29 ก.ย. 2019 เวลา 23:46 • ไลฟ์สไตล์
"9 วิธีดับความทุกข์ด้วยตัวเราเอง"
[เป็นธรรมดาสุขทุกข์มักเป็นของเคียงคู่กัน เราไม่อาจหลีกพ้นในสองสิ่งนี้ได้]
คนสมัยนี้มีความวุ่นวายในการดำรงชีวิต อยู่สังคมมีการแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันมาตลอดเวลา ทำให้เกิดความทุกข์ภายในใจ บางคนมีทรัพย์สินมาก หรือ น้อยมันไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญ คือใช้อะไรให้น้อยลงต่างหาก ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด
คนจนยิ่งจนเพราะ คนรวยยิ่งรวยเพราะ ทำจนทำตัวให้เป็นปกติใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นชีวิตก็จะเป็นปกติ ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีเป็นคนอาภัพอับโชคที่สุดในโลก ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี ถือว่าเป็นคนโชคดีที่สุดในโลก อดทนได้จงอดทน อดใจได้จงอด ไม่อดทน ไม่อดใจ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนที่มีความสุขมิใช่คนที่มีมากที่สุด แต่เป็นคนที่ต้องการน้อยที่สุด ยิ่งมีความต้องการน้อยยิ่งมีความสุข
ความสุขหรือความทุกข์ของชีวิตบางครั้งเหมือนการมองผ่านกระจก หากกระจกใสสะอาด เมื่อมองสิ่งใดย่อมมีความสุข ปราศจากความขุ่นมัว หากระจกขุ่นมัวเมื่อมองสิ่งใด เป็นสิ่งเดียวกันก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ จงจำไว้ว่าความสุขอยู่ไม่ไกลเพียงเช็ดกระจกให้ใส เช็ดใจให้สะอาดเท่านั้นเอง ทุกข์อยู่ที่ใจทุกข์ของใครก็ของมัน สุขอยู่ที่ใจฉันเก็บมันไว้ทุกวัน สุขอยู่ที่ใจฉันจะให้กันและกัน
"ทุกข์เกิดจากอะไร" (ในทางพระพุทธศาสนา)
ทุกข์มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.) ทุกข์ในอริยสัจ 4
2.) ทุกข์ในไตรลักษณ์
ทุกข์ในอริยสัจ 4 ก็คือทุกขเวทนาหรือความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ซึ่งก็คือความทุกข์ในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปนั่นเอง ทุกขเวทนามี 2 ทางคือ ทุกข์ทางกาย กับทุกข์ทางใจ
- ทุกข์ทางกาย หมายถึงทุกข์ที่มีกายเป็นเหตุ ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดจากความหนาว ความร้อน ความป่วยไข้ ความบาดเจ็บ ความหิวกระหาย ความเสื่อมสภาพของร่างกาย และความทุกข์อื่น ๆ อันมีกายเป็นต้นเหตุอีกเป็นจำนวนมาก ทุกข์ทางกายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับร่างกาย เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก
- ทุกข์ทางใจ หมายถึงทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของใจ ทุกข์ทางใจนี้ส่วนหนึ่งมีทุกข์ทางกายเป็นสิ่งเร้าให้เกิด เช่น เมื่อได้รับบาดเจ็บหรือป่วยไข้ขึ้นมาทำให้เกิดทุกข์ทางกายขึ้นแล้ว ต่อมาก็เกิดความกังวลใจ ความหวาดกลัวขึ้นมาอีกว่าอาจจะรักษาไม่หาย อาจจะต้องสูญเสียอวัยวะไป หรืออาจจะต้องถึงตาย
กล่าวโดยสรุป ทุกข์ทางใจทั้งหมดล้วนมีต้นเหตุมาจากความโลภ ความโกรธ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งสิ้น
(ทุกข์จากความโลภ) ความทุกข์ที่มีต้นเหตุมาจากความโลภในที่นี้ อันได้แก่ ความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวจะไม่ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ ทุกข์จากการที่ต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ เป็นต้น
(ทุกข์จากความโกรธ) ความโกรธนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็นำทุกข์มาให้เมื่อนั้น เพราะความโกรธจะทำให้จิตใจต้องเร่าร้อนดิ้นรน เกิดความกระทบกระทั่งภายในใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ตัวอย่างของความทุกข์จากความโกรธเช่น ทุกข์จากความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ คับแค้นใจ กังวลใจ ความกลัว ความหวาดระแวง ความมองโลกในแง่ร้าย ความไม่สบายใจ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาทอาฆาตแค้น เป็นต้น
1
(ทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่น) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายจิตใจก็ตาม ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วก็ล้วนนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะยึดว่าเป็นเรา ยึดว่าเป็นสิ่งที่เราชอบใจ
เพราะการยึดในสิ่งที่เราไม่ชอบใจก็ย่อมจะทำให้เกิดความขัดเคืองใจ โกรธ ไม่พอใจ คับแค้นใจ กลัว ฯลฯ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นต้นเหตุของความทุกข์จากความโกรธนั่นเอง ส่วนการยึดในสิ่งที่เราชอบใจก็จะทำให้เกิดทุกข์อันมีต้นเหตุมาจากความโลภ
นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดทุกข์จากความกลัวการพลัดพรากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ทุกข์จากการต้องคอยทะนุถนอม บำรุงรักษา เก็บรักษาไว้ ต้องคอยปกป้อง ห่วงใย ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ ไม่เป็นอิสระ และถ้าต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปก็จะยิ่งเป็นทุกข์ขึ้นไปอีกมากมายนัก
กล่าวโดยสรุปก็คือ ยึดสิ่งไหนก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลยความทุกข์ทางใจทั้งหลายก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เลย
"ฝึก 9 อย่างความทุกข์จะเข้าไม่ถึงใจเรา"
วิธีการฝึกจิตใจของตัวเอง ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิ สติ อยู่ตลอดเวลา ควบคุมจิตใจของตัวเอง และเมื่อทำได้ ก็จะเป็นผลดีต่อจิตใจตัวเราเอง จะทำให้สงบ และไม่เป็นทุกข์
1. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสมหมายความว่าการสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดีนอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย
2. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้หมายถึงจงเป็นคนตัวเล็กอย่าเป็นคนตัวใหญ่จงเป็นคนธรรมดาอย่าคิดว่าเป็นคนสำคัญเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเราอย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมาก
3. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆหรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆหมายความว่าถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดแต่ถ้าหากมันไม่ดีเป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูดเพราะการพูดหรือการวิจารณ์ในทางเสียหายนั้นมีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำและขุ่นมัว
2
4. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆหมายความว่าอย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบเพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่าความสมบูรณ์แบบมีจริง
5. ฝึกให้ตนเองรู้ธรรมชาติว่าอะไรก็ผ่านไปเสมอหมายความว่าเวลามีความสุขก็ให้รู้ว่าเดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไปเวลามีความทุกข์ก็ให้มันรู้ว่าเดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไปเวลามีสถานการณ์แย่ๆเกิดขึ้นก็ให้มันรู้ทันว่าเรื่องราวเหล่านี้มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย
6. ฝึกให้ตนเองพ้นไปจากความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายถึง เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ก็หัดพอใจกับมันนาฬิกาใช้อะไรอยู่ก็หัดให้พอใจกับมันเสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ก็ให้พอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็น ขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อนเมื่อรู้จักพอแล้วก็ไม่ต้องหาเงินมากเมื่อไม่ต้องการหาเงินมากชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าหาเงิน
7. ฝึกให้ตนเองเข้าใจเรื่องของการนินทาหมายถึงเราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวเองว่า เราต้องถูกนินทา แน่นอนดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า เรามาถูกทางแล้ว แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลกมากกว่าคนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา
1
8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละและยอมเสียเปรียบหมายความว่าการที่คนๆหนึ่ง ยอมเสียเปรียบผู้อื่นเป็นเรื่องจำเป็นใครก็ตามที่บ้าความถูกต้องบ้าเหตุผลไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลยไม่ช้าคนๆนั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุขเพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น
9. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน เคยได้ยินไหม คำนี้อยู่กับปัจจุบัน พูดง่ายนะแต่ทำยากมากๆการอยู่ปัจจุบันก็คือการไม่หลงเข้าไปใน ความคิดของตน สติเท่านั้นที่จะเป็น ตัวรู้ตัวดูว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่สังเกตดูง่ายๆ
1
๑๘ ข้อดีของความทุกข์
๑. ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
๒. ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข
๓. ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
๔. ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ(ทำเพื่อให้ หายทุกข์ )
๕. ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
๖. ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
๗. ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น
๘. ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
๙. ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
๑๐.ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
๑๑.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
๑๒.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
๑๓.ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
๑๔.ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
๑๕.ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
๑๖.ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
๑๗.ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกใน แง่ดีมากขึ้น
๑๘.ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความ ทุกข์
เราจะรู้ ด้านดีของความทุกข์ เมื่อเราผ่านความทุกข์นั้นมาแล้ว
ในขณะที่เราทุกข์ เราจะคิดแบบนี้ไม่ได้
แต่เราอาจเอาด้านดีของทุกข์ พลิกฟื้นใจของเราขึ้นมาได้ ถ้าเรามีสติ ที่เพียงพอ
คำสอนทางศาสนา สอนว่า "เป็นทุกข์" กับ "เห็นทุกข์" นั้นต่างกัน เพราะทันที ที่เรา เปลี่ยนจาก " เป็นทุกข์ มาเห็นทุกข์ ประตูแห่ง ปกติสุข ก็ จะเปิดขึ้นแก่เราในทันที
และได้เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า
"ความรัก" ไม่ได้สร้างความสุข
"ความทุกข์" ไม่ได้สร้างความเศร้า
"ความผิดหวัง ไม่ได้ สร้างความเหงา
แต่เป็น ใจเราเองต่างหาก...... ที่สร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเอง
และหากเรากำลังรู้สึกหดหู่ใจนั้นแปลว่าเรากำลังอยู่ในอดีต
หากเรากำลังรู้สึกกังวลใจนั้นแปลว่าเรากำลังอยู่กับอนาคต
หากเรากำลังรู้สึกดีและมีความสุขนั้นแปลว่าเรากำลังอยู่กับปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าแนะนำว่าให้ทำทีละอย่างโฟกัสไปทีละจุดความทุกข์จะเข้าไม่ถึงใจเราแน่นอน ข้อนี้ลองฝึกกันดูเผื่อทางแห่งการพ้นทุกข์ไม่อยากทุกข์นี่แหละ คือการดับทุกข์ ด้วยตนเอง จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขโดยสุขสวัสดิ์และสมบูรณ์อย่างแท้จริงแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลโดย : เบญญาวัธน์
ภาพ : theicon.global
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน"
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
โฆษณา