13 ส.ค. 2019 เวลา 23:50
พุทธประวัติ​ ตอนที่ 1
ทรงตั้งปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ
ขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กระผมจะขอกล่าวเล่าความดังนี้ :
เมื่อเรานับย้อนเวลาลงไปในสมัยอดีตกาลของมหาภัทรกัปนี้...
*ครั้นเวลาเมื่อ 4 อสงไขยกับอีกแสนกัปที่ผ่านมา (*เป็นครั้งแรกที่ได้พระโพธิสัตว์เจ้าได้รับพุทธพยากรณ์​ว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แต่เรื่องราวก่อนที่จะได้รับพุทธ​พยากรณ์​นั้น พระองค์เองก็เคยทรงตั้งปรารถนาไว้เหมือนกับครั้งนี้เช่นเดียวกัน แต่ทรงมิได้รับพุทธพยากรณ์เหมือนดังเช่นครั้งนี้ ในเรื่องราวก่อนพุทธพยากรณ์นั้นจะแยกอยู่ใน [คัมภีร์สัมภาระวิบาก] ไว้กระผมจะขอยกนำมาเล่าในภายหลังครับ)
ในสมัยนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้บังเกิดเป็นบุตรของมหาเศรษฐีใน
เมืองอมรวดี เมื่อบิดามารดาของท่านได้ทำกาละ(ตาย) หมดแล้ว
2
ท่านจึงมีความคิดว่า :
 “อันทรัพย์สมบัติมากมายกายกอง ที่บรรพบุรุษทั้งหลายของเรานั้นได้สั่งสมต่อๆ กันมามากมายขนาดนี้ มิเห็นเลยว่าจะมีใคร ที่นำเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นติดตัวไปได้เลยสักคนเดียว อันแม้ตัวเราเองก็คงจะอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน ดังนั้น จะมีประโยชน์อันใดที่ตัวเรานั้นจะมาหลงใหลมัวเมากับทรัพย์สมบัติเหล่านี้”
เมื่อลูกเศรษฐีนึกคิดได้ดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจบริจาคทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่หลายร้อยโกฏิทั้งหมดแจกให้เป็นทานจนหมดสิน จากนั้นก็ได้ละทิ้งเพศฆราวาสแล้วออกบวชบำเพ็ญพรตมีนามว่า “สุเมธดาบส”  แต่ภายใน 7 วันท่านก็ได้ บรรลุอภิญญา​ (มีฤิทธิ์)
1
(ในบทนี้กระผมขออนุญาตหยิบยกนำมาเล่าแต่โดยย่อพอเป็นสังเขป ส่วนในฉบับเนื้อหาที่ละเอียดนั้นจะขอนำมาขยายไว้โดยคราวหลังครับ)
ครั้นต่อมา ท่านก็ได้มาพบพระพุทธเจ้าพระนามว่า "ทีปังกร" ซึ่งการได้พบ กับพระพุทธเจ้าในครั้งนี้
สุเมธดาบส ท่านมีโอกาสสามารถที่จะบรรลุพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานได้อย่างทันที หากท่านได้ฟังธรรมในครั้งนั้น
แต่ด้วยอำนาจพระบารมีที่สั่งสมมาแต่ปางก่อนด้วยการตั้งปรารถนาการตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ไว้มาก่อน ท่านจึงขอยอมอดเว้นจากการบรรลุพระอรหันต์ในครั้งนั้น
ลำดับนั้นเอง สุเมธดาบสท่านก็ได้ตั้งใจจะบำเพ็ญบุญมหากุศลพระบารมี
ด้วยการขอมอบกายถวายชีวิต โดยการทอดสรีระร่างกายของตนเองแล้วนอนลงบนโคลนตมเพื่อเป็นสะพาน  ให้พระพุทธทีปังกรพร้อมด้วยอริยสงฆ์สาวก ได้เดินข้ามโคลนตม แล้วตั้งความปรารถนาในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดาทีปังกรว่า
สุเมธ​ดาบส​อธิษฐาน​ในใจ :
“ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนดังเช่นพระพุทธองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
พระพุทธทีปังกรท่านก็ทรงทราบถึงวาระจิตของสุเมธดาบส พระองค์​จึงได้ทรงตรวจดูบารมีของดาบสผู้นี้
จากนั้นพระองค์​ก็ได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า “สุเมธดาบสผู้นี้ จะได้บรรลุ เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าสมความปรารถนาอย่างแน่นอน”
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการพยากรณ์ครั้งแรกของพระโพธิสัตว์เจ้าว่าจะสำเร็จความปรารถนาอย่างแน่นอน และในชาติต่อๆ มา จวบจนถึงชาติที่เกิดเป็นพระเวสสันดร
สิริรวมพุทธพยากรณ์จากสำนักพระพุทธเจ้าถึง 25 พระองค์ มีพระพุทธกัสสปเป็นองค์สุดท้าย
ครั้นเมื่อ​สุเมธ​ดาบส​ได้รับ
พุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรดังนี้แล้ว...
สุเมธดาบสจึงได้รีบเร่งขวนขวายบำเพ็ญ*พระสมติงสบารมี (พระบารมี ๓๐ ทัศน์) อย่างเคร่งขรัดในทุกชาติที่เกิดมาและได้บำเพ็ญทานมหาบริจาค 5 ประการอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่า "ปัญจมหาบริจาค" คือ
1. บริจาคทรัพย์ให้เป็นทาน
2. บริจาคอวัยวะให้เป็นทาน
3. บริจาคบุตรให้เป็นทาน
4. บริจาคภรรยาให้เป็นทาน
5. บริจาคชีวิตให้เป็นทาน
* หากจะกล่าวแต่โดยเฉพาะทานบารมีก็ได้ทรงบำเพ็ญเป็นอเนกประการ
* เฉพาะให้แต่โลหิตเป็นทานก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4
* เฉพาะให้แต่เนื้อเป็นทานก็มากกว่ามหาปฐพี
* เฉพาะแต่ตัดพระเศียรให้เป็นทานก็สูงกว่าเขาพระสุเมรุ
* เฉพาะแต่ควักดวงเนตรให้เป็นทานก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
พระบารมีที่พระองค์ที่ได้สั่งสมมาเป็นสิ้นกาลช้านานนั้น ก็เพื่อประโยชน์แก่การบรรลุพระโพธิญาณโดยเฉพาะ
ซึ่งพระบารมีต่างๆ นั้นจัดแบ่งออกเป็นได้ 3 ระดับ คือ
1
- บารมี 10
- อุปบารมี 10
- ปรมัตถบารมี 10
รวมเป็นพระสมติงสบารมี 30 หรือ พระบารมี ๓๐ ทัศน์เต็มรอบแห่งพุทธะนั้นเอง
สวรรค์ชั้นดุสิต
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีต่างๆ ด้วยประการดังนี้แล้วครั้นทิวงคตก็ได้เสด็จอุบัติ บังเกิดขึ้นเป็น "สันดุสิตเทวราช" เสวยทิพยสมบัติอยู่ในเทวโลกสวรรค์ชั้นดุสิต (เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4) เมื่อพระบารของพระองค์มีแก่กล้าใกล้ที่จะสามารถบรรลุพระโพธิญาณแล้วนั้น
ท้าวมหาพรหมในชั้นสุทธาวาสทั้ง 5 คือ
พรหมชั้นที่ 12 อวิหาสุธาวาสภูมิ
พรหมชั้นที่ 13 อตัปปาสุธาวาสภูมิ
พรหมชั้นที่ 14 สุทัสสาสุธาวาสภูมิ
พรหมชั้นที่ 15 สุทัสสีสุธาวาสภูมิ
พรหมชั้นที่ 16 อกนิษฐาสุธาวาสภูมิ
ได้ลงมาเที่ยวประกาศแก่ชาวโลกทั้งหลาย อันเป็นเหตุแห่งพุทธโกลาหนแก่มวลมนุษย์ว่า :
“ท่านทั้งหลาย นับตั้งแต่นี้ไปอีกแสนปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ถ้าท่านผู้ใดปรารถนาอยากจะได้พบเห็น ท่านผู้นั้นจงพึงงดเว้นจากเวร 5 ประการ (กล่าวคือศีล 5) และพยายามบำเพ็ญทานรักษาศีลเจริญภาวนา และทำการกุศลต่างๆ โดยทั่วกันเถิด”
ความโกลาหล​ใหญ่จึงบังเกิดขึ้นทันที กล่าวคือ ความเอิกเกริกอลหม่าน แตกตื่นอันเกิดจากความสับสนสงสัย
กล่าวไว้มี 5 ประการเรียกว่า :
"ปัญจโกลาหล" มีดังนี้
1. พุทธโกลาหล
ความเอิกเกริกเกี่ยวกับการเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะเกิดเหตุก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกเป็นเวลา 1 แสนปี
2. กัปปโกลาหล
เกิดก่อนกัปนั้นจะพินาศ 1 หมื่นปี
3. มงคล​โกลาหล​
เกิดก่อนพระพุทธเจ้าจะแสดงมงคล 12 ปี
4. จักกวัตติโกลาหล
เกิดก่อนพระเจ้าจักรพรรดิจะอุบัติขึ้นในโลก 100 ปี
5. โมเนยยโกลาหล
เกิดก่อนจะมีคนถามถึงโมไนยปฏิบัติ 7 ปี
ครั้งนั้น​เอง...
เทพยดาและท้าวมหาพรหมทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุนั้น เมื่อได้สดับพุทธโกลาหลแล้ว ต่างก็ประชุมสนทนาไต่ถามกันและกันว่า :
"สัตว์​ผู้ใดกันหนอ จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในโลก"
และความสับสนสังสัยนี้ก็ได้ดำรงอยู่มาถึงหนึ่งแสนปีเต็ม จะหาผู้ที่ให้คำตอบก็มิได้
จวบจนกระทั่งนิมิต 5 ประการ อันเป็นสัญญาณบอกเหตุเกิดขึ้นแก่ สันดุสิตเทพบุตร
เรียกว่า "ปัญจบุพนิมิต" คือ
1. ดอกไม้ทิพย์ที่ประดับพระวรกายมีอาการเหี่ยวแห้ง
2. ทิพยภูษาที่ทรงนั้นมีสีเศร้าหมอง
3. พระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากพระกัจฉะ (รักแร)
4. พระสรีรกายมีอามีอาการชราปรากฏ
5. มีพระทัยกระสันเป็นทุกข์เบื่อหน่ายในเทวโลก
ใน​ลำดับนั้น​เอง...
เทพยดาและหมู่พรหมทั้งหลาย เมื่อได้เห็นบุพนิมิตปรากฏขึ้นแก่สันดุสิตเทพบุตรเช่นนี้แล้ว ก็ทราบแน่ชัดแล้วว่า "สันดุสิตเทพบุตร" องค์นี้เอง คือองค์พระสัพพัญญูโพธิสัตว์
จึงได้พากันเข้ากราบทูลอาราธนาเพื่อจุติลงมาบังเกิดยังโลกมนุษย์
เพื่อที่พระองค์จะได้รื้อขนหมู่สัตว์นิกรในมนุษย์โลกกับทั้งเทวโลกทั้งหลายให้ได้ข้ามพ้นสังสารวัฏ
ได้ตรัสรูซึ่งทางปฏิบัตินำเข้าสู่พระอมตมหานิพพาน ด้วยเถิดพระเจ้าข้า
แต่องค์พระโพธิสัตว์เจ้านั้น แม้จะได้สดับคำอาราธนาเหล่านั้นแล้วก็ยังมิได้ทรงรับคำอาราธนานั้นทันที
เหตุเพราะพระองค์จะต้องพิจารณาดูความเหมาะสมของสถานณการณ์ในโลกมนุษย์ 5 ประการให้ครบก่อน ซึ่งเรียกว่า "ปัญจมหาวิโลกนะ"
คือการพิจารณาตรวจดูอันยิ่งใหญ่
5 ประการ กล่าวคือ :
1. กาล
ได้แก่เวลาอายุของสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธ​เจ้าทั้งหลายจะอุบัติขึ้นโลกที่มนุษย์ มีอายุอยู่ระหว่าง 100-100,000 ปีเท่านั้น
เหตุเพราะ ถ้ามนุษย์มีอายุมากกว่า 1 แสนปี ก็จะไม่เข้าใจเรื่อง ชาติ ชรา มรณะ กล่าวคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เนื่องจากมีอายุยืนยาวไม่ค่อยได้พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ มนุษย์​จะเป็นผู้ที่มากไปด้วยความประมาท
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาเรื่องพระไตรลักษณ์คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์​ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน มนุษย์​ทั้งหลายก็จักไม่เชื่อฟัง
แต่ถ้าหากมนุษย์นั้นมีอายุต่ำกว่า 100 ปี ก็จะมีจิตใจหนาไปด้วยกิเลส ไม่ตั้งอยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบดุจดังเอาท่อนไม้ขีดลงในน้ำ ชั่วฉับพลันรอยนั้นก็หายไปไม่ปรากฏ
และคนอายุน้อยนั้นไม่มีเวลาที่จะสนใจศึกษาหลักธรรมที่ทรงสั่งสอน เพราะบุคคลบางพวกจำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาปฏิบัติจึงจะสามารถบรรลุอมตธรรมได้
2. ทวีป
1
ในบรรดาทวีปทั้ง 4 นั้น พระองค์​ก็ทรงพิจารณาเห็นว่าทวีปทั้ง 3 กล่าวคือ
1. บุพวิเทหทวีป
2. อุตรกุรุทวีป
3. อรมโคยานทวีป
ซึ่งทั้ง 3 ทวีปนี้มิใช่สถานที่บังเกิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระ​พุทธเจ้า​ทุกพระองค์จะบังเกิดเพียงแต่ใน "ชมพูทวีป" เท่านั้น
3.ประเทศ​
พระองค์​ทรงพิจารณาเห็นว่า
มัชฌิมประเทศ เป็นสถานที่บังเกิดของพระสัพพัญญูเจ้าทั้งปวง แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิ กษัตริย์​และพราหมฌ์คหบดีหรือผู้มีบุญมากก็ล้วนแล้วแต่มาบังเกิดใน มัชฌิมประเทศ​ทั้งนั้น และกรุงกบิลพัสดุ์ก็อยู่ในมัชฌิมประเทศ​นั้ยด้วย
4. สกุล
ตามธรรมดาแล้ว พระ​สัพพัญญู​เจ้าจักบังเกิดใน 2 สกุลเท่านั้น คือ
สกุลกษัตรย์​และสกุลพราหมณ์
อันโลกสมมุติว่าประเสริฐ หรือยุคสมัยใดโลกยกย่องสกุลใดว่าสูงสุดก็จักทรงบังเกิดในสกุลนั้น จะไม่บังเกิดในสกุลอื่น
5. มารดา
อันธรรมดาแล้วสตรีที่จะได้เป็นพระพุทธมารดานั้น จะต้องเป็นสตรีที่ได้บำเพ็ญบารมีมาถึงแสนกัปบริบรูณ์แล้ว จะเป็นผู้มีนิสัยใจหยาบต่ำช้าผิดศีลต่างๆ นั้นหามิได้เลย เมื่อเกิดมาแล้วชีวิตของท่านก็รักษาศีล 5 บริสุทธิ์​ตลอดกาลเป็นนิตย์
เมื่อ พระ​โพธิสัตว์​เจ้าทรงพิจารณาเห็นแล้วว่า "พระนางสิริมหามายา"
พระ​มเหสี​แห่งพระเจ้าสุโธทนะ
มี​คุณสมบัติ​ครบถ้วนทุกประการ
สมควรแล้วที่จะเป็นพระมารดาของพระองค์
ลำดับนั้นเอง
เมื่อพระองค์ได้ทรงพิจารณา
ปัญจมหาวิโลกนะทั้ง 5 ประการ
ครบถ้วนสมบูรณ์​ดีแล้ว
จึงรับ อาราธนา​ของท้าวมหาพรหม​และเทพยดาทั้งหลาย จากนั้นพระองค์​
จึงทรงเสด็จจุติจากทิพยนันทวันอุทยาน
ซึ่งมีอยู่ในดุสิตเทวโลกลงสู่ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาราชเทวี อัครมเหสีพระเจ้าสิริสุโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์มหานครนั้นแล
เอวัง​ก็มี​ด้วยประการฉะนี้​
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
........
1
*คุยกันท้ายเรื่องกับต้นธรรมครับ*
ก่อนอื่นกระผมขอสวัสดี​สาธุชนทุกท่าน และผู้รักการอ่านที่อยากจะศึกษาพุทธศาสนาแบบที่อ่านง่ายๆ สบายๆ มีภาพประกอบสวยๆ น่ารักๆ เด็กๆก็อ่านได้ผู้ใหญ่ก็อ่านดี (ขออวยตัวเองซะหน่อยฮ่าๆ) ได้ความรู้และเนื้อหาครบถ้วน (เท่าที่กระผมจะหามาให้อ่านได้นะครับ อิอิ)
ก็ผมเองก็ห่างหายหาไปนานจาก BD เพราะภารกิจต่างๆมากมาย จนปัจจุบันพอจะมีเวลาแล้ว จึงตั้งใจจะกลับมาทำใหม่ โดยในคราวนี้ผมตั้งใจจะหยิบยกเรื่องยาว เกี่ยวกับพุทธประวัติ จะพยายามเก็บรายละเอียดให้ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ตัวกระผมนั้น จะมีความสามารถพอเท่าที่จะทำได้ครับ
ซึ่งเนื้อเรื่องในแต่ละตอนนั้นจะมีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งผู้อ่านอาจจะง่วงเสียก่อนก็ไม่เป็นไร กระผมแค่ขอให้ท่านได้อ่านวันละนิดๆหน่อยๆก็พอใจแล้วครับ ^_^
แต่อยากให้ท่านอ่านให้จบครับเพื่อท่านสาธุชนทั้งหลายจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้นไม่มากก็น้อยครับ
1
สุดท้ายกระผมก็ขอฝากติดตามเพจ ธรรมSTORY ไว้ด้วยนะครับ
มีอะไรพูดคุยกันในเพจได้เลยนะครับ >\\<
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน​สาธุชน​
ขอธรรมทั้งหลายจงมีแก่ท่านผู้อ่านขอรับ สาธุ​ครับ
(เอกสารอ้างอิง)
- หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
- หนังสือ.พุทธประวัติ​ตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์) ท่านเขียนไว้ดีมากครับ ท่านใดอยากมีเก็บไว้ แนะนำไปหาซื้อได้เลยครับ
- เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
โฆษณา