1 ก.ย. 2019 เวลา 04:58 • ประวัติศาสตร์
EP5 ที่มาและทางไปของโจโฉ(ล้มเหลวจากช่วยชาติ ยืนหยัดได้โดยถุนเถียน)
(เนื้อหายาวไปมีลิ้งคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ) https://youtu.be/32fGmkmArKk
หลังจาก พระเจ้าเลนเต้ สวรรคต บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วน ตั๋งโต๊ะเข้าเมืองยึดกุมอำนาจ แต่ด้วยตั๋งโต๊ะนั้น เป็นกองทัพจากหัวเมือง ก็ไม่ง่ายที่จะสร้างอำนาจบริหารและบัญชาแผ่นดินได้ ตั๋งโต๊ะจึงคิดชักชวนเหล่าขุนนางเก่าๆ และบรรดาขุนศึกทั้งหลายให้เข้าร่วม ซึ่งโจโฉก็รวมอยู่ในนั้นด้วย โดยโจโฉได้รับตำแหน่งเป็นผู้บรรชาการทหารม้า
แต่ทว่าโจโฉในเวลานี้ มีวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่แหลมคมและกว้างไกล มองเห็นว่า หากต้องทำงานให้กับตั๋งโต๊ะ มีแต่จะทำร้ายบ้านเมืองและทำลายตัวเองมากกว่า
ดังนั้นโจโฉจึงหนีออกจากเมืองหลวง กลับบ้านเดิม ตั้งกองทัพปราบตั๋งโต๊ะ ซึ่งโจโฉได้รับการสนับสนุน จาก “เว่ยจือ” ซึ่งเป็นเศรษฐีในพื้นที่ ก่อตั้งกองทัพ เสริมสร้างที่มั่น จนประกาศตัวเองเป็นกองทัพต่อต้านตั๋งโต๊ะ
โดยสิ่งแรกที่โจโฉทำนั้น ก็คือ การประกาศ “ชูธงทัพธรรม” เพื่อให้เหล่าขุนศึกทั้งหลายตอบรับและร่วมเป็นพันธมิตรต่อต้านตั๋งโต๊ะ ซึ่งก็มีขุนศึกและเจ้าเมืองต่างๆ มากมายเข้าร่วม โดยเรียกกลุ่มนี้ว่า “กองทัพธรรม กว้านตง” โดยชูให้ อ้วนเสี้ยว เป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งเหตุผลของการให้ อ้วนเสี้ยวเป็นหัวหน้าในกลุ่มพันธมิตรครั้งนี้คือ
ประการแรก อ้วนเสี้ยวมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ด้วยวงศ์ตระกูลของอ้วนเสี้ยวนั้น ได้ชื่อว่าเป็น “สี่รุ่นสามเสนาบดี” ก็คือ ในยุคของราชวังศ์ฮั่นนั้น ตำแหน่งเสนาบดีมีอยู่สามตำแหน่ง คนในตระกูลอ้วน นับตั้งแต่ ปู่ทวด ทวด ปู่และบิดา คือ สี่ชั่วอายุคนเป็นเสนาบดีอย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่ายศศักดิ์ฐานะนั้น เป็นรองเพียงแค่ฮ่องเต้เท่านั้น จัดได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุด
ประการที่สอง อ้วนเสี้ยวมีบุคลิกดี สง่างาม พูดจามีหลักการ และมีการปฎิสัมพันธ์กับบรรดาขุนพลและเจ้าเมืองต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ที่อ้วนเสี้ยวกับตั๋งโต๊ะขัดแย้งกันเรื่องถอดถอนฮ่องเต้ในที่ประชุมนั้น ทำให้อ้วนเสี้ยวนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก
ซึ่งเรื่องนี้มีบันทึกไว้ใน เชิงอรรถสามก๊ก ของเผยซงจือ แต่ไม่มีใน บันทึกจดหมายเหตุ ของเฉินโซว่ ดังนั้น อ.อี้จงเทียน เห็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่อ้วนเสี้ยน ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ต่อต้านตั๋งโต๊ะ อันนี้เป็นความจริงแท้แน่นอน
แต่อ้วนเสี้ยวคนนี้ ไม่มีหัวทางการเมือง การที่ตั๋งโต๊ะเข้าเมืองมาได้ ก็เกิดจากการแนะนำของอ้วนเสี้ยว ต่อแม่ทัพใหญ่โฮจิ๋น เพื่อแก้ปัญหาของพวกขันที ซึ่งผลก็คือหลังโฮจิ๋นถูกกลุ่มขันทีฆ่าตาย อ้วนเสี้ยวก็พาทหารไปฆ่าพวกขันที หลังการนั้น ตั๋งโต๊ะฉวยโอกาส จึงยึดอำนาจเป็นของตนเอง แพ้ทั้งโฮจิ๋น แพ้ทั้งขันที ตั๋งโต๊ะได้ประโยชน์คนเดียว ดังนั้นอ้วนเสี้ยวคนนี้ ดูดีเพียงภายนอก และยังไม่มีภาวะการเป็นผู้นำ อีกทั้งพวกขุนศึกและเจ้าเมืองต่างๆ ก็พากันดูเชิงซึ่งกันและกัน ไม่มีใครที่คิดทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ
โดยโจโฉมองว่า ณ สถานการณ์ขณะนี้ ตั๋งโต๊ะได้เผาทำลายเมืองลั่วหยางแล้ว จับกลุมฮ่องเต้ย้ายไปฉางอัน ใต้หล้าสั่นสะเทือน ผู้คนต่างเกลียดชังตั๋งโต๊ะทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว เวลานี้จึงเหมาะสมที่สุด ที่จะโจมตี ขอแค่โจมตีขั้นเด็ดขาดเพียงแค่ครั้งเดียว ใต้หล้าก็จะสงบแน่นอน
แต่ปรากฏว่าไม่มีใครฟังโจโฉ โจโฉจึงนำทหารของตนเอง เข้าโจมตีตั๋งโต๊ะเพียงลำพัง แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่า ดังนั้นโจโฉจึงพ่ายแพ้ยับเยิน เกีอบเอาชีวิตไม่รอด พอกลับมาที่ค่ายภาพที่โจโฉเห็นนั้น คือ เหล่ากองทัพพันธมิตรต่างพากันสังสรรค์ ร่ำสุราอย่างมีความสุข โจโฉทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ โจโฉจึงพูดอย่างเจ็บแค้นว่า “บ้านเมือง ประชาราษฎร์ ถูกข่มเหง ย่ำยี ถึงเพียงนี้ พวกท่านกลับมาร่ำสุรากันอยู่ได้ ข้าอับอายแทนพวกท่านจริงๆ” มาถึงตอนนี้ โจโฉรู้ดีว่า หมดหนทางช่วยชาติแล้ว ทางเลือกของโจโฉในเวลานั้น มีเพียงไม่กี่ทาง ดังนั้น ณ สถานการณ์ที่โจโฉยืนอยู่ เข้ากลียุคเต็มตัวแล้ว
อ.อี้จงเทียน ให้ความเห็นว่า โจโฉมีทางเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ เป็นจอมเจ้าเล่ห์ หรือ เป็นจอมคน
ซึ่งในเวลา สิบปี คือ ตั้งแต่ปี คศ.190-200 โจโฉ ถือได้ว่าเป็นจอมคนแห่งกลียุคได้อย่างเต็มภาคภูมิ สิบปีนั้นสิ่งที่โจโฉทำ ก็คือ ยึดพื้นที่ เกณฑ์ไพร่พลและตั้งระบบ “ถุนเถียน” โดยทั้งสามเรื่องนี้ มีความสัมพันธ์กับกลุ่มกบฎโพกผ้าเหลืองทั้งสิ้น
ในปี คศ.192 ผู้ตรวจการเมือง เหยี่ยนโจว เล่าต้าย ไม่ฟังคำเตือนเป้าสิ้น ถูกกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองฆ่าตาย เป้าสิ้นและเฉิงกง จึงเชิญโจโฉมาเพื่อรักษาเมืองเหยี่ยนโจว เมื่อโจโฉเข้ามา สามารถปราบกลุ่มกบฎผ้าเหลือง ฃจนยอมจำนวน หลังจากนั้นโจโฉจึงได้รู้ว่า กองกำลังของโจรโพกผ้าเหลืองนั้น นอกจากเป็นทหารแล้วยังเป็นชาวไร่ชาวนาอีกมาก รวมกันแล้วมากกว่าหลายแสนคน โจโฉจึงได้เกณฑ์คนมาเป็นทหารสร้างกองทัพให้กับตนเองส่วนนึง แต่ก็ยังมีเหลืออีกหลายแสนคน ซึ่งไม่สามารถที่จะดูแล เลี้ยงดูได้ มอกาย จึงเสนอแผนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยแผนยุทธศาสตร์ของ มอกาย นั้น ถือได้ว่าเป็น ยุทธศาสตร์หลงจง ฉบับของโจโฉก็ว่าได้
โดยมอกายกล่าวว่า “บ้านเมืองขณะนี้ปั่นป่วน แตกแยก ศูนย์รวมของแผ่นดินสั่นคลอน ฮ่องเต้ถูกคนแย่งชิง ประเทศชาติล่มจม ประชาชนไม่สงบสุข เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ
อย่างแรก ต้องให้บัลลังค์ฮ่องเต้มั่นคงเสียก่อน เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและสร้างความชอบธรรม
อย่างสอง อำนาจที่แท้จริงนั้น ก็คือการขยายกำลังของตนเอง แม้ว่าในสงคราม กำลังทหารจะสำคัญมากก็จริง แต่เบื้องหลังกำลังทหารนั้น คือ อำนาจทางเศรษฐกิจ สงครามจึงจะรบได้นานและรบได้ชัย ดังคำกล่าวที่ว่า “กองทัพไม่เคลื่อน เสบียงต้องพร้อมก่อน” จึงจำเป็นต้องฟื้นฟูที่นา เพิ่มเสบียง
ดังนั้นในปี คศ.196 โจโฉ จึงฟื้นฟูระบบ กสิกรรมแบบศูนย์รวม เรียกว่า “ระบบนาแบบถุนเถียน” โดยเอาที่ดินทั้งหมดมาเป็นของรัฐ แล้วให้ทหารกับชาวนากบฏผ้าเหลืองร่วมกันทำ โดยแบ่งกันคนละครึ่ง
ด้วยนโยบายนี้ถือได้ว่า โจโฉนั้น ไม่มีต้นทุนใดๆ เลยซึ่งที่ดินก็เป็นของคนอื่น เครื่องมือเครี่องใช้ก็ยึดมาจากกบฎผ้าเหลือง ซึ่งยังแก้ปัญหาเรื่องทหารและชาวบ้านของกลุ่มกบฎผ้าเหลืองจำนวนมากที่ไม่มีอะไรกิน เรียกยิงนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยก็ว่าได้ ทำให้ “ระบบถุนเถียน” สามารถสร้างกองทัพในรูปแบบ ทหารและประชาชนรวมเป็นหนึ่ง คือ ยามสงบทำนา ยามศึกก็ต่อสู้ เป็นทั้งขุมกำลัง และเป็นทั้งยุ้งฉางได้ไปในตัว
ซึ่งโจโฉในเวลานี้ ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากหนุ่มเลือดร้อน เถรตรง กลายเป็นนักการเมืองมากความสามารถ มียุทธศาสตร์ที่กว้างไกล ซึ่งต่างกับเหล่าบรรดาเจ้าเมืองกลุ่มพันธมิตรกว้านตงอย่างสิ้นเชิง และในตอนหน้าเราจะมาคุยกัน เรื่องความผิดพลาดทั้งหลาย จอมอำมหิตทั้งสามของยุคสามก๊ก อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และตั๋งโต๊ะ กับ EP6 ผิดแล้วผิดเล่า
โฆษณา