2 ก.ย. 2019 เวลา 03:41 • ประวัติศาสตร์
EP 6 ผิดแล้วผิดเล่า (ตั๋งโต๊ะถอดถอน อ้วนเสี้ยวตั้งซ้อน อ้วนสุดแต่งตั้งตนเอง)
(เนื้อหายาวไป มีคลิปเสียงด้านล่างเล่าให้ฟังครับ)
ในตอนนี้เราจะพูดถึง สามจอมอำมหิตในสามก๊ก ก็คือ ตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยว และอ้วนสุด โดยสมัยนั้นเป็นการปกครองแบบจักรวรรดิ์ ซึ่งมีฮ่องเต้เป็นประมุขและเป็นศูนย์รวมของชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในการทำศึกในแต่ละครั้งมักจะอ้างฮ่องเต้เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในแนวทางการต่อสู้ทางการเมือง แต่ทั้งนี้ “ตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยวและอ้วนสุด” ต่างก็ไม่เข้าใจแนวทางหลักการนี้ โดยขอเริ่มที่ “ตั๋งโต๊ะ” ก่อน
ในปี คศ 189 พระเจ้าเลนเต้ สวรรคต เกิดศึกระหว่างขันทีกับแม่ทัพใหญ่โฮจิ๋นแย่งชิงอำนาจกัน ระหว่างนั้นตั๋งโต๊ะถูกเรียกตัวเพื่อเข้ามาแก้ไขสถานะการณ์ แต่ตั๋งโต๊ะกลับฉวยโอกาสยึดอำนาจตั้งตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ต่อมาตั๋งโต๊ะมองว่า “หองจูเปียน” คนพี่อ่อนแอและโง่เขลา ไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ แต่คนน้อง “หองจูเหียบ” ดูมีความเฉลียวฉลาดและมีสง่าราศี จึงเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้ มากกว่า เรียกวิธีนี้ว่า “ถอดถอนแล้วแต่ตั้งใหม่”
อ.อี้จงเทียน แสดงความคิดในตอนนี้ว่า ทัพของตั๋งโต๊ะนั้นมาจากหัวเมือง หาจุดยืนและคนสนับสนุนทางการเมืองไม่ได้ จึงจำเป็นต้องพึงพาเหล่าบรรดาขุนนางต่าง ๆ ภายในเมืองหลวง แต่ก็หามีคนสนับสนุนไม่ เพราะทุกคนต่างก็เกลียดชังตั๋งโต๊ะ
ซึ่งตั๋งโต๊ะเองก็รู้ดี จึงใช้วิธีการ บีบขุนนางต่างๆ ให้ร่วมมือ และตั๋งโต๊ะมองว่า บรรดาขุนนางทั้งหลายให้ความเคารพต่อองค์ฮ่องเต้ ตั๋งโต๊ะจึงทำการเปลี่ยนฮ่องเต้ โดยมีแนวคิดว่า “ขนานฮ่องเต้ ตนเองยังถอดได้” แล้วเหล่าขุนนางที่เหลือนั้น ก็คงไม่กล้าต่อต้านตั๋งโต๊ะแน่นอน และหากมีใครคัดค้านไม่เห็นด้วย ตั๋งโต๊ะก็สั่งประหารทั้งหมด
ผลที่ได้ กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะหลังจากนั้นตั๋งโต๊ะกลับกลายเป็นศัตรูในสายตาของคนทั้งชาติไป ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น องค์ฮ่องเต้นั้นเป็นสัญลักษณ์ เป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ แม้ตอนหลังตั๋งโต๊ะจะทำสำเร็จ แต่ด้วยหลักการนี้ ตั๋งโต๊ะไม่เข้าใจแนวทางของการเมือง จึงกลายเป็นเป้าหมายการโจมตี และเป้าหมายของการสังหารของทุกคนในชาติ จนสุดท้ายนำมาสู่ความหายนะของตั๋งโต๊ะในที่สุด
ต่อมา “อ้วนเสี้ยว” โดยอ้วนเสี้ยวก็ใช้วิธีการไม่แตกต่างไปจากตั๋งโต๊ะมากเท่าไหร่นัก คือ หลังจากล้มเหลวกับการเป็นผู้นำของพันธมิตรกว้านตง(ผู้นำทัพ 18 หัวเมือง) ด้วยว่าความทะเยอทะยานของอ้วนเสี้ยว จึงคิดจะสร้างบารมีให้กับตนเอง ด้วยการแต่ตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ “ตั้งซ้อนขึ้นมาอีกองค์” หวังว่าตนเองนั้นจะกลายแม่ทัพสร้างชาติใหม่ เพื่อกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ
โดยอ้วนเสี้ยนพยามให้ เล่ายวี้ ซึ่งเป็นขุนศึกของโยว่โจว รับตำแหน่งเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แทน แต่ทั้งนี้ เล่ายวี้ไม่เอาด้วย จึงได้ปฏิเสธอ้วนเสี้ยว และไม่ว่าอ้วนเสี้ยนจะพยามโน้มน้าวแค่ไหนก็ตาม เล่ายวี้ตอบชัดเจนว่า “ข้าไม่มีความทะเยอทะยานและตัวข้าเองก็ยังภักดีต่อราชวงค์ฮั่น หากบีบคั่นมากจะหนีไป” อ้วนเสี้ยวทำอะไรไม่ได้
แต่ถึงขนาดนี้อ้วนเสี้ยวก็ไม่ยอมเลิกลา จึงได้ไปปรึกษาและชักชวนโจโฉเให้ข้าร่วม พอโจโฉได้ฟังก็นึกหัวเราะกับความคิดของอ้วนเสี้ยว ซึ่งโจโฉแสดงเจตนาชัดเจนและต่อต้าน การตั้งฮ่องเต้ซ้อนขึ้นมาในครั้งนี้ ว่าจะทำให้ชาติบ้านเมืองยิ่งเกิดความแตกแยกมากขึ้น จึงได้ปฏิเสธอ้วนเสี้ยวไป และในใจของโจโฉนั้น มองอ้วนเสี้ยนในตอนนี้ว่า คือโจรปล้นชาติ จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง ดังนั้นอ้วนเสี้ยนจึงเข้าไปอยู่ในบัญชีดำที่ โจโฉต้องกำจัด
สุดท้าย ก็คือ “อ้วนสุด” โดยอ้วนสุดกับอ้วนเสี้ยวเป็นพี่น้องต่างมารดากัน อ้วนเสี้ยวเป็นพี่แต่มารดาเป็นเมียอนุ ส่วนอ้วนสุดเป็นน้องแต่มีมารดาเป็นแม่ใหญ่(เมียหลวง) ดังนั้นอ้วนสุดจึงไม่มีความนับถือต่ออ้วนเสี้ยวเท่าไหร่นัก และยังดูแคลนอ้วนเสี้ยวอีกด้วย
สิ่งที่อ้วนสุดทำ ก็คือ “แต่งตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้” ซึ่งในตอนนั้นอ้วนสุดคิดว่า บัดนี้ราชวงค์ฮั่นกู่ไม่กลับแล้ว ไม่ช้าไม่นานจะต้องมีตระกูลอื่นมาแทนแน่นอน และก็ต้องเป็น”ตระกูลอ้วน” นี่แหละที่มีคุณสมบัติมากที่สุด เพราะตระกูลอ้วน ทั้งสี่รุ่นที่มาเป็นเสนาบดีทั้งหมด และคนที่เหมาะสมที่สุดก็ คือ ข้าอ้วนสุด ไม่ใช่ลูกอนุอย่างอ้วนเสี้ยว
โดยเมื่อครั้งที่รวมทัพปราบตั๋งโต๊ะ แม่ทัพซุนเกี๋ยน ซึ่งในขณะนั้นเป็นแม่ทัพใต้การบังคับบัญชาของอ้วนสุด ได้บุกถึงเมืองลั่วหยาง เก็บตราแผ่นดินหยกได้ อ้วนสุดรู้ข่าวจึงจับตัวภรรยาซุนเกี๋ยนไว้ บีบให้มอบตราแผ่นดินหยกให้กับตน ซึ่งเมื่อได้ตราแผ่นดินหยกแล้วอ้วนสุดจึงคิดว่าตนเองเหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้
ในปี คศ.197 อ้วนสุดประกาศตนเองเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ท่ามกลางเสียงขัดค้าน แต่อ้วนสุดก็ไม่ฟังเสีและเมื่อซุนเซ็กผู้รับช่วงต่อจากพ่ออย่างซุนเกี้ยน ได้ยินข่าวจึงเขียนจดหมายตัดสัมพันธ์กับอ้วนสุดทันที
ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้เข้าร่วมและสนับสนุน อ้วนสุดจึงจำเป็นต้องหาแนวร่วม จึงคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับลิโป้ โดยการส่งฑูตไปสู่ขอลูกสาวลิโป้ แต่ลิโป้ไม่เห็นด้วยบอกว่า “แกมันเป็นกบฏ” จับตัวฑูตไว้ แล้วส่งไปราชสำนัก อ้วนสุดโกรธจัด ยักทัพไปตีลิโป้ แต่กลับพ่ายแพ้ยับเยิน อ้วนสุดจึงกลายเป็นหมาหัวเน่า มืดแปดด้าน หมดหนทางไป
มาถึงตอนนี้ ได้เวลาโจโฉออกโรงแล้ว โดยโจโฉเวลานี้ เชิญฮ่องเต้เป็นอยู่ที่ฮูโต๋แล้ว สามารถใช้นโยบายเชิดชูฮ่องเต้ บัญชาบรรดาขุนนางได้แล้ว มีหรือที่จะยอมให้คนอย่างอ้วนสุด ออกมาเต้นแร้งเต้นกาอยู่ได้
ดังนั้นโจโฉจึงยกทัพใหญ่ด้วยตนเอง เพื่อปราบอ้วนสุด พออ้วนสุดรู้ยินข่าวการยกทัพมาของโจโฉ ก็หนีลงใต้แต่ก็ไม่ยอมจำนน ฝืนหนีไปอีกสองปี จนถึงปี คศ.199 โจโฉจึงสั่งให้เล่าปี่นำทัพสกัดอ้วนสุดบีบอ้วนสุดไว้
ถึงตอนนี้อ้วนสุดหมดหนทางหนี สุดท้ายอ้วนสุดป่วยหนักตรอมใจตาย ที่มณฑลอันฮุย กลายเป็นฮ่องเต้จอมปลอมได้แค่ สามปีครึ่งเท่านั้นเอง
วาระสุดท้ายของอ้วนสุดนั้น น่าสลดใจยิ่งนัก ในขณะนั้นเสบียงใกล้จะหมด เหลือเพียงแค่รำข้าวสาลีเล็กน้อย สิ่งที่ทำได้ก็แค่โจ๊กรำข้าวเท่านั้นเอง อ้วนสุดในขณะนั้นป่วยจนกลืนอะไรแทบไม่ไหว จึงพูด กับพ่อครัวว่า “ข้าขอเป็นนำ้ผึ้งซักชามละกัน” พ่อครัวตอบว่า “จะไปน้ำผึ้งมาจากไหนเล่า มีแค่โจ๊กรำข้าวนี่ล่ะ จะกินก็กิน” อ้วนสุดถอนใจเฮือกสุดท้าย ตะโกนว่า “ชีวิตข้าอ้วนสุด ทำไมถึงได้ตกต่ำถึงเพียงนี้” หลังพูดจบล้มพับคาเตียง กระอักเลือดตาย ถือเป็นกรรมสนองในที่สุด
ว่ากันว่าในช่วงที่อ้วนสุดปกครองอยู่นั้น ต่างใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย จนทำให้ประชาชนต่างอดอยาก บ้างก็ต้องขายลูกกินเพื่อปากท้อง ที่หนักกว่านั้นก็คือ คนกินกันเองก็มี
ดังนั้นคนประเภทอย่างอ้วนสุดหากไม่พินาศ ก็ถือฟ้าไม่มีตาแล้ว การกระทำขออ้วนสุดในครั้งนี้นั้น ถือได้ว่าโง่เป็นที่สุด อ้วนสุดไม่เข้าใจในหลักการ นี้เลย โดยคิดเอาเองว่ามีเพียงตราแผ่นดินแล้ว จะไม่มีทำอะไรเขาได้ แต่กลับทำให้ตนเองนั้นกลายเป็นเป้าหมายของการทำลาย
ตั๋งโต๊ะถอดถอน อ้วนเสี้ยวตั้งซ้อน อ้วนสุดแต่งตั้งตนเอง ต่างเป็นข้อผิดพลาดที่มาจากต่อการปฏิบัติต่อฮ่องเต้ทั้งนั้น แล้วถ้าอย่างนั้นแล้วโจโฉล่ะ มีวิธีการปฏิบัติต่อฮ่องเต้อย่างไร พบกันหน้า EP7 แผนลึกการณ์ล้ำ ของโจโฉครับ
โฆษณา