16 ส.ค. 2019 เวลา 00:33 • ประวัติศาสตร์
พุทธประวัติ​ ตอนที่ 2
ตอน พระสุบินนิมิตของพระมายาเทวี
เนื้อเรื่องในบทนี้จะเป็นการกล่าว
เล่าความพรรณนาถึงพระสุบินนิมิต
ของพระนางสิริมหามายาเทวี
ว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นมาบ้าง
ตอนที่พระนางได้เสด็จบรรทมอยู่
และจะมีการอุปมาอย่างไรในขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะเสด็จลงมา อุบัติในท้องพระครรภ์นั้น เหตุการณ์​ดังกล่าวจะเป็นเช่นไร.. กระผมจะขออนุญาตหยิบยกนำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่านดังนี้ขอรับ...
ก็ในกาลก่อนนั้น กล่าวคือยุคสมัย
เมื่อ 2,600 กว่าปี ที่ได้ลุล่วงเลยผ่านมาแล้วนั้น มีพระนครใหญ่อยู่เมืองหนึ่ง เป็นเมืองที่มีความสงบสุข​ร่มเย็นและรุ่งเรือง ซึ่งพระนครนั้นได้มีชื่อนามเรียกว่า "กรุงกบิลพัสดุ์"
ในครั้งนั้นเอง...
ที่พระนครกรุงกบิลพัสดุ์ อีกเพียง
7 วัน ก็จะถึงงานเทศกาลมงคลครั้งใหญ่ ที่ชนชาวเมืองทั้งหลายต่างพร้อมใจช่วยกันจัดตั้ง​ขึ้นมา
คือ "วันอาสาฬหปุรณมี"
ตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 นั่นเอง ประชาชน​ชาวเมือง ทั่วทั้งกรุงกบิลพัสดุ์ ต่างก็ได้จัดแจงชวนกันเล่นนักขัตฤกษ์ เฉลิมฉลอง​กันอย่างมีความสุข
(ขัตฤกษ์ คือ การจัดงานเทศกาลประจำปีอย่างยิ่งใหญ่ เป็นงานฉลอง ซึ่งใช้ดาวฤกษ์เป็นเครื่องนัดหมายนั้นเอง)
ก็ในงานนั้นเอง ได้มีเสียงกลองและดนตรีต่างๆ ประโคมบรรเลงประกอบตลอดทั่วทั้งงานเทศกาล แม้ภายในตัวเมืองกบิลพัสดุ์ ก็ได้ถูกประดับประดาไปด้วยดวงประทีป และโคมไฟหลากสีตระการตา อีกทั้งยังประดับไปด้วยดอกไม้หอมหลากหลายสีนาๆ พรรณ
ที่วิจิตรงดงาม เปรียบดั่งเช่นเทวสถานของแดนสวรรค์
ครั้งนั้น​เอง...
พระนางสิริมหามายาราชเทวี
พระอัครมเหสี
แห่ง พระเจ้าสุโธทนะ
พระนางเจ้านั้นก็ได้ทรงเครื่องประดับล้วนวิจิตรไปด้วยมณีที่งดงาม และตกแต่งลูปไล้ด้วยของหอมอย่างดี จากนั้นก็ทรงเสด็จเสวยสุขาภิรมย์ชมการเล่นนักขัตฤกษ์ของประชาชนชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ด้วยความสุขเกษมสำราญ
และเมื่อกาลเวลาผ่านเลยมาจนถึงวันอาสาฬหปุรณมี นั้นแล้ว
พระมหาเทวีเจ้าก็ได้ทรงบริจาคทาน ตามปกติเช่นเคย แล้วทรงเสวยโภชนาหารอันวิจิตรอันประณีตตามธรรมดาของกษัตรย์​ทั้งหลาย
เมื่อพระองค์ทรงเสร็จกิจต่างๆ
แล้ว พระเทวีเจ้าก็ทรงเข้าสมาทานอุโบสถศีล ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำ จากนั้นพระนางก็ได้เสด็จเข้าสู่ห้องบรรทม ทรงนิทรารมย์ในยามต้นแห่งราตรีนั้น
และเมื่อกาลเวลาผ่านเลยจนใกล้รุ่งสว่างแล้วพระองค์​ก็ได้ทรงพระสุบินนิมิตว่า :
*** ท่านท้าวผู้เป็นใหญ่ในจาตุมหาราชทั้ง 4 กล่าวคือ
ท้าววธตรฐ ราชาผู้ปกครองคนธรรพ์
ท้าววิรุฬหก ราชาผู้ปกครองอสูร
ท้าววิรูปักษ์ ราชาผู้ปกครองนาคา
ท้าวกุเวร ราชาผู้ปกครองยักษ์
ท้าวทั้ง 4 นั้นได้เหาะลอย เข้ามายก
อันเชิญพระองค์ไปพร้อมทั้งพระแท่นที่บรรทมนั้น แล้วนำพาพระนางไปยังป่าหิมพานต์
ครั้นเมื่อถึงที่แล้ว
ก็ได้วางประดิษฐานพระแท่นที่บรรทมลงบนแผ่นหินขนาดใหญ่
มีชื่อว่า "มโนศิลา" ภายใต้ต้นรัง
ขณะนั้นได้มีนางเทพธิดามาเชิญพระองค์ให้เสด็จไปสรงน้ำในสระแก้วอโนดาตงดงามไปด้วยเหล่าดอกปทุมชาติ พระนางเจ้า​ก็ได้ทรงชำระล้างมลทินพระวรกายจนเสร็จแล้ว
จึงได้ทรงเปลี่ยนอาภรณ์เครื่องทรงที่เป็นของทิพย์ทั้งหมด แล้วลูปไล้ด้วยของหอมและประดับด้วยบุปผาชาติอันเป็นทิพย์ ที่เหล่าเทพธิดาได้นำมาถวาย เช่นเดียวกัน​
จากนั้นเทพธิดาทั้งหลายจึงได้อัญเชิญพระมหาเทวีเจ้าให้เสด็จเข้าสู่​ที่บรรทม ในวิมานทองอันประดิษฐานอยู่บนยอดภูเขาเงิน
และในที่ใกล้ๆ กันนั้น ก็มีภูเขาทองอีกลูกหนึ่ง ซึ่งมีพญาช้างเผือกเชือกหนึ่งที่ดูองอาจงดงามสง่าจับจิตรยิ่งนัก
จากนั้นพญาช้างเผือกเชือกนั้น
ก็กำลังดำเนินลงมาจากภูเขาทองและมาสู่ห้องบรรทมของพระมหาเทวีเจ้า
ลำดับนั้นพญาช้างจึงได้ชูงวงขึ้น ซึ่งถือดอกบัวขาวมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศทั้งวิมาน และได้กระทำประทักษิณพระมหาเทวีเจ้าครบ 3 รอบ แล้วจึง​บังเกิด​เป็นปรากฏภาพเสมือน ประหนึ่งว่า ได้เคลื่อนกายทิพย์เข้าสู่พระอุทร (ท้อง) ทางด้านเบื้องขวาของพระนางเจ้านั้น***
ช่วงในขณะที่พระนางสิริมหามายาเจ้าทรงสุบินนิมิตนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่พระบรมโพธิสัตว์ ได้เสด็จจุติลงถือปฏิสนธิ​ในพระ​ครรภ์​ของพระนางนั่นเอง
ครั้นเมื่อเวลารุ่งเช้า...
แสงสุริยา​ได้เริ่มแผ่รัศมี​แสงสีทองอร่ามไปทั่วท้องนภา พระนางมหาเทวีเจ้าจึงได้รีบ เข้ากราบทูลเล่าเรื่องสุบินนิมิตนั้น ให้พระสวามีได้ทรงทราบในทันที
พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อได้สดับรับฟังแล้ว จึงทรงรีบรับสั่งให้เชิญพราหมณ์ปาโมกข์โหราจารย์ทั้งหลายเข้าเฝ้า และพระองค์เองก็ได้ทรงเล่าเรื่องสุบินนิมิตของพระมายาเทวีให้พราหมณาโหราจารย์ทั้งหลายได้ทราบ และทรงรับสั่งให้โหรต่างๆได้ทำนายทายทักพระสุบินนิมิตดังกล่าวนั้น
หลังจากที่ทราบเนื้อความของ​พระ​สุบิน​นิมิตแล้ว โหรทั้งหลายก็ได้ปรึกษาพูดคุยกันจนเสร็จแล้วจึงได้กราบทูลพยากรณ์
พระสุบินนิมิตนั้นว่า :
*** ข้าแต่พระราชาเจ้า พระสุบินนิมิตของพระสิริมหามายาเทวีเจ้านั้น
เป็นสิริมหามงคลนิมิตอันประเสริฐยิ่ง พระองค์​เจ้าจักได้พระราชโอรส ที่ประเสริฐเป็นเลิศ กว่าบุรุษทั้งปวง
พระโอรสนั้นเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่นัก มีอานุภาพมาก จักได้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์​ทั้งหลาย
จะหาผู้มาเปรียบเสมอเหมือนมิได้
ถ้าพระราชโอรส สถิตอยู่ในเพศ
ฆารวาสวิสัย จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
แต่ถ้าหากได้ออกบรรพชาแล้วนั้น จักได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกในโลก พระเจ้าข้า"
พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อได้สดับคำทำนายจากโหราจารย์ทั้งหลายแล้วก็ทรงโสมนัส(ดีใจ) เป็นอย่างยิ่ง
และพระองค์ก็ได้ทรงดำรัสสั่งนางสนมทั้งหลายคอยให้ดูแล ปรนนิบัติ​รักษาพระเทวีเจ้าตลอดเวลาอย่างเป็นนิตย์ อย่าได้​ขาดตกบกพร่อง​ และอย่ามิให้มีอันตรายใดๆ เข้ามาได้แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวธุลีมากระทบพระครรภ์ของพระราชเทวีได้
อันธรรมดาแล้วพระพุทธมารดานั้น เมื่อตอนที่พระบรมโพธิสัตว์​ยังไม่เสด็จจุติลงสู่พระครรภ์ พระนางก็จะสมาทานศีล 5 อยู่เป็นนิตย์​ ในสำนักของท่าน "กาฬเทวิลดาบส"
ครั้นแต่ เมื่อพระ​โพธิสัตว์​เจ้าได้ทรงจุติแล้ว การที่จะไปประทับนั่งสมาทานศีลแทบบาทมูลของบุคคลอื่นนั่น เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง พระนางจึงทรงตั้ง
จิตอธิษฐาน สมาทานศีลด้วยตัวของพระองค์เอง
อีกทั้งพระนางเทวีเจ้านั้น มิได้มีพระทัยยินดีในกามราคะกำหนัดในบุรุษเพศทั้งหลายเลย ซึ่งธรรมเหล่านี้เป็นธรรมดาแห่งพุทธมารดาเจ้า ของพระ​โพธิสัตว์​เจ้าทุกๆ พระองค์​
และนับตั้งแต่ พระ​บรมโพธิสัตว์เจ้าได้เสด็จจุติลงสู่ท้องพระครรภ์พระมารดา บรรดากษัตริย์​ในเมืองต่างๆ ก็ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการ มาถวายแก่พระเจ้า สุทโธทนะ และพระมหาสิริมายาเจ้า แห่งกรุงกบิลพัสดุ์เป็นอันมาก
พระวรกายของพระมารดาเจ้านั้น ในขณะที่ พระโพธิสัตว์​ประทับอยู่ในพระครรภ์นั้น พระนางก็มิได้รู้สึกว่าอึดอัดหรือคับข้องพระวรกายเลย อีกทั้งพระนางยังมีพระวรกายที่เบาสบายเสมือนมิได้ทรงพระครรภ์อยู่เลย
และด้วยพระบารมีของพระมหา
โพธิสัตว์เจ้า เมื่อพระนางมายานั้นใคร่ปรารถนาที่จะทอดพระเนตรราชโอรสในพระครรภ์นั้น พระนางก็สามารถมองเห็นได้ทันที ดุจดังเหมือน มองเส้นด้ายที่ร้อยขดอยู่ในลูกแก้วมณีฉันนั้น...
(*พระ​มหา​โพธ​ิสัตว์เจ้า ในการเกิดชาติสุดท้ายนั้น พระองค์​จะทรงนั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ ของพระมารดาเจ้า เป็นปกติอย่างนี้ ทุกๆพระองค์)​
เอวัง​ก็มี​ด้วย​ประการ​ฉะนี้​
คุยกันท้ายเรื่องกับแอดต้นธรรม​ :
ก็จบไปอีกตอนครับ ผมได้วาดแผนภาพลำดับพระสุบินนิมิตประกอบบทความไว้ด้วย เพื่อจะให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย จดจำลำดับเหตุการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น คือบางที่อ่านๆไปนานๆเข้า ก็อาจจะลืมได้ แต่ถ้ามีภาพประกอบ เราจะพอจำได้ทันทีว่าเหตุการณ์ต่างๆ มีอะไรบ้าง(จริงๆ ก็วาดเอาไว้เตือนความจำของกระผมเองนั่นละครับ
ฮ่าๆๆ)
#ถ้าผู้อ่านท่านใดมีข้อสงสัย มาพูดคุยกันใต้บทความได้เช่นเคยจ้า >\\<
สุดท้ายนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย จงเจริญในธรรม ขอบคุณ​ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน มาให้กำลังใจกันครับ
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน​ สาธุครับ
*** เอกสารอ้างอ้างอิง ***
หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
หนังสือ.พุทธประวัติ​ตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์)
เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
โฆษณา