบาๆเป็นการเรียกสติ
"แต่ข้า... ไม่รู้สิ ข้าแค่คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หามาตลอดไม่ใช่หรอ? ความสงบสุข? ถ้าเราไม่เริ่ม แล้วใครจะเริ่มล่ะ" คำพูดธรรมดาๆนั้นเรียกรอยยิ้มจากฝรั่งเศษได้ดี แต่อิตาลี่ก็ยังไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก
"ช่วยตื่นจากโลกความฝันกันก่อนได้มั้ย? ที่พวกเราชนะสงครามมาได้ก็เพราะอเมริกาช่วย ตอนนี้เจ้าก็ติดเงินหมอนั่นอยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วตัวเองสร้างปัญหามาเองแท้ๆ จู่ก็ชิ่งแล้วโยนความรับผิดชอบมาให้คนอื่นเนี่ยน...?"
ฝรั่งเศษมองอิตาลี่นิ่ง รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนคนหน้าสวย มืออีกข้างยกขึ้นทัดเส้นผมสีบลอนด์ให้อยู่หลังหู ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายน่ากลัวจนอิตาลี่ต้องเงียบลง
"มันมีอยู่วิธีนึง... แต่อังกฤษ ข้าไม่รู้นะว่าเจ้าจะเห็นด้วยรึเปล่า"
"ว่ามาสิ" เขาตอบกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
"เยอรมัน... ยัยนั่นแพ้สงคราม หากว่ากันตามความเป็นจริง เธอก็ต้องเป็นคนชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าพวกเราช่วยกันในการประชุมที่ปารีสคราวนี้ ข้าว่าแผนของเจ้าอาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะ" อังกฤษเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้ว เขาหันไปต่อว่าอีกฝ่ายทันทีแบบไม่ต้องคิด
"เจ้าจะบ้ารึไง!? หากพวกเราทำเช่นนั้น..." ปลายนิ้วแตะลงบนกลีบปากของเขาก่อนที่อังกฤษจะพูดจบ ฝรั่งเศษก้มหน้าลงเหยียดยิ้มให้กับอีกฝ่าย
"ไม่เอาน่า~ เจ้าเอ็นดูนางก็แค่เพราะว่านางเป็นลูกค้าคนสำคัญไม่ใช่รึไง? แบบนี้ดีเสียอีก ถึงเจ้าไม่ต้องส่งสินค้า แต่เงินจากนางก็ต้องตกถึงเจ้า"
"... เจ้าจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่?"
"6.6 ล้านล้านยูโร"
"เกินไปแล้ว!" อังกฤษขึ้นเสียง เขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าจำนวนเงินมากขนาดนั้นสามารถทำลายหญิงสาวเรือนผมสีเงินได้ในชั่วพริบตา
อย่าว่าแต่เธอเลย หากใครคนใดคนหนึ่งในนี้ต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น พวกเขาก็อาจจะต้องตกอยู่ในสภาวะล้มละลายไปอีกหลายร้อยปี...
"มากไปงั้นเหรอ... เหอะ... เจ้าดูที่นางทำกับประเทศของพวกเราก่อนสิ" อังกฤษส่ายหน้า เขาเงยขึ้นสบตากับชายหนุ่มที่รู้จักกันมานานหลายปี ทั้งในฐานะเพื่อนและศัตรู...
"เจ้ากลัวนาง... ใช่รึไม่?" ดวงตาเรียวสีฟ้าเบิกกว้าง ในดวงตาของอังกฤษ ฝรั่งเศษเห็นสีหน้าของตนเองที่ดูหวาดกลัวสุดขีด
คนตรงหน้าอ่านความคิดของเขาออกเสมอ...
"ไม่... ไม่! ข้าไม่ได้หวาดกลัวนาง! ข้าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องคิดเช่นนั้น!!" เขาแผดเสียงลั่น ภาพทหารนับล้านล้มตายในสงครามยังคงติดตาของเขา ร่างบางทรุดลงนั่งกับพื้นห้อง อังกฤษรีบรุดตามมาประคอง
"ชู่ว... เจ้าไม่ได้อยู่ในสงครามอีกแล้ว.. ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก" เขามองขณะที่หยดน้ำใสกลิ้งหล่นจากดวงตาของเพื่อนสนิท
ใบหน้ามนเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ลมหายใจของเขาติดขัด สิ่งเดียวที่อังกฤษทำได้คือใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายขณะที่คนตัวเล็กกว่ากำเสื้อสูทของเขาแน่น
"ไม่.. ฮึก... เจ้าไม่มีวันเข้าใจ..."
"อังกฤษ ข้าไม่อยากพูดแบบนี้ แต่เขาพูดถูก ไม่มีใครอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก..." อังกฤษสะบัดหน้าไปมองอิตาลี่ แววตาที่มักจะเยือกเย็นของเขาดูดุดันและน่าหวาดกลัว
"เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ออกไปซะ" ใช้เวลาไม่นานหลังสิ้นเสียงของเขา ทุกคนก็พร้อมใจกันเดินออกจากห้อง จนในที่สุด ห้องประชุมที่บรรจุผู้คนได้เป็นร้อยก็เหลือเพียงแค่คนสองคนเท่านั้น
"ฝรั่งเศษ... ข้าเข้าใจเจ้า แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจข้าด้วย ผลกระทบที่อาจจะตามมา... มันไม่คุ้มเลย และหากนางต้องการแก้แค้น เจ้าที่อยู่ใกล้นางที่สุดอาจเป็นอันตรายได้" ฝรั่งเศษเงยหน้าขึ้นมอง เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น ก่อนจะกระซิบคำพูดเข้าไปในหูของชายหนุ่มแห่งเกาะผู้ดี มันถูกเปล่งออกมาอย่างเชื่องช้าเพื่อให้มั่นใจว่าอังกฤษจะได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน
"เพราะเป็นแบบนั้น.. ข้าถึงต้องมั่นใจ... ว่านางจะต้องมอบทุกอย่างให้พวกเรา ทุกอย่าง... จะต้องไม่เหลือแม้แต่โอกาสเดียวให้นางได้ลุกขึ้นยืนอีก..."
วันที่ 20 มกราคม ปี 1920
ณ การประชุมสันติภาพปารีส
"งั้นก็ตามนี้นะ ทุกคนมีอะไรจะคัดค้านมั้ย?" อเมริกาสถบเบาๆ ใบหน้าของเขาบูดบึ้งและเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจแค่ไหน เขามองมาที่อังกฤษที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี
ทุกคนในห้องทยอยกันเดินออกไปหมดแล้ว อังกฤษซึ่งทำหน้าที่สรุปการประชุมนั่งจัดเรียงเอกสารอยู่จนกระทั่งเหลือแค่เขากับอเมริกาในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย คนเจ้าระเบียบก็ยกเอกสารขึ้นทำท่าจะเดินออกไปเช่นกัน
“ผมผิดหวังในตัวคุณ...” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เพราะตอนนี้ห้องประชุมเงียบสงัด อังกฤษจึงได้ยินทุกอย่างเต็มสองหู เขาหันไปหัวเราะใส่คนพูดด้วยแววตาปวดร้าว
“งั้นเหรอ งั้นถือว่าเจ๊ากันแล้วกันนะ เพราะข้าก็ผิดหวังในตัวเจ้ามารอบนึงแล้วเหมือนกัน” อเมริกาลุกขึ้นยืน เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ...” คำพูดของเขายิ่งทำให้คนฟังหัวเราะหนักเข้าไปอีก เขาเหยียดยิ้มประชด ขณะเดินเข้าไปใกล้แล้วตะโกนใส่อย่างเหลืออด
“ไม่! ข้าไม่รู้อะไรเลย! ข้าเชื่อเจ้ามาตลอด เชื่อจนข้าสมเพชตัวเองที่โง่ขนาดนี้!!!” คำพูดของอังกฤษทำให้อเมริกาต้องก้มหน้าลงมอง ดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าขณะนี้ไม่เหลือเค้าของความชื่นชมที่เคยมีต่ออเมริกาอีกแล้ว จะมีก็แต่ความเจ็บปวด และความผิดหวัง...
“ผมไม่ได้หลอกคุณ... แต่ที่คุณทำก็ไม่ถูก”
“มันเพื่อความยุติธรรม”
“มันเพื่อปกป้องฝรั่งเศษต่างหา—“
“หยุดนะ! เจ้าจะไปรู้อะไร!? ข้าถามจริงๆเลยนะ เจ้าสูญเสียอะไรจากสงครามครั้งนี้บ้าง? พวกข้าทั้งสองสูญเสียทุกอย่าง เจ้าได้ขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจ ส่วนพวกข้าตอนนี้แค่ไม่ให้ประชาชนอดตายก็ดีแค่ไหนแล้ว!?” เสียงตะคอกของคนที่เคยขึ้นชื่อว่าใจเย็นที่สุดทำให้อเมริกาต้องก้าวถอยหลัง เขากำหมัดแน่นแล้วตะโกนกลับ
“แล้วที่คุณทำอยู่นี่มันช่วยให้อะไรดีขึ้นงั้นเหรอ!?”
“งั้นบอกข้าสิ! บอกข้าว่าเจ้ากล้ายกหนี้ทั้งหมดให้พวกเราสองคน บอกข้ามาสิ!”
“...”
“หึ... เห็นมั้ยละ เจ้ามันก็ดีแต่พูด...”
“แล้วคนที่เอาคำว่า ‘ยุติธรรม’ มาใช้อ้างเพื่อเอาเปรียบคนอื่นมันต่างกันยังไง...?” อเมริกาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ข้าไปทำแบบนั้นตอนไหน?”
“ไรน์แลนด์, ซาร์ โคล์ดฟิลด์, อัลซาส ลอเรน... ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับสงครามด้วยหรอครับ?”
“ไรน์แลนด์เป็นพื้นที่กั้นระหว่างฝรั่งเศษกับเยอรมัน พวกข้าก็แค่ต้องมั่นใจว่านางจะไม่ใช้ช่องทางนี้โจมตีเขาทีหลัง” อเมริกาแค่นหัวเราะ
“งั้นซาร์ โคลด์ฟิลด์ล่ะครับ?”
“... ก็ไม่ได้ยึดตลอดนี่ 15 ปีก็ได้คืนแล้ว”
“แล้วอัลซาส ลอเรนล่ะ? พื้นที่ตรงนี้ เยอรมันยึดมาจากฝรั่งเศษก่อนสงครามซะอีก คุณจะบอกว่าอันนี้ก็เกี่ยวหรอครับ? คุณตามใจเพื่อนของคุณเกินไปแล้ว...”
“...ไม่ใช่เพื่อน เขาคือ ‘คนรัก’ ของข้า และหากมันทำให้เจ้าพอใจ จะคิดเช่นนั้นก็ย่อมได้ เพราะข้าคงไม่เสียเวลามานั่งแก้ตัว” พูดจบ อังกฤษก็หันหลังเตรียมจะเดินออกไป แต่อเมริกากลับคว้าแขนของเขาไว้
“เดี๋ยว...”
“อะไรอีก?”
“คุณ... ทำไมต้องทำแบบนี้...?” น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ มีอะไรบางอย่างในดวงตาของเขาที่ดูราวกับกำลังวอนขอการให้อภัย แต่สำหรับอังกฤษ เขาไม่เหลืออะไรให้สามารถเชื่อใจคนตรงหน้าได้อีกแล้ว
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าไว้หนึ่งอย่างนะ เผื่อมันจะทำให้เจ้าคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
“...”
“เงิน 6.6 ล้านล้านยูโรที่เจ้าบอกว่าเรารีดไถมาจากเยอรมันอย่างโหดร้าย”
“มันเป็นสาเหตุเดียวที่ปราสาทแห่งความฝันที่เจ้าสร้างขึ้นยังไม่พังทลายลง”
“ดังนั้น... ขากลับก็อย่าลืมแวะไปขอบคุณนางเสียด้วยล่ะ”
***Event ไม่ได้เรียงตามความจริงนะคะ ในความจริง อังกฤษและฝรั่งเศษถูกบังคับให้เป็นส่วนหนึ่งของ The League Of Nation ก่อนที่จะถึง Paris Peace Conference เป็นข้อแลกเปลี่ยนให้อเมริกาคุ้มครองการประชุมครั้งนี้จากทหารเยอรมันค่ะ และคำขอในการเข้าร่วม LoN ของอเมริกาถูกรัฐบาลปัดตกไปหลังจากจบการประชุมแล้วค่ะ
****มาพูดถึงเรื่องเงินกันค่ะ จริงๆแล้วเนี่ย คนเดียวที่ขอจำนวนเงินมากขนาดนั้นคือฝรั่งเศษค่ะ ซึ่งถ้าดูตามข้อมูลแล้ว ฝรั่งเศษสูญเสียทหารไปมากที่สุด แถมบ้านเมืองยังพังพินาศอีกค่ะ ตอนนั้นคนฝรั่งเศษเกลียดคนเยอรมันมาก ถึงขนาดที่เรียกร้องให้รัฐบาลเรียกค่าเสียหายที่เอาให้เยอรมันล่มจมไปเลย
คนอังกฤษเองก็ไม่ต่างกันค่ะ เพียงแต่ว่าเยอรมันเป็นลูกค้าที่สำคัญเป็นอันดับที่สอง ดังนั้นอังกฤษจึงกลัวว่าหากเรียกค่าเสียหายมากไปจนอีกฝ่ายเกิด economic crisis ขึ้นมา คนที่เดือดร้อนจะเป็นอังกฤษนี่แหละค่ะ เพราะจะไม่มีเงินไปใช้หนี้อเมริกาเอา
อเมริกานี่มาแบบพระเอกมากๆค่ะ เพราะไม่ต้องการลงโทษอะไรเกินไป เนื่องจากกลัวว่าเยอรมันจะโกรธและกลับมาแก้แค้นภายหลัง ดังนั้นเลยเรียกค่าเสียหายน้อยที่สุดเลยค่ะ
บทลงโทษของเยอรมันนี (สนธิสัญญาแวร์ซาย)
*****ทีนี้มาพูดถึงเรื่อง League of Nation บ้าง อันนี้เป็นความคิดของคุณ Woodrow Wilson ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาค่ะ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันนะว่าเขาเป็นพวก idealist คือคิดอะไรที่ดูดีนะ แต่เอามาใช้จริงไม่ค่อยได้😂 องค์กรนี้ก็เหมือนกันค่ะ คือไม่ใช่มันไม่ดีนะ แต่ถ้าไปลองย้อนอ่านๆดูจะรู้ว่ามันไม่ละเอียดเอาเสียเลย จะลองยกตัวอย่างให้ข้อนึงนะคะ คือมีกฏในองค์กรว่า
- ผู้ที่เข้าร่วมต้องลดจำนวนทหารลง
คือตรงนี้เนี่ย มันดูดีนะ ถึงจะไม่ค่อยมีคนอยากทำก็เถอะ จนมาอีกข้อที่บอกว่า
- หากประเทศหนึ่งในองค์กรต้องการความช่วยเหลือ ประเทศเพื่อนบ้านต้องส่งกองทัพไปช่วย
เอ๊ะ? คือทหารก็โดนลด แล้วนี่ยังต้องส่งไปตายให้ประเทศอื่นอีก? คือเป็นความคิดที่ดีแหละค่ะ แต่ใครมันจะไปมีจิตใจโอบอ้อมอารีแบบนั้น...
ตรงนี้ เคยมีนักการเมืองของอังกฤษเมื่อก่อนพูดไว้ค่ะ ว่าไปไม่รอดแน่นอน ยิ่งคนสร้างไม่อยู่ด้วย ฮาา..
******ทำไมอเมริกาเข้า LoN ไม่ได้? คือหลังจากที่ Woodrow Wilson สร้างและเขียนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว (ใช้เวลา 4 เดือนเองค่ะ... รีบมากมาย) และบังคับให้ประเทศอื่นมาเข้าร่วม เขาก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องเอาไปเสนอรัฐบาลที่ประเทศตัวเองด้วย ซึ่งตอนนั้นคนอเมริกาไม่เห็นด้วยมากๆค่ะ เหตุผลคือ...
- คือ LoN มีบทลงโทษอย่างนึงเวลาประเทศไหนผิดกฏ คือสามารถห้ามให้ประเทศในองค์กรทำการค้าขายกับประเทศนั้นได้ แต่คืออเมริกาเป็น capitalism อ่ะ ชอบเทรด ชอบส่งออกสินค้า การเคารพกฏข้อนี้คือเหมือนทำร้ายตัวเองยังไงชอบกล
- ไม่ชอบยุ่งเรื่องสงครามชาวบ้าน คือใครจะรบก็รบไปเถอะ ถ้าไม่มาส่งผลกระทบอะไรกันนี่ขอไม่เข้าไปยุ่งดีกว่า ตัวใครตัวมันเนาะ 5555
- อเมริกาเป็น self independent คือปกครองตัวเอง ส่วนบริติชกับฝรั่งเศษคือมีเมืองขึ้นเต็มไปหมด ความเห็นเรื่องนี้เลยไม่ค่อยตรงกัน เลยไม่ถูกกันเท่าไหร่
- ไม่อยากยุ่งกับฝั่งยุโรป “ให้พวกเรากังวลเรื่องที่เกิดขึ้นในทวีปฝั่งนี้ ส่วนคุณก็กังวลเรื่องทวีปคุณไปเหอะ” จ่ะ...
Talk//
ณ คาบเรียนประวัติศาตร์คาบหนึ่ง ในขณะที่เด็กจำนวน 9 คนนั่งเครียดเรื่องเนื้อหาและวันที่ มีเด็กสองคนที่นั่งจับมือกันและอ่านเรื่องราว ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างประเทษด้วยแววตาเป็นประกาย คนหนึ่งตัดสินใจวาดการ์ตูนคู่เยอรมันกับอิตาลี ส่วนอีกคนก็เซียนี่แหละค่ะ ฮาา
คือชอบความปากร้ายของหนุ่มอังกฤษและตกหลุมรักความทะเยอทะยานของหนุ่มอเมริกัน แต่ก็สงครามมันจบไม่ดีง่ะ จะให้ good ending ก็ไม่ถูกกก
ขอตัวไปนั่งจดโน็ตประวัติศาสตร์ต่อ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตาม ฝากกดแชร์ และสุดท้ายนี้รักนักอ่านทุกคนมากๆนะคะ🥰💕❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา