15 ส.ค. 2019 เวลา 13:09
คุณรู้จัก "เซินเจิ้น" น้อยไป
Shenzhen หรือที่คนไทยเราเคยรู้กันในนามของดินแดนแห่งของก๊อบเกรด A สุดห่วย แต่วันนี้ผมจะพามาทำความรู้จักกับหนึ่งในสุดยอดแบรนด์มือถือและเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ที่มีจุดกำเนิดจากเมืองนี้กัน
Cr Pic: The guardian
Huawei แบรนด์มือถือยักษ์ใหญ่ของจีนที่ใครๆ ก็ต่างรู้จักในปัจจุบัน แต่หากมองย้อนกลับไปเพียง 5-10 ปีที่แล้วผมเชื่อว่าหากถามถึงแบรนด์มือถือที่ชื่อว่า Huawei คงจะมีน้อยคนมากที่รู้จัก และเมื่อรู้ว่าเป็นค่ายสัญชาติจีน ก็คงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
.
.
“มือถือจีนหรอ หยี๋ ไม่เอาหรอก ห่วย ของก๊อบ”
.
.
ทำไม Huawei ถึงสามารถก้าวข้ามผ่านคู่แข่งและคำสบประมาทมากมาย ในสมรภูมิการค้าที่ถือว่ามีการแข่งขันสูงที่สุดแห่งหนึ่ง ขึ้นมาเป็นแบรนด์มือถือและเทคโนโลยีชั้นนำของโลกได้?
วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันครับ
คนงานสร้างตึกในจีน Cr: weforum.com
ก่อนจะเล่าถึง Huawei ว่าสามารถก้าวขึ้นเป็นแบรนด์มือถือและเทคโนโลยีระดับโลกได้อย่างไรนั้น ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงรัฐบาลของประเทศจีนเอง
หลายๆคนคงเคยได้ยินกันมาอยู่แล้วว่า ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมานี้ ประเทศจีนมีการเติบโตที่รวดเร็วและก้าวกระโดดมากๆ โดยที่หากคำนวณ GDP ทบย้อนกลับไป ในช่วง 10 ปีล่าสุด มีการเติบโตเฉลี่ยถึง 8-9% ต่อปีเลยทีเดียว
(อินเดีย 7% , ไทย 4%, อเมริกา 3.5% , สหภาพยุโรป 3% , โลก 3% )
*เป็นค่าเฉลี่ยโดยประมาณ
ซึ่งการที่ประเทศจีนสามารถเติบโตได้มากมายขนาดนี้
มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วยแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากแผนการที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ประกอบกับการสร้างประเทศอย่างเป็นขั้นตอนและรัดกุมของรัฐบาลจีนนั่นเอง
.
โดยมีลำดับแผนการสร้างที่เริ่มจาก
1.การลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างมหาศาล
(ในช่วงเวลานั้นประเทศจีนบริโภคแร่ธาตุสูงมาก โดยเฉพาะเหล็ก จนถึงขั้นที่ Demand ของประเทศจีนส่งผลกระทบต่อราคาแร่ธาตุต่างๆของโลกเลยทีเดียว)
2.ตามด้วยการสนับสนุนนายทุนและแรงงานเพื่อสร้างฐานการผลิต (เกิดโรงงานผลิตขนาดใหญ่ขึ้นเยอะมากในจีน)
3.จากนั้นจึงตามมาด้วยการสร้างอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงและโครงข่าย Network
(เริ่มเกิดแบรนด์เทคโนโลยี และแอพพลิเคชั่นต่างๆของจีน)
4.จนกระทั่งในปัจจุบัน คือการมุ่งพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และรวมทั้งเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง IoT (Internet of thing) นั่นเอง
(*IoT คือระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถส่งสัญญาสื่อสารกันได้ ทำให้เรารู้สถานะต่างๆและออกคำสั่งต่ออุปกรณ์นั้นๆ ได้แบบ real-time)
เหลิ้น เจิ้ง เฟย (Ren ZhengFei) Cr : Huawei.com
และในจังหวะนั้นเอง ปี พ.ศ.2530 เหริญ เจิ้ง เฟย (Ren Zheng Fei) ผู้ก่อตั้ง Huawei มองเห็นโอกาส จึงได้ผันตัวจากการเป็นทหารและกระโดดเข้ามาทำธุรกิจตามการสนับสนุนของภาครัฐ
โดยในแรกเริ่มนั้น Huawei ไม่ได้เป็นบริษัทที่ผลิต Smartphone อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
แต่พวกเขาเริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ในธุรกิจ โครงค่าย Network มาก่อน และแน่นอนพวกเขาเริ่มต้นที่ "เซินเจิ้น"
โดยกลยุทธหลักๆ คือการบุกไปยังตลาดเล็กๆ อย่างเช่นโรงแรมเล็กๆ หรือกลุ่มพื้นที่ชนบทต่างๆ ที่บริการด้าน Network ยังเข้าไม่ถึง
และพิชิตใจลูกค้าด้วยบริการก่อนการขายที่ดีเยี่ยมและบริการหลังการขายที่ประทับใจเป็นเลิศ
เพราะความใส่ใจในลูกค้านี้เอง จึงทำให้ Huawei เติบโตได้รวดเร็วมาก
มีเคสตัวอย่างที่ว่า Huawei สามารถพัฒนาสายส่งสัญญาณที่ทนทานกว่าเจ้าอื่นได้ เพราะได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าว่าสายส่งสัญญาณของพื้นที่ดังกล่าวชอบพังบ่อยๆเพราะโดนหนูกัด และมันทำให้สัญญาณในพื้นที่ไม่ดีเลย
ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ Huawei ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับลูกค้าของพวกเขาเลย จนถึงขั้นที่ทีมวิจัยต้องกลับไปขบคิด และหาวิธีแก้ไขปัญหาจากเจ้าหนูพวกนี้ ที่เป็นศัตรูตลอดการของสายส่งสัญญาณให้จนได้
และในที่สุดพวกเค้าก็พัฒนาสายส่งสัญญาณคุณภาพสูง ที่แข็งแรงและต้นทุนต่ำพอที่จะใช้ดำเนินงานได้สำเร็จ
และที่สำคัญ มันสามารถทนทานสภาพแวดล้อมต่างๆมากกว่าเพียงแค่การกันหนูกัดได้อีกด้วย
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งจุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้ Huawei ขยายกิจการไปต่างประเทศได้รวดเร็วขึ้น เพราะมีอุปกรณ์ที่แข็งแรง ทนทานทุกสภาพอากาศกว่าชาวบ้านเค้านั่นเอง
Cr: www.pestcontrolsydney.com
และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญมากที่ Huawei ทำมาตั้งแต่ในช่วงแรกของการก่อตั้งบริษัท จนมาถึงปัจจุบันที่กลายเป็นยักษ์ใหญ่ได้แล้ว นั่นก็คือ การลงทุนกับงานวิจัยที่สูงมาก โดย Huawei มีการลงทุนงบ R&D มากกว่า 10% ของรายได้ทั้งหมดต่อปีในทุกๆปี
และหากคำนวณจากขนาดรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน เราสามารถตีคร่าวๆงบงานวิจัยของ Huawei ได้ที่ราวๆ 80,000 ล้านหยวนต่อปี หรือ 350,000 ล้านบาท เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเยอะมากๆหากเทียบกับบริษัทอื่นๆ
และมันส่งผลให้ Huawei สามารถผลิตเทคโนโลยีต่างๆออกมาได้อย่างรวดเร็ว และรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างคล่องตัวอีกด้วย เพราะมีคลังความรู้งานวิจัยของตัวเองที่มหาศาลมาก อีกทั้ง Hauwei ยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตร AI ที่มากที่สุดในโลกอีกด้วย (มากกว่า 9000 สิทธิบัตร)
(*คำนวณจากค่าเงินบาทต่อหยวนที่ 4.36 : 1)
ซึ่งหลังจากที่ Huawei เริ่มเชี่ยวชาญในตลาด Network ของตนแล้ว อีกทั้งยังมีการขยายกลุ่มลูกค้าไปต่างประเทศได้อย่างมั่นคงมากขึ้น จึงมีการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิต และในเวลาต่อมา Huawei จึงได้เริ่มกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดมือถือและเทคโนโลยีอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
Huawei P30 ที่ Zoom ได้ 50 เท่า Cr: Huawei.com
หากเราลองสังเกตุดีๆ การเติบโตของ Huawei นั้นจะสอดคล้องและล้อไปกับแผนการพัฒนาประเทศของจีนพอดีเลย
เปรียบเทียบพัฒนาการระหว่าง จีนและHuawei
ด้วยฐานลูกค้าภายในประเทศที่มั่นคง งบประมาณการวิจัยที่สูงลิบ และที่สำคัญที่สุดคือการสนับสนุนจากทางภาครัฐอย่างเต็มที่ จึงทำให้ Huawei สามารถก้าวกระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นตัวสำคัญด้านเทคโนโลยีของโลกได้ จนถึงขั้นทำให้สหรัฐอเมริกาต้องจับตามองและระมัดระวังกับทุกย่างก้าวของ Huawei เลยทีเดียว
และแน่นอนรายได้ของ Huawei เองก็มากมายมหาศาลเช่นกัน โดยปีล่าสุด 2018 เพียงรายได้อย่างเดียวของ Huawei ก็มีมูลค่ามากว่าบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ซะอีก
*บริษัทที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของ SET ในปัจจุบันคือ ปตท. (PTT) AssetValue. 2.5 ล้านล้านบาท
รายได้ของ Huawei
และในปัจจุบัน Huawei เพิ่งได้เปิดตัว OS ใหม่ของตนเองไปในงาน Huawei Developer Conference 2019 โดยให้ชื่อว่า HarmonyOS ซึ่งมีความสามารถในการรองรับการทำงานของ อุปกรณ์ต่างๆได้อย่างหลากหลาย โดยมันถูกออกแบบมาให้รองรับการทำงานของระบบ IoT ที่รวดเร็วและราบลื่นขึ้น พร้อมทั้งยังมีการเปิดตัวชิบประมวลผล Kirin แบบใหม่ที่ใช้พลังงานน้อยลงและประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกด้วย
(* Huawei เคลมว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก พวกเค้าสามารถย้ายฐานปฏิบัติการทั้งหมดจาก AndroidOS มาลง HarmonyOS ด้วยเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น)
และหากเรารวมเทคโนโลยีต่างๆของ Huawei เข้าด้วยกัน
5G / Kirin / HarmonyOS เพื่อสร้างเป็นระบบ Ecosystem ของ Huawei เอง ก็ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศจีนพัฒนาไปได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกก็ได้
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสำหรับการสร้างประเทศนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องของเทคโนโลยีอย่างแน่นอนและ Huawei ก็คือหนึ่งในขุนพลข้างกายคนสำคัญของรัฐบาลจีน กับเป้าหมายการสร้างประเทศชาติจีนให้กลับมาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งให้ได้
ดั่งชื่อประเทศที่ว่า Zhong Guo (จง กวั๋ว) แปลว่าจุดศูนย์กลางนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่ผมนำมาเสนอเกี่ยวกับเทคโนโลยีของ Huawei และพัฒนาการของประเทศจีนเท่านั้น แต่เราก็พอจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนั้นโลกของเรา สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วมากแค่ไหน
และวันนึงเมื่อเรารู้สึกตัวอีกที "เซินเจิ้น" แดนของก๊อบที่คุ้นหูคนไทย อาจจะไม่ใช่ "เซินเจิ้น" ที่เรารู้จักอีกแล้วก็ได้
Resource
3.แนวทางการพัฒนาจีนจากหนังสือ CHINA 5.0
บทความนี้เรียงเรียนขึ้นโดยสมาชิก GMH charity fund นามปากกว่า Longtime หากผู้อ่านสนใจงานเขียนของน้อง สามารถติดตามได้ที่ blockdit " ถ้าไม่ติดเรื่องเงิน"
### ทุกๆบทความที่ได้ดาว GMH จะนำรายได้ทั้งหมดมอบให้เด็กพิการและผู้ป่วยยากไร้
ขอบคุณที่ติดตาม GMH Blockdit

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา