6 ก.ย. 2019 เวลา 15:58 • ธุรกิจ
บทที่ 3 จะขายที่ไหน ขายให้ใคร หาลูกค้ายังไง???
ข้อที่สำคัญของการเริ่มธุรกิจอันดับต่อมา คือเราจะไปขายให้ใคร ขายที่ไหน ขายยังไง บทนี้เรามาลองช่วยกันหาวิธีนั้นกันครับ
1. กำหนดประเภทธุรกิจที่เราจะเริ่ม
ประเภทธุรกิจจะแบ่งหลักๆ อยู่ 2 แบบคือ
1.1 B2B: Business to Business
เป็นประเภทธุรกิจที่เราจะผลิตสินค้า หรือซัพพอตวัตถุดิบ หรือบริการให้กับอีกธุรกิจหนึ่ง เช่นผลิตแก้วให้ร้านกาแฟ ขายเมล็ดกาแฟ เป็นต้น
ข้อดี: ลูกค้ามีโอกาสที่จะซื้อซ้ำสูง ไม่จำเป็นต้องใช้งบโฆษณามากนักในช่วงแรก
ข้อเสีย: ถ้าข้อมูลไม่แน่นหรือแก้ปัญหาให้กับธุรกิจคู่ค้าไม่ได้จริงๆ จะจบการขายยาก หรือถ้าคู่ค้าไม่พอใจ เปลี่ยนเจ้า จะเกิดผลกระทบขนาดใหญ่มันที
1.2 B2C: Business to Consumers
เป็นประเภทธุรกิจที่เราเสนอสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าโดยตรง เช่นร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า
ข้อดี: ถ้าเราเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ยอดขายเราจะโตตามไปด้วย ถ้าติดตลาดคือจะทำให้โตไวมาก
ข้อเสีย: การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าต้องใช้เวลาและเงินทุนค่อนข้างสูง ลูกค้ามีโอกาสเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าหรือบริการจากเจ้าอื่นได้ง่าย
2. กำหนดวิธีการขาย
เมื่อกำหนดประเภทธุรกิจได้แล้ว ก็มากำหนดวิธีว่าเราจะขายแบบไหน ถนัดขายแบบไหน โดยหลักๆ ปัจจุบันจะมี 2 วิธีคือ Online กับ Offline ซึ่งในช่วงแรกเราต้องกำหนดให้ได้ก่อนว่าจะเลือกไปทางไหน เพราะวิธีการเข้าถึงลูกค้าของทั้ง 2 แบบไม่เหมือนกัน ผมเปรียบเทียบกันไว้ลองอ่านด้านล่างนี้ดูนะครับ
2.1 แบบ Online
เหมาะกับคนที่ส่ยแชต ชอบออนไลน์ มีเวลาน้อยแต่ตอบแชตไว ช่องทางที่เราจะเข้าถึงลูกค้า ผ่านช่องทาง Online ต่างๆ เช่น Facebook, IG, Twitter, Lazada, Shopee เป็นต้น
ข้อดี: เข้าถึงลูกค้าได้วงกว้าง, เข้าถึงลูกค้าเร็ว, กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้จากความสนใจ
ข้อเสีย: ใช้งบโฆษณาสูง, ต้องระมัดระวังในการวางกลยุทธ์การตลาด, คู่แข่งเยอะ
2.2 แบบ Offline
เหมาะกับคนที่ใจกล้าเผชิญหน้ากับลูกค้าซักหน่อย คุยเก่ง อัธยาศัยดี จะใช้การ Walk-in เข้าหาลูกค้า หรือมีหน้าร้าน
ข้อดี: มีความน่าเชื่อถือ, ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าจะดีกว่าแบบออนไลน์, ใช้งบในการโฆษณาต่ำ
ข้อเสีย: เข้าถึงลูกค้าได้จำกัด, ต้องใช้ทักษะในการขายพอสมควรจึงจะปิดการขายได้, หากมีหน้าร้านที่จะต้องต้องเช่าจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
3. หาลูกค้าให้เจอ
เมื่อเรามองเห็นแล้วว่าเราอยากจะทำธุรกิจอะไร สิ่งที่สำคัญอันดับต่อมาคือ หาว่ามีลูกค้าจริงๆ หรือไม่ ห้ามหลอกตัวเองเด็ดขาด ให้ใช้ตัวเลขเป็นตัวชี้วัดเท่านั้น โดยหากเป็นธุรกิจที่สามารถทำทั้ง Online และ Offline ได้ ให้ทดลองทำตลาดทั้ง 2 วิธี ผมมีตัวอย่างให้ดูด้านล่างนี้
3.1 ทดลอง Online
- สร้าง Fanpage บน Facebook และ Ig โดยใส่ Content เป็นสินค้าที่เราจะขาย (ยังไม่จำเป็นต้องมีสินค้า)
- ยิง Ads โฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราคิดว่าเป็นลูกค้าเรา (กำหนดประมาณ 2-3 กลุ่ม) โดยสามารถหาวิธียิงโฆษณาได้ที่ Youtube ให้ไปเรียนให้เข้าใจก่อน จะได้ไม่เสียเงินเปล่า
- รอดูว่ามีการสั่งซื้อ หรือ Comment จากลูกค้า มากน้อยแค่ไหน หากลูกค้าสั่งของเข้ามา โดยที่เรายังไม่มีขสอนค้า ให้ตอบลูกค้าว่าของในสต๊อกหมด ต้องรอล๊อตใหม่ หากของเข้ามาถึงจะรีบติดต่อลูกค้ากลับไป หรือถ้าเรามีแหล่งรับสินค้าอยู่แล้ว ให้รับออเดอร์และสั่งสินค้าเท่าจำนวนที่ลูกค้าสั่งก่อน
3.2 ทดลองแบบ Offline
- หาข้อมูลสินค้า และตัวอย่างสินค้า
- ศึกษาราคาและต้นทุนให้ดี
- ถ้าเป็นแบบ B2B ให้เดินเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านที่เราเล็งไว้เลยครับ เล่าให้เค้าฟังว่าเราจะทำสินค้าแบบนี้มาลองเสนอ สนใจมั้ย หลักการคุยให้ชวนคุยโดยหาว่าเค้ามีปัญหาหรือสินค้าเราเข้าไปช่วยเค้าแก้ปัญหาหรือทำให้เค้าดีขึ้นได้บ้างมั้ย ถ้าสินค้ามันช่วยเค้าแก้ปัญหาได้ส่วนใหญ่จะสั่งของจากเราแบบไม่รังเรเลย
- ถ้าเป็น B2C ดูว่าสินค้าเราเหมาะกับย่านไหน แล้วลองหาที่เช่าแบบรายวันตั้งแผงชั่วคราวแล้วลองขายดูครับ แล้วมาประเมินว่ายอดขายเป็นยังไง ลูกค้าสนใจแค่ไหนอีกทีนึง
ข้อควรระวังคือต้องพยายามจำกัดงบและใช้เงินให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นต้องหากลุ่มลูกค้าให้เจอให้ได้ พยายามทดลองและมองที่ความเป็นจริง อย่าหลอกตัวเองครับ ขายได้คือขายได้ ขายไม่ได้คือขายไม่ได้ แล้วพยายามฟังข้อติลูกค้าให้มากๆ ผมเคยให้ลูกติ 1 ข้อแลกกับสแตมป์สะสม 1 ดวงมาแล้วครับ จะช่วยให้เรารู้ว่าเรามาถูกทางหรือไม่เร็วขึ้น
สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนที่กำลังหาไอเดียร์เริ่มธุรกิจอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน คอมเมนท์ที่ด้านล่างได้เลย ขอบคุณที่ติดตามอ่าน แล้วพบกันบทต่อไปครับ
โฆษณา