20 ส.ค. 2019 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
เริ่มต้นธุรกิจต้องทำอะไรบ้างและต้องเริ่มต้นอย่างไร?
ยุคใหม่การตลาดของไทย มีข้อแนะนำอย่างง่ายๆ เพื่อที่ท่านจะเอาไปใช้ได้แบบไม่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งเป็นเครื่องมือเดียวกันกับตอนที่ 5 ของเรื่อง “อยากจะขายของออนไลน์มีอะไรที่ต้องรู้ก่อน?” ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญมากที่จะทำให้มีโอกาสที่ดีในการทำธุรกิจ แต่ในตอนนี้จะมีการแนบภาพประกอบเพิ่มขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของผู้อ่าน
หลายคนมีความคิดที่จะเริ่มทำธุรกิจสักอย่าง ตอนนี้มีสินค้าอยู่ในมือหรือว่ามีช่องทางที่สามารถหาสินค้านั้นมาทำธุรกิจได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
การเริ่มต้นมี 2 ทางหลักที่เราพบ ซึ่งทั้ง 2 แบบมีทั้งข้อดีข้อจำกัด
แบบที่ 1 คือเริ่มต้นจากมีสินค้าแล้วค่อยไปหาลูกค้า วิธีการนี้คือวิธีดั้งเดิมที่ทำมา ซึ่งข้อดีคือเรามีจุดแข็งเรื่องสินค้า และสามารถนำมาทำการตลาดได้เลย เหมาะกับการทำตลาดที่เป็นตลาดทั่วไป สินค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว หรือสินค้าไม่ต้องเรียนรู้มากมาย ชนิดของสินค้าใช้ได้ง่ายๆ
แต่ทว่าในปัจจุบันที่โลกเราแคบลงกว่าเดิมมาก เราสามารถคุยข้ามประเทศเห็นหน้ากันไปด้วยภายในเวลาไม่กี่วินาที ช่องทางการขายก็มีให้เลือกมากมาย การหาสินค้าแล้วค่อยหาลูกค้าและหาความต้องการของลูกค้า จึงมีโอกาสเติบโตยาก และอาจจะเกิดปัญหาเรื่องสินค้าคงค้างได้ ถึงแม้สินค้าจะแก้ปัญหาได้ก็อาจจะไม่เหมาะกับจังหวะเวลานั้น
แบบที่ 2 เริ่มต้นจากการมองหาลูกค้า แล้วค้นหาปัญหาของลูกค้าที่เป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการที่แท้จริงแล้วค่อยหาสินค้าและบริการให้ ที่เราพบได้อาทิเช่น AirBnB Grab Uber Traveloca 7Eleven และอีกมากมายหลายธุรกิจที่เฟื่องฟูในปัจจุบัน ล้วนแล้วมาจากมองเห็นปัญหาของลูกค้าที่แม้แต่ลูกค้าก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหา
ตัวอย่างเช่น เรามีปัญหาในการที่ต้องมายืนคอยแท๊กซี่ การปฏิเสธผู้โดยสาร หรือแม้แต่คดีอาชญากรรม มีคนมองเห็นปัญหานี้ จึงเกิด UBer และ Grab อีกตัวอย่างคือ มีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อของตลอดวันซื้อเวลาไหนก็ได้และยังต้องการความสะดวกปลอดภัยขอสินค้า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจึงเกิดขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการแก้ปัญหาของลูกค้า
นี่คือส่วนที่สำคัญสุดๆสำหรับคนทำธุรกิจที่ต้องการไปต่อได้ และไม่สามารถทำข้ามสลับกันได้ด้วย ต้องทำไปทีละขั้น โดยเริ่มต้นจากการกำหนดกลุ่มที่ต้องการทำตลาด(Segmentation) กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target) และจุดขายหรือจุดยืนของสินค้าและธุรกิจ (Positioning)
การจัดแบ่งกลุ่มตลาดเป้าหมาย (Segmentation) ต้องดูว่าเรามีความเชี่ยวชาญ ช่องทางและโอกาสลูกค้าในตลาดกลุ่มไหน และเราจะทำธุรกิจแบบไหน แบบยั่งยืนหรือชั่วคราว นี่คือโจทย์ที่เราต้องนำไปหาคำตอบ
เราจะทำตลาดแบบไป ขายส่ง (B2B) หรือขายปลีก (B2C) ลูกค้าของเราต้องการสินค้าแบบไหน ที่อาจจะแยกตามกลุ่มที่เราต้องการทำตลาด เช่น กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มสินค้าเด็ก (เด็กใช้แต่ผู้ปกครองเป็นคนซื้อ) กลุ่มสินค้าสำหรับผู้สูงวัย(คนซื้อส่วนมากคือลูกๆหลานๆ) หรือว่าจะเป็นไปตามรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าเรา ไม่ว่าจะเป็นเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจเร็ว เน้นคุณภาพที่คุ้มค่า ต้องการความหรูหรา เป็นต้น เหล่านี้จะทำให้เราสามารถกำหนดธุรกิจที่เราจะทำได้เป็นอย่างดี
เริ่มลงลึกไปเรื่อยๆเพื่อที่ธุรกิจที่เราจะเริ่มต้นทำมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จตามที่วางแผนไว้หลังจากที่เราเลือกกลุ่มลูกค้าที่จะทำการตลาดแล้ว (Segmentation) โดยทั่วไปเพื่อให้ง่ายต่อการวางแผน จึงมีให้เลือกหลักๆ 2 กลุ่มคือ
1. กลุ่มลูกค้าทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง (Mass Market) เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่มาก มีความต้องการหลากหลาย มีผู้เล่นในสนามเดียวกับเรามากมาย หากต้องเลือกทางนี้แน่นอนว่าความพร้อมต้องมี จะเริ่มค่อยเป็นค่อยไปได้ยากมาก เพราะแม้ว่าตลาดใหญ่แต่การแข็งขันก็สูงมากเช่นเดียวกัน
2. กลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง (Niche Market) ปัจจุบันแทบจะเป็นลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงมากถึงระดับ nano market ที่สินค้านั้นเหมาะกับลูกค้าคนนั้นเท่านั้น ตลาดนี้ดูเผินๆจะไม่ใหญ่เพราะมองดูว่าเป็นกลุ่มเฉพาะ แต่ปัจจุบันกลับเป็นตลาดที่สร้างเศรษฐีใหม่มากมาย เพราะแม้ว่าแต่ละคนต้องการต่างกันแต่ก็สามารถติดต่อลูกค้าได้มากมายเช่นกันจากเครื่องมือที่เป็น Social Media ต่างๆ
ตำแหน่งของสินค้าและบริการ (Positioning) คือสิ่งที่กำหนดทิศทางกระบวนการทำงานของธุรกิจของเรา และอาจหมายรวมถึงสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรับรู้ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งลูกค้า พนักงาน ผู้บริการและคู่ค้า
การกำหนดตำแหน่งของสินค้ายังทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับการตัดสินใจของลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น ห้างแม็คโครคือห้างค้าส่ง ห้างโลตัสคือห้างค้าปลีก หากต้องการเดินทางโดยทางเครื่องบินด้วยความสะดวกสบายการบินไทยคือทางเลือก และตัวอย่างสุดท้ายถ้านึกถึงเลนส์คุณภาพดีนึกถึงเลนส์ไลก้า เป็นต้น
ลองพิจารณาดูว่าหากตำแหน่งหรือจุดยืนของธุรกิจเปลี่ยนไปจากผู้บริหารชุดใหม่ หรือมติที่ประชุมเห็นชอบว่าต้องปรับเปลี่ยนโดยไม่คำนึงถึงจุดยืนของสินค้าและธุรกิจ จะเป็นอย่างไร เช่น แม็คโครอยากได้ลูกค้าย่อยทั่วไป จึงเปลี่ยนมาขายปลีก โลตัสก็อยากได้ลูกค้าแบบค้าส่งก็จัดสร้างแผนกค้าส่ง แผนกขายอาหารสดของห้างต่างๆหันไปมุ่งเน้นการลดต้นทุนมากกว่าการทำให้สินค้าสดจนถึงมือลูกค้า คำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร แน่นอนเกิดความสับสนในการรับรู้ของลูกค้า และอาจจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานสับสนยุ่งยาก และตัดสินใจไม่ซื้อสินค้า
หากท่านต้องการสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมา แน่นอนว่าตำแหน่งของสินค้าต้องมีความชัดเจนที่สุด เพราะเป็นสิ่งเดียวที่คนภายนอกองค์กรและหน่วยงานรับรู้ได้ และยังเป็นสิ่งที่ทำให้สร้างผลลัพธ์ได้เป็นอย่างดี
FB Page: Thailand Modern Marketing
ข้อมูลมุมมองการตลาดที่ทันสมัยจากประสบการณ์จริง
อ่านได้ใน Blockdit ยุคใหม่การตลาดของไทย
โหลดที่ http://www.blockdit.com
โฆษณา