12 ก.ย. 2019 เวลา 13:09
New!!
เรื่องสั้น : ที่นี่...สถานีมักกะสัน
"ถ้าเอ่ยถึงชื่อมักกะสัน บางคนคงนึกถึงมุกตลกแบบชวนหัวที่ผู้ใหญ่นิยมกัน คือคำถามประเภทแขวงอะไรในกรุงเทพคนหื่นมากที่สุด คำตอบคือ แขวงมักกะสัน ซึ่งจริงๆ จะสื่อความหมายทำนองนั้นต้องสะกดอีกอย่างหนึ่ง"
"แต่ใครจะรู้ว่าชื่อ มักกะสัน มีอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นมาก จะเล่าให้ฟังย่อๆ แบบไม่ให้เสียเวลา"
"มักกะสัน เป็นชื่อเรียกของเหล่านักรบจากเกาะมากัสซาร์ ซึ่งต่อมาก็เพี้ยนเป็น มักกะสัน เหล่านักรบพวกนี้เข้ามาตั้งรกรากในไทยนานตั้งแต่สมัยอยุธยา ถูกใช้เป็นกำลังในการก่อกบฏในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งในครั้งนั้น พวกมักกะสันแสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการรบ แม้ฝ่ายตรงข้ามใช้ผู้คนมากมายหรืออาวุธทันสมัยเข้าต่อสู้ แต่พวกมักกะสันหากลัวไม่ "
"พวกนั้นแม้ตัวเปล่า แต่กริชยาวที่เหน็บติดตัวไว้ กลับเป็นอาวุธร้ายน่าสะพรึง พวกเขารวดเร็ว ปราดเปรียว ใช้กริชในมือคล่องแคล้วราวมือเท้า จ้วงแทง ผ่าท้องจนไส้ไหลออกมา ปาดเนื้อ เฉือนหนังออกง่ายดายราวกับมีดโกนคมกริบ เหล่าทหารที่เข้าปราบปราม รวมถึงชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องแต่เคราะห์ร้าย ว่ากันว่าถูกเหล่ามักกะสันสังหารด้วยกริชไปถึงสามร้อยกว่าคน แต่เหล่ามักกะสันจบชีวิตเพียง 16 คนเท่านั้น"
"นี่แสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจและสู้ยิบตาของเหล่าแขกมักกะสันในอดีต และต่อมาภายหลังล่วงเลยมา เหล่ามักกะสันที่เหลืออยู่ก็มารวมตัวกันอาศัยแถวประตูน้ำใกล้ดินแดง สมัยก่อนเรียกบางกะสัน แต่ทุกวันนี้เรียกมักกะสัน"
พอเล่าจบ เด็กๆ ทั้งบ้างก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ บ้างก็นั่งเล่นมือถือตาดูจอ หูก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง บางคนก็นั่งเขี่ยหินที่พื้นเล่นไปมา
"จบแล้ว อะไรลุง ไม่เห็นจะตื่นเต้นเหมือนที่โม้ไว้เลย" ไอ้เต้ย หัวโจกของกลุ่มเด็กเหลือขอเหล่านี้พูดขึ้น
"เสียเวลาฉิบหาย นึกว่าจะเล่าเรื่องเด็ดๆ อะไรกว่านี้ เห้อ" มันควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ ด้วยวัยสิบห้า แต่ตัวโตและดูแก่กว่าวัย ไอ้เต้ยจึงเป็นผู้นำกลุ่มเด็กย่านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ผมควักห่อสีน้ำตาลขนาดเท่ากล่องไม้ขีดยื่นให้มัน
ไอ้เต้ยรีบรับไว้ มันแกะออกดม แล้วยิ้มร่า
"ลุง เด็ดเหมือนกันนี่หว่า เจ๋งว่ะ " มันรีบพับใส่กระเป๋าทันที
"อ้าว พวกผมละลุง" ไอ้จ้อย ลูกแม่ค้าร้อยมาลัยขายตามสี่แยก จะบอกว่า 30% ของมาลัยที่ขายในกรุงเทพ มาจากกลุ่มแม่บ้านในชุมชนแถวนี้ก็คงพูดได้
"มึงยังไม่ต้อง ยังเด็ก ไว้โตกว่านี้ กูจะให้ลอง" ผมพูดตัดบท เหล่าเด็กไร้โอกาสพวกนี้จึงได้แต่ทำหน้าเหี่ยว แล้วลุกขึ้นปัดฝุ่นจากก้นแล้วเดินลากกิ่งไม้ฟาดต้นไม้ใบหญ้าตามข้างทางไปจนลับตา
1
ผมหยิบข้าวหมกไก่ที่ร้านปากซอยให้มาแกะออกกิน กลิ่นเริ่มใกล้บูดแล้ว แต่ยังพอทานได้ ผมใช้ช้อนพลาสติกจ้วงข้าวเข้าปากด้วยความหิว ใต้ร่มต้นก้ามปูใหญ่ ที่นี่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นที่นั่งประจำของผม
"ไอ้บ้าชิด" ใครๆ ก็เรียกผมแบบนั้น ผมอาศัยใต้ร่มไม้นี้ทุกเช้าจนเย็น เพื่อนั่งขายของเก่าที่ดูเหมือนขยะเสียมากกว่า ขยะบางอย่างก็ยังมีค่าเผื่อว่าจะมีคนสนใจ ชิ้นละสองบาทสามบาท บางคนก็เห็นผมเป็นขอทานให้เศษเงินมาบ้าง ให้อาหารกินก็มี ต้องขอบคุณคนใจบุญพวกนั้นจริงๆ
สักพักไอ้เต้ยวิ่งหอบกลับมาหาผม
"ลุงชิด ลุงมีอีกไหม ผมขอซื้อ ไอ้นั่นน่ะ" มันยังยืนหอบจนตัวโยน
"มึงนี่ตัวแสบนะ จะเอาไปขายต่อสิมึง อย่านึกว่ากูไม่รู้" ผมพูดเนิบๆ พลางเคี้ยงกระดูกไก่ในปากแล้วบ้วนทิ้ง
"เออน่า ของดี เดี๋ยวก็ปล่อยได้ ลุงก็เอามาเหอะ เห็นบ้าๆ ที่แท้ก็ตัวเอ้นี่หว่าลุง" มันเอามือทุบอกเบาๆ ให้หายจุก
"มึงมาเอาพรุ่งนี้ค่ำๆ เงินสดนะมึง" ผมห่อข้าวที่เหลือไว้กินอีกมื้อ
"โอเค แถมด้วยล่ะ พรุ่งนี้มา" สิ้นคำมันก็หันหลังเดินกลับไป
ผมยิ้มรับกับความเลวร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกหนึ่งในชุมชนนี้
จะบอกว่าผมรักย่านนี้มากก็คงว่าได้ ผมเติบโตในย่านเสื่อมโทรมแนวข้างทางรถไฟย่านสถานีรถไฟมักกะสัน ตอนเด็กๆ ยังวิ่งเล่นเข้าออกโรงซ่อมหัวรถจักรอยู่เป็นประจำ ถ้าพูดไปใครจะเชื่อว่าบ้านเราสมัยก่อนผลิตรถไฟขายให้เพื่อนบ้านได้ แต่นั่นก็แค่ความรุ่งเรืองในอดีตก็เท่านั้น
ผมรู้จักชุมชนแออัดแถวเรียบทางด่วนเป็นอย่างดี ตั้งแต่พ่อแม่ผมตายไปตอนผมอายุ 15 ผมก็ออกร่อนเร่ รับจ้างทำงานทั่วไปตามตลาดแถวนั้น ไปเป็นคนรับรถตามคาเฟ่บ้าง กินนอนกับเพื่อนร่วมงาน เริ่มลองอบายมุขทุกชนิดที่เพื่อนชักชวน จนบางทีไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือนๆ จนวันหนึ่งเมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าญาติห่างๆ มาอาศัยอยู่กันหกชีวิต
ผมถูไล่ตะเพิดออกมาเหมือนหมูหมา แถมสาปส่งให้ไปตายที่ไหนก็ไป อาจเพราะสภาพผมตอนนั้น ทั้งติดยาและป่วยเป็นวัณโรค
"ไอ้ชิด มึงไปเลย ไปไหนก็ไป อัปรีย์อย่างมึง เดี๋ยวก็ตายข้างถนน บ้านนี้กูกับพ่อมึงช่วยกับปลูก มึงไม่ทำมาหากินก็ออกไปเถอะ กูดูแลเองบ้านนี้" หลักจากถูกฟาดด้วยราวตากผ้า ผมก็ไม่เคยย่างกรายกลับบ้านอีก แต่จะสนใจอะไร ผมอยู่ได้ทุกที่บนโลกนี้อยู่แล้ว ที่นี่เมืองไทยนะคุณ
ผมเร่รอน หากินตามที่ผมถนัด ลักเล็กขโมยน้อย ขายของเก่า เก็บขยะขาย และลงเอยด้วยการขายยา ใช่ผมกลับมาเส้นทางที่ถนัด หลังจากรักษาวัณโรคหายแล้ว ก็กลับมาเป็นคนขายยาให้เพื่อนเก่าที่ผันตัวจากเด็กเฝ้ารถหน้าผับ มาเป็นตัวแทนจำหน่ายระดับแขวง ผมเริ่มมีรายได้พอกินพอใช้ไม่ลำบาก
แต่ก็แค่นั้น เงินมากมายกลับไม่ใช่คำตอบ ผมมีความใฝ่ฝันที่ใหญ่กว่าพ่อค้ายา ผมจึงกลับมาเร่ร่อนอีกครั้ง ถ้าอยากได้อะไร ผมถึงจะไปรับยามาขายให้วัยรุ่นเฮงซวยอย่างเต้ย เป็นตัวอย่าง
เด็กๆ บางคนที่มานั่งฟังผมเล่าเรื่องสัพเพเหระในแต่ละวัน เขามีความหวัง ซึ่งสุดท้ายพวกเขาอาจได้ของเล่นที่ผมเก็บได้ หรือเงินห้าบาทสิบบาทถ้าผมมี หรือบางคนโตหน่อยก็ได้บุหรี่สองสามมวน พวกเด็กบางคนเป็นเด็กดี ขาดแต่โอกาส บางคนครอบครัวบีบบังคับให้ต้องเป็นคนก้าวร้าว หลายคนไม่เคยแม้แต่จะท่องสูตรคูณหรือเขียนหนังสือได้ถูก เพราะพ่อที่ติดเหล้า แม่ติดไพ่ เด็กจึงไม่เคยได้ไปโรงเรียน และไม่ต้องถามถึงอนาคตของพวกเขา เพราะปัจจุบันแค่นั่งล้อมวงรอขนม เศษเงิน ของเล่น บุหรี่ และบางคนก็ต้องการยา เท่านี้เองที่พวกเขาต้องการ
"ไงลุงชิด ผมมาเอาของ เอามายัง" ไอ้เต้ยเดินดุ่มๆ มาในความทึมเทายามโพล้เพล้ ผมจุดตะเกียงจ้าวพายุที่เก็บได้จากกองขยะแล้วหรี่แสงไว้เพียงสลัวๆ แสงวูบวาบของแสงจากตะเกียงที่ครอบแก้วแตกเป็นรูโหว่ เงาไอ้เต้ยที่ทอดยาวลงพื้นโย้เย้คลายวิญญาณที่กำลังจะเต้นร่ำร้องจะหลุดพ้น
1
ผมชี้ไปที่พุ่มไม้ด้านหลัง
"อะไร ซ่อนไว้งั้นรึ ผมไม่ใช่สายตำรวจหรอกลุง เร็วๆ น่า น่ารำคาญ" ไอ้เต้ยหยิบบุหรี่มาสูบ พลางสั่นขาไม่หยุด
"มึงกลัวรึ ริจะขายของ แค่นี้มึงก็ปอดแหกแล้ว ถุย" ผมพยุงตัวลุกขึ้น
"เอาของมาก่อน ผมขอดูก่อนสิลุง อย่าลีลาน่า" เต้ยโยนบุหรี่ทิ้งเอาตีนขยี้จนขี้เถ้าแดงกลายเป็นควันใต้รองเท้า
"ตามกูมา ประเจิดประเจ้อแบบนี้มึงจะทำกูซวยไปด้วย กูคงไม่อยู่ถึงทุกวันนี้หรอกถ้าโง่แบบมึง" ผมเดินนำมันไปในพุ่มไม้ข้างทางพร้อมตะเกียงในมือ เต้ยเดินตามมาอย่างลังเล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
ของที่ผมรับมาเป็นสินค้าเกรดเอ ไม่ได้มีปริมาณมากมายอะไร ที่เอามาเพราะเรื่องอื่นต่างหาก
"ถึงยังอ่ะลุง ทำไมไกลจัง มืดด้วย ยุงเยอะฉิบหายเลย"
1
"อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว" ผมยื่นตะเกียงส่องไปข้างหน้า แสงสว่างในตะเกียงริบหรี่เสียจวนเจียนจะอับแสง
"โอ๊ย" เสียงไอ้เต้ยร้องขึ้น แต่ไม่ทันสิ้นเสียง ความมืดและความเงียบก็ปกคลุมไปทั่ว เหลือเพียงเสียงจิ้งหรีดและแมลงนานาที่ส่งเสียงร้องขึ้นทันทีที่ทุกอย่างนิ่งสนิท
ร่างไอ้เต้ยที่สิ้นสตินอนแผ่อยู่กลางพงหญ้าสูงท่วมหัว
ผมหยิบขวดแก้วใสออกจากกล่องโฟมที่ดูสกปรกมอซอ แล้วค่อยๆ ดูดสารละลายที่ว่าออกมาช้าๆ แล้วฉีดมันเข้าที่ต้นแขนของไอ้เต้ย ที่ตอนนี้ถูกจับมัดตรึงโดยขึงแขนทั้งสอง ส่วนขาถูกมัดรวบเอาไว้แล้ว
มอร์ฟีนถูกฉีดเขากล้ามเนื้ออย่างชำนาญ เพราะผมทำมาแล้วนับร้อยครั้ง ด้วยขนาดที่ฉีดให้นี้ เหยื่อจะไม่รู้สึกปวดรุนแรงแต่อย่างใด แต่จะเซื่องซึมและควบคุมตัวเองลำบาก หัวใจเต้นช้าลง ม่านตาหดเล็ก ช่วงนี้ต้องระวังเพราะอาจหยุดหายใจได้ แต่ความจริงแล้วถ้าหากมีความปวดอย่างรุนแรงมากๆ ภาวะกดการหายใจนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แน่นอน ความเจ็บปวดอาจช่วยให้รอดตายได้ในกรณีนี้
ผมเอาช้อนงัดปากไอ้เต้ยอ้าออก เอาคีมเหล็กค่อยๆ คีบที่ลิ้นของมันแล้วดึงยืดออกมา มือขวาจับกริชยาวคมกริบตัดฉับในทันที เลือดพุ่งออกมาเป็นเส้นเต็มพื้น ไอ้เต้ยสะดุ้งร่างกายดิ้นพล่าน
ผมเอาสำลีก้อนใหญ่ชุบอะดรีนาลีนยัดเข้าปากมันจนแน่น เสียงอื้ออากับน้ำตาที่ไหลรินนั่นเป็นภาพที่ผมชินตา และหลังจากแผลที่ลิ้นมันหายดีมันจะพูดไม่เป็นคำอีกต่อไป และจะถูกส่งไปขายเป็นแรงงานบนเรือประมงฺผิดกฎหมายที่ลักลอบลากอวนไปทั่วน่านน้ำ ถ้าโชคดีมันจะรอดและเป็นทาสบนเรือนั่นไปอีกนาน แต่ถ้าโชคร้ายมันจะกลายเป็นอาหารปลา ซึ่งก็นับว่าไม่เลว
ถ้าใครเห็นสภาพโบกี้รถไฟเก่าที่แทรกตัวอยู่ในป่ารกที่จอดยาวอยู่ด้านหลังโรงซ่อมของสถานีรถไฟมักกะสัน ที่ตอนนี้เป็นเหมือนบ้านของผม สภาพภายในนั่นราวกับห้องทรมารนักโทษ เพราะนอกจากไอ้เต้ยเหยื่อรายใหม่ของผม ยังมีเด็กเหลือขออีกสามคนที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
มีไอ้บอลจอมเตะ ที่เมายาเตะแม่ตัวเองจนขาหักม้ามแตกแล้วขโมยเงินมาซื้อยาเมื่อเดือนก่อน ทุกคนคิดว่ามันหนีตำรวจและออกไปเร่ร่อนแล้ว เพราะความทรพีที่ทำไว้พ่อมันจึงไปแจ้งความให้ตำรวจตามจับ ทุกอย่างจึงลงตัว
มีไอ้เอก ที่ติดเกมและพนันบอล ทั้งวันไม่เคยกลับบ้าน จะกลับก็ตอนไปขอเงินยายที่ขายข้าวต้มมัดอยู่ตามตีนสะพานลอย ถ้ายายไม่ให้มันก็ชักมีดขู่ พอมันหายตัว ชาวบ้านก็ลือว่ามันโดนโต๊ะบอลอุ้ม เรื่องยิ่งง่ายดายขึ้นอีก
สุดท้ายคือไอ้เก่ง มันเก่งสมชื่อ ทำแบงค์ปลอมพิมพ์คอมบ้านเพื่อนแล้วเอาไปซื้อของในตลาดตอนคนยุ่งๆ แม่ค้าโอดครวญกันหลายต่อหลายคน ที่เด็ดกว่าคือเอาเงินปลอมจะเอามาซื้อยาผม เพราะคิดว่าผมบ้า เล่นกับเสือก็ต้องถูกจับกินอยู่แล้วใครก็รู้ดี
มันทั้งสี่คนจะถูกขายแลกกับเงินนับแสน เพราะด้วยแรงงานที่มันต้องชดใช้ไปจนตาย แค่หัวละสี่หมื่นก็นับว่าคุ้มค่ากับขยะสังคมพวกนี้
ขยะบางอย่างยังมีค่าหากว่ายังมีคนสนใจ และขยะเดนคนอย่างพวกมัน อยู่ไปก็รังแต่จะมีความฉิบหายให้คนรอบตัวและสังคม ผมจึงช่วยจัดการให้
เพราะตั้งแต่ออกมาร่อนเร่อีกครั้ง ผมตั้งใจว่าจะอยู่อย่างสงบ แต่พอได้รู้ได้เห็นว่าทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยน คนเลวเกิดใหม่ขึ้นทุกวัน และทำให้ย่านนี้เลวร้ายลง ผมจึงตั้งใจว่าจะใช้ความมืดเอาชนะความมืด ตราบใดที่ยังไม่เลวจนทำลายชุมชนแห่งนี้ ผมจะแค่มองอยู่ห่างๆ แต่ถ้าไม่ผมจะคลืบคลานไปใกล้แล้วขย้ำมันอย่างแนบเนียนและไร้ร่องรอย
จุดจบของเรื่องราวจะเริ่มต้นในโบกี้รถไฟร้างที่นี่ ถ้าใครเดินทางด้วยรถไฟฟ้าคงพอมองเห็นโบกี้รถไฟเก่าพวกนี้ได้ ถ้าคุณเห็นแสงสว่างเล็กๆ ในค่ำคืนที่มืดมิด นั่นอาจเป็นตอนที่ผมกำลังจัดการเหยื่อเดนนรกของผมอยู่ก็เป็นได้ แค่คุณเงียบไว้ ทุกอย่างจะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ลิ้นไอ้เต้ยในมือยังกระตุกเล็กๆ หยดเลือดกระทบพื้นจนกระเซ็นออกเหมือนภาพศิลปะชั้นสูง และนั่นทำให้ผมมีความสุขที่ได้ทำเพื่อชุมชนของเราอีกครั้ง
ผมค่อยๆ เช็ดคราบเลือดบนกริชในมือให้แห้ง ชะโลมน้ำมันเล็กน้อยแล้วขัดจนมันสะท้อนแสงจากตะเกียงเป็นมันวาว กริชแห่งตำนานมักกะสัน
ยืนมองโบกี้รถไฟร้างที่ปกคลุมด้วยพืชเถานานาชนิดจากบนขบวนรถไฟแอร์พอร์ทลิ้ง by เพจเรื่องสั้นๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา