Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ยุคใหม่การตลาดของไทย
•
ติดตาม
3 ก.ย. 2019 เวลา 08:39 • การศึกษา
องค์กรหรือบริษัทจะเติบโตหรือไม่หรือเติบโตได้ขนาดไหน รู้ได้ไม่ยากเลย..................
ในหลายปีที่ผ่านมา “ยุคใหม่การตลาดของไทย” มีโอกาสได้พบกับผู้คนมากมายหลากหลายอาชีพหลากหลายที่มาหลากหลายเชื้อชาติพบทั้งคนที่มีเงินเดือนหลักพันบาทจนถึง 1 แสน (US dollar) มีโอกาสได้สนทนากับผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กจนถึงหลักแสนล้าน ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของผลลัพธ์ของแต่ละคนแต่หน่วยงานได้อย่างชัดเจน ไม่มีแบบเทาๆให้เดาเป็นขาวและดำกันเลย
เกือบทุกที่ล้วนแล้วแต่ก็มีกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งกลยุทธ์การบริหารองค์กร กลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่ง บางรายก็มีในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มีเลย อาทิ สูตรลับพิเศษของการทำสินค้า มีเทคโนโลยีที่เป็นของตนเอง เป็นต้น
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นการเติบโตเลย อาจจะมีบางรายเติบโตได้ซึ่งก็ทำให้เขาหรือองค์กรมั่นใจในการทำธุรกิจ สุดท้ายก็มาติดเพดานที่ทำอย่างไรก็ไม่เติบโต แม้ว่าสินค้าและบริการจะตอบโจทก์ลูกค้า สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ลูกค้ายินดีที่จะซื้อและยังเชื่อมั่นในหน่วยงานนั้นด้วย
ทว่าบุคคลหรือหน่วยงานที่มีการเติบโตและมีผลลัพธ์ที่ใหญ่เขาก็มีเครื่องมือหรือกลยุทธ์ไม่แตกต่างจากองค์กรหรือบุคคลอื่นๆเลย ที่สำคัญ“ยุคใหม่การตลาดของไทย”ไม่เห็นความแตกต่างของความเก่ง ความฉลาดหลักแหลม ความเป็นอัฉริยะที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจนเลย
แล้วอะไรที่เป็นความแตกต่างของคนที่มีผลลัพธ์ใหญ่และคนที่มีผลลัพธ์ธรรมดา หน่วยงานที่มีการเติบโตหรือไม่มีหรือเติบโตช้ามาก
สิ่งนั้นคือ “กรอบความคิด (Mindset)” คนทั่วไปหรือคนที่มีผลลัพธ์ธรรมดาจะเป็นแบบกรอบความคิดตายตัว (Fixed Mindset) ที่แนวความคิดส่วนมากจากการหลีกเลี่ยง การตัดสิน เช่น ก็ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีคนไม่ใช้จ่ายกัน สิ่งนั้นยากไม่มีใครทำได้หรอก ทุกอย่างมันถูกกำหนดมาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแก้ไข ในเมื่อฉันทำไม่ได้คนอื่นก็ทำไม่ได้ เป็นต้น
ส่วนคนที่มีผลลัพธ์ใหญ่หรือองค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ว่าแม้ว่าจะพบวิกฤตต่างๆแต่ก็ยังเติบโต คนกลุ่มนี้มีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) คนกลุ่มนี้หรือองค์กรบริษัทเหล่านี้ ต่างมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นการเรียนรู้ เช่น เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นเราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้ แล้วเราจะปรับปรุงและพัฒนาได้อย่างไร เงินในตลาดก็พิมพ์ออกมาทุกวันผู้คนต้องกินต้องใช้ทุกวันแล้วเงินหายไปไหน เราจะดึงเงินเหล่านี้มาได้อย่างไร แม้ว่าช่วงนี้เราขายได้กำไรน้อยหรือขาดทุนแต่ก็ต้องขายเพราะเรารับปากกับคู่ค้าไว้แล้วไม่ควรผิดคำพูด เป็นต้น
ดูแล้วจะเป็นภาพกว้างๆ คราวนี้เรามาดูแบบเจาะลึกลงไปและดูได้ง่ายมาก ที่สำคัญเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมากหากต้องการผลลัพธ์ใหม่ แล้วเรารู้ได้เลยว่าเราหรือหน่วยงานนั้นจะเติบโตกิจการจะขยายได้ขนาดไหน บริษัทที่เรารู้จักจะดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร มีวิธีง่ายๆในการพิจารณา ซึ่งเป็นผลพวงมาจากกรอบความคิด นั่นคือเราใช้วิธีคิดแบบเอาตนเองเป็นที่ตั้งหรือไม่ (Self Centric) หรือเราคิดแบบเอาลูกค้าหรือคนส่วนมากเป็นจุดศูนย์กลางหรือไม่ (Customer Centric)
แน่นอนว่าการคิดแบบไหนก็ไม่ผิด อยู่ที่เราต้องการผลลัพธ์แบบไหนต่างหาก เพราะการใช้ตนเองเป็นที่ตั้ง (Self Centric) หรือ เอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง (Customer Centric) ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
หากเราไม่ได้อยากเติบโตไม่ต้องการที่จะเสี่ยงไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง การใช้ตนเองเป็นที่ตั้งคือทางออก ส่วนใครหรือองค์ใดที่ต้องการความเติบโตการขยายผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้น คำตอบก็คือการเอาลูกค้าเป็นที่ตั้งนั่นเอง
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร ที่สำคัญแล้วเราจะทำอย่างไรให้เติบโตยั่งยืน ย้ำอีกครั้งเลยว่าดูได้ง่ายๆๆๆๆมากๆๆๆๆจากวิธีคิด แล้วจะดูวิธีคิดได้อย่างไรเหรอ นั่นคือดูจากคำพูดที่สื่อออกมา คิดแบบไหนก็จะนำตนเองไปแบบนั้น แม้ว่าจะเสแสร้งแกล้งทำก็ไม่สามารถปิดบังได้
ตัวอย่างชุดคำพูดคนหรือองค์กรที่ใช้ตนเองเป็นที่ตั้ง เช่น ลูกค้าอยากสะดวกก็ต้องใช้ในสิ่งที่เราได้เตรียมไว้ให้ เราจะเติบโตไปด้วยกันจากการต่อรองราคา การทำงานต้องมีการผิดพลาดอยู่แล้ว ระเบียบกฎเกณฑ์มีไว้แหก ต้องทำตามนี้เท่านั้น ของดีไม่จำเป็นต้องเสนอขายหรอก ฉันสะดวกที่จะทำแบบนี้ ฯลฯ
ตัวอย่างชุดคำพูดคนหรือองค์กรที่ใช้ลูกค้าเป็นที่ตั้ง ตอนนี้ลูกค้าจะได้รับความสะดวกมากขึ้นหากใช้สิ่งที่เราเตรียมไว้ให้ เรามาหารือกันในการลดต้นทุนกับคู่ค้าและฝ่ายที่เกี่ยวข้องกัน การที่เราทำงานผิดพลาดครั้งนี้เราต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรให้ไม่เกิดเหตุการณ์นี้อีก ระเบียบกฎเกณฑ์หากทำให้การทำงานเสียหายหรือยุ่งยากเรามาหาทางแก้ไขปรับปรุงกันดีกว่าไหม สินค้าดีขนาดไหนถ้าลูกค้าไม่รู้ก็ยากที่จะขายได้ เราสะดวกที่ได้ทำแบบนี้ร่วมกัน ฯลฯ
นี่คือสิ่งที่เป็นการพิจารณาว่าใครมีแนวความคิดแบบไหน ใช้ตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ชุดคำพูดจะมีไม่กี่คำและเป็นคำที่เป็นทางออกที่มีทางเดียวหรือแทบไม่มีทางออกเลย ส่วนแนวคิดแบบเอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง ส่วนมากจะใช้คำว่าเรา และทุกเหตุการณ์จะเป็นการเรียนรู้และพัฒนา ไม่กล่าวโทษ
เปลี่ยนแปลงได้หากต้องการผลลัพธ์ใหม่ ไม่มีใครได้ผลลัพธ์ใหม่จากการทำแบบเดิมๆซ้ำอยู่แล้ว จะใช้ตนเองเป็นจุดศูนย์กลางหรือเอาลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง คือคำตอบว่าธุรกิจหรือคนๆนั้นจะก้าวหน้าหรือเติบโตได้หรือไม่อย่างไร
หมายเหตุ: ลูกค้าไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่ซื้อสินค้าเท่านั้น แต่หมายรวมถึงคนที่เราร่วมงานด้วย นั่นก็คือคนที่จะได้รับผลจากจุดยืนของเรานั่นเอง
FB Page: Thailand Modern Marketing
ข้อมูลมุมมองการตลาดที่ทันสมัยจากประสบการณ์จริง
อ่านได้ใน Blockdit ยุคใหม่การตลาดของไทย
โหลดที่
http://www.blockdit.com
9 บันทึก
53
17
24
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
กรณีศึกษาและบทวิเคราะห์ด้านการตลาด
9
53
17
24
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย