Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
MidnMarry
•
ติดตาม
14 ส.ค. 2019 เวลา 01:04
Time Of Flight
Pairing: เสิ่นเว่ย/จ้าวอวิ๋นหลาน [Guardian]
”เอ้อ... นายชื่ออะไรนะ?”
“ชื่อ...?”
“ใช่ ชื่อจริงๆของนายน่ะ แหงล่ะ นายคงไม่ได้เกิดมาแล้วถูกเรียกว่า ยมฑูตดำ เลยหรอก ใช่มั้ยล่ะ?”
”ข้านามสกุล เสิ่น ชื่อ... เว๋ย ที่มาจากภูเขา”
“เว๋ย แบบรับโทรศัพท์งี้อ่ะนะ?”
“ครับ?”
“เปล่าๆ เอางี้ละกันนะ เส้นภูเขาจะเชื่อมต่อกับลำธาร ลากยาวไปไม่มีวันจบ ก็เหมือนภาระและความรับผิดชอบของพวกเราที่จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะงั้นเราก็เติมขีดเพิ่มที่ชื่อของนาย เป็น เสิ่นเว่ย”
“เสิ่น... เว่ย?”
“ใช่! ชอบรึเปล่าล่ะ?”
“ถ้าเป็นชื่อที่ท่านคุนหลุนตั้งให้ ข้าก็ต้องชอบอยู่แล้ว ต่อไปนี้ถ้าใครถาม ชื่อของข้าคือ เสิ่นเว่ย”
คืนนั้น เสิ่นเว่ยจำได้ไม่มีวันลืมเลยว่าแสงจันทร์ที่ส่องลงมากระทบใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นงดงามแค่ไหน
ไม่รู้มาก่อนว่าสิ่งที่เกิดเพียงแค่ไม่กี่นาที จะติดตรึงอยู่ในหัวใจเขาไปชั่วนิรันดร์
”ข้าจะทำยังไงดี? หัวหน้าจ้าวไม่เคยสนใจข้าในแง่นั้นเลย..” ‘จู้หง’ สาวสวยประจำหน่วยสืบสวนของจ้าวอวิ้นหลานหันมาถามเสิ่นเว่ย แววตาของเธอดูเศร้าสร้อยจนเขาอดเวทนาไม่ได้
กี่ครั้งแล้วที่หญิงสาวตรงหน้าพยายามเปลี่ยนตัวเอง ทั้งใส่รองเท้าส้นสูง หัดทำตัวให้เหมือนผู้หญิงมากขึ้น แต่สุดท้าย สายตาที่หัวหน้ามองเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
กลับกันกับคนตรงหน้าที่โผล่มาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ แต่กลับได้รับความรักจากเขาอย่างล้นหลามจนน่าอิจฉา
“อย่างน้อยก็สามเดือน มากสุดก็สามปี ฮอร์โมนความรู้สึกของคนจะอยู่ได้แค่นั้น และเมื่อถึงเวลา คุณก็อาจจะเลิกชอบเขาไปได้เอง”
ตอนนั้นจู้หงพยักหน้าแล้วเดินต่อไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่เสิ่นเว่ยกลับกลายเป็นฝ่ายที่ยืนนิ่ง และมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่ค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆด้วยแววตาเศร้า
เพราะมันก็มีบางกรณี ที่แม้แต่เวลาเป็นหมื่นปีก็ทำอะไรไม่ได้
“ถ้าวันนึง ฉันหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว นายอย่าโกรธฉันเลยนะ” คุนหลุนพึมพำขณะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า ก่อนจะเลื่อนสายตามายังเสี้ยวหน้าหวานของคนข้างกาย
“ท่านจะไปไหน?”
“ฉันก็ต้องกลับไปยังที่ที่ฉันสมควรจะอยู่น่ะสิ”
“...” เสิ่นเว่ยเม้มปากแน่น เขาก้มลงมองพื้นหญ้าใต้เท้า ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะถามในสิ่งที่ใจคิดดีรึเปล่า
“เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน ฉันสัญญา” คุนหลุนตอบคำถามในใจของเขาด้วยรอยยิ้มบาง
“ศาตราจารย์เสิ่น ทำไมกันนะ เวลาผมมองหน้าคุณทีไร ผมชอบรู้สึกว่าเราเคยเจอกันมาก่อนแล้วทุกทีเลย” คำทักทายของหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษทำให้คนฟังต้องอมยิ้ม
“ไม่แน่นะครับ บางทีเราอาจจะเคยเจอกันมาก่อนแล้วจริงๆก็ได้” เขาตอบขณะลอบมองก้านลูกอมที่อีกฝ่ายถืออยู่ มันทำให้เขาต้องยกมือขึ้นจับสร้อยคอเพราะความรู้สึกคิดถึง
“พวกท่านสองคนมาคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้? ข้าศึกบุกมาแล้ว พวกเขาถือของวิเศษทั้งสี่มาด้วย!!” ‘ต้าชิง’ วิ่งเข้ามาพร้อมข่าวสารที่ทำลายบรรยากาศสงบสุขของทั้งคู่ ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นยืน เสิ่นเว่ยก้าวเข้าไปหาต้าชิง นั่นทำให้เขารู้ตัวว่าไปเหยียบโดนอะไรซักอย่างเข้าแล้ว
เปลือกลูกอมที่ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ดีว่าเป็นของใคร
‘นายไม่ควรเอาชีวิตของนายมาแลกกับของฉัน มันไม่คุ้มค่าเลย...’
‘คุ้มสิครับ...’
ร่างอันบอบช้ำของเสิ่นเว่ยนอนอยู่บนพื้น เขาได้แต่มองจ้าวอวิ๋นหลานที่ถูกจับผูกกับเสาโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่เหลือพลังอะไรที่จะใช้ต่อสู้กับน้องชายของตนเองได้เลย
“บอกข้ามา ตะเกียงอยู่ที่ไหน!?” ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีขาวตะคอกถาม จ้าวอวิ๋นหลานหัวเราะ เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาท้าทาย
ทำไมเสิ่นเว่ยจะไม่รู้ ว่าเขาดื้อดึงและปากแข็งแค่ไหน
“ไม่”
ในตอนนั้น เหมือนเข็มนาฬิกาหมุนช้าลง เสิ่นเว่ยเห็นน้องชายตนเองที่ทำสีหน้าหมดความอดทน แขนง้างขึ้นเพื่อเตรียมปล่อยพลังใส่จ้าวอวิ๋นหลานเต็มที่
ใครจะไปยอมกัน... ชายหนุ่มร่างบางแบบนั้น... เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายตายต่อหน้าได้ยังไง?
พลังหยดสุดท้ายถูกดึงออกมาใช้ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาคือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จ้าวอวิ๋นหลานจะต้องปลอดภัย
เขาดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกระโดดไปบังร่างบางเอาไว้ได้ทันเวลา
คลื่นพลังที่กระแทกเข้ามาทำให้สติของคนรับพร่าเลือน ความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนหน้ากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนนี้ ร่างของเขาค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้น
“เสิ่นเว่ย!!!!!!”
‘อย่าตะโกนสิ... แบบนี้แหละดีแล้ว...’ เขาคิดในใจ ก่อนจะต้องหลับตาปี๋เมื่อน้องชายกระทืบเท้าลงมาที่แผ่นหลังของเขาอย่างไม่ออมแรง
“ทำไม!? ทำไมพี่ต้องต่อต้านผม!?!?”
“ตะเกียง... นายไม่คู่ควร... กับมัน” น้ำเสียงแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาด้วยความยากลำบาก ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขายังคงรู้สึกได้คือความเจ็บปวดที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจากตรงไหน
น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“น่าสมเพช...”
“น่าสมเพชที่สุด!!” แท่งแหลมคมถูกเสกออกมาจากมือของผู้เป็นน้อง เขากดมันลงไปในอกของชายหนุ่มที่มีสายเลือดเดียวกัน ใบหน้าที่อยู่ห่างจากเขาเพียงเล็กน้อยแสดงสีหน้าที่แม้แต่คนเป็นพี่ก็อ่านไม่ออก
เสียใจ... โกรธ... แค้น?
ความมืดค่อยๆปกคลุมภาพการมองเห็นของเสิ่นเว่ย มันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของคนคนนึงแทน
จ้าวอวิ้นหลาน...
‘ชนะ... ให้ได้นะ’
การต่อสู้ยาวนานเหลือเกินสำหรับคนที่นอนรอความตายแบบเขา เพื่อนร่วมทีมที่เข้ามาช่วยสมทบภายหลังทำให้เขาสามารถชนะฝั่งตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่จ้าวอวิ้นหลานต้องการไม่ใช่ชัยชนะ...
ภาพของเสิ่นเว่ยที่นอนจมกองเลือดทำให้เขาตะโกนออกมาสุดเสียง
‘เราชนะแล้วนี่ไง นายก็ฟื้นกลับขึ้นมาได้แล้ว... ขอร้องล่ะ...’
“ไม่!! เสิ่นเว่ย!” จ้าวอวิ๋นหลานแผดเสียงร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่ต่อให้ตะโกนจนได้ยินไปถึงโลกด้านบน คนตรงหน้าก็ไม่มีทางวิ่งมาช่วยพยุงเขาได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
กึก...
จี้อัญมณีสีเหลืองทองกลิ้งมาหยุดที่มือของเขา ก่อนหน้านี้มันห้อยอยู่กับสร้อยคอของเสิ่นเว่ย เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายรักนักรักหนา และหวงยิ่งกว่าอะไรดี
จ้าวอวิ๋นหลานใช้แรงที่หลงเหลืออยู่ค่อยๆประคองมันขึ้นมาและเมื่อเปิดฝาออก สิ่งที่เขาเห็นก็ทำให้น้ำตาที่แห้งเหือดต้องไหลรินออกมาเป็นสายอีกครั้ง
เปลือกลูกอมของเขา... เมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว
‘ตะเกียงแห่งวิญญาณจะสามารถแสดงพลังได้ก็ต่อเมื่อมีไส้ตะเกียงเท่านั้น โดยไส้ตะเกียงต้องมาจากการเสียสละวิญญาณ’
‘ใครจะไปทำแบบนั้นกัน บ้าไปแล้ว’ จ้าวอวิ๋นหลานหัวเราะเบาๆเพื่อเยาะเย้ยตัวเองที่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกไป
“จ้าวอวิ๋นหลานนะ จ้าวอวิ๋นหลาน นายนี่ช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆเลยที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้เสียสละแบบนี้...” เขาพึมพำกับตนเองด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในปากบวกกับความเจ็บแสบที่ค่อยๆกระจายไปทั่วลำตัวทำให้รู้ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
ตอนนั้นในหัวของชายหนุ่ม มีเป็นร้อยเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจสละชีวิตตนเอง
แต่ที่แจ่มชัดที่สุด...
‘ฉันจะไปยอมให้การเสียสละของนายสูญเปล่าได้ยังไงกัน?’
แล้วอีกอย่าง...
‘ชีวิตที่ไม่มีนายอยู่... มันจะไปเหลือค่าอะไรอีก?’
สองมือประคองตะเกียง ในขณะที่เขาพุ่งสมาธิไปกับการส่งมอบวิญญาณ
แสงไฟสีเหลืองทองส่องสว่างไปทั่ว เป็นสัญญาณว่าเขาทำสำเร็จ
ในช่วงเวลาที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นกับความตาย เขาหลับตา จินตนาการถึงรอยยิ้มอันงดงามของคนที่เขารักมากที่สุด
‘เส้นทางที่พวกเราเลือก... สิ้นสุดแล้วนะ เสิ่นเว่ย’
เปลวไฟถูกจุดขึ้นบนตะเกียง
ขณะเดียวกับที่เปลวไฟชีวิตของจ้าวอวิ๋นหลานมอดดับลง
“เฮ้ เอางี้มั้ย เรามาพนันกันดีกว่า” คุนหลุนยื่นมือไปแตะแขนอีกฝ่ายก่อนจะหาทางพูดให้ความเศร้าที่เจืออยู่ในแววตาของคนตรงหน้าหายไป
”พนัน? พนันอะไรครับ?” เสิ่นเว่ยเงยหน้าขึ้นจากพื้นหญ้า
“อีกหนึ่งหมื่นปี พวกเราจะได้กลับมาเจอกันแน่นอน”
มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ก็คุ้มค่าที่จะรอ
“คุณมาแล้ว” เสิ่นเว่ยเอ่ยปากทัก สภาพของทั้งสองคนตอนนี้ดูดีกว่าเดิมมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว
“ส่วนนายก็กำลังจะไป... ใช่มั้ย?” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นถามด้วยแววตาปวดร้าว
“ทุกชีวิต... ย่อมต้องดับไปทั้งนั้น แต่อย่างน้อยๆ สิ่งที่พวกเราเลือกทำ ต่างก็มีความหมาย” และถึงย้อนเวลากลับไป เขารู้ดีว่าพวกเขาก็จะเลือกที่จะเสียสละตนเองเหมือนเดิม
มันเป็นความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเลือกเดินมาในเส้นทางนี้
“เรามาพนันกันมั้ยครับ?” เสิ่นเว่ยพูดด้วยรอยยิ้มบาง ภาพดวงจันทร์ในคืนแรกที่ทั้งสองคนพบกันฉายซ้ำในหัวของทั้งคู่
“พนันอะไร?”
“ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องไปที่ใด มันต้องมีซักวัน... ที่พวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีก”
ทั้งสองคนรู้ดี ว่าการพนันครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน คราวนี้พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มาจากอนาคต ไม่มีใครรู้เลยว่าใครจะชนะการพนัน หรือบางทีหากได้เจอกันอีกจริงๆ พวกเขาจะยังจำการพนันครั้งนี้ได้อยู่รึเปล่านะ?
แต่เสิ่นเว่ยก็ยังคงมั่นใจ... เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ ความรู้สึกที่เขามีต่อคนตรงหน้า ก็จะยังคงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาอย่างแน่นอน
我始终在这里等一个消息
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันเฝ้าคอยข่าวคราวเสมอมา
你也没放弃
เธอก็ไม่เคยยอมแพ้
跨越时间一起飞行
โบยบินข้ามผ่านกาลเวลาไปด้วยกัน
-Time Of Flight (时间飞行)
-แปลโดย Asakura
Talk//
เรื่องนี้คือแลกมาด้วยหยดน้ำตาเซียมากๆ ตอนหารูปคือต้องย้อนดูตอนจบแล้วห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้เลย😢 เขียนไปเช็ดน้ำตาไป
คิดว่าเรื่องนี้คงเป็นซีรีย์ที่รักที่สุดแล้วแหละ เอาจริงๆไม่ชอบดูละครไทย เกาหลีก็ไม่ชอบ จีนนี่ยิ่งไม่แตะเลย แต่เรื่องนี้คือดีมากๆ รักมากๆ บอกสิ่งที่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เป็นร้อยๆข้อจริงๆ
ส่วนนึงเลยนะ ที่ทำให้รักเรื่องนี้มากๆคงเป็นเพราะมันเป็นแนว ’พี่น้อง’ แค่เพราะรัฐบาลจีนต่อต้านเรื่องเพศ แต่เอาจริงๆนะ ถึงในเรื่องจะไม่มีการบอกรัก ไม่มีการโอบกอดหรือสัมผัสอะไรที่หวาบหวาม แต่ดวงตา หรือรอยยิ้มที่ส่งต่อให้แก่กันทำให้รู้สึกว่าความรักในเรื่องนี้ดูสวยยิ่งกว่าหนังโรแมนติกทั้งหมดที่เคยดูมาซะอีก เป็นความรักที่บริสุทธิ์ โหดร้ายแต่ก็สวยงาม
คือทั้งสองคนรักกันมากนะ อยากอยู่ด้วยกันมากๆ แต่ความรับผิดชอบก็เป็นสิ่งที่ละทิ้งไม่ได้ ท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าภาระเหล่านั้นจะทำให้ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันอีก แต่ก็ไม่ได้เสียใจเลย จบเศร้านะ แต่จบดีอ่ะ True Ending จริงๆต้องเป็นแบบนี้แหละ
‘The best relationship is the one where saying the word ‘love’ is not necessary at all. The feelings are convey through emotions and eye contact. Therefore, saying it out loud is needless.’ - MidnMarry☺️💕
บันทึก
9
26
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
One Shot Story
9
26
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย