5 ต.ค. 2019 เวลา 10:00 • ปรัชญา
10 ข้อต้องทำถ้าคุณอยากมีอิสรภาพทางการเงิน(2)
10 ข้อต้องทำถ้าคุณอยากมีอิสรภาพทางการเงิน 2
3.ทำงบการเงินส่วนบุคคลและแผนการเงินในอนาคต
งบการเงินในเชิงธุรกิจ คือภาพรวมของงบประมาณบริษัท รายรับ-รายจ่าย ทรัพย์สินโดยรวม และกระแสเงินที่หมุนเวียนภายใน
แต่สำหรับตัวบุคคลการทำงบการเงินอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก แต่เป็นเรื่องที่น่ากลัวในเชิงรายได้ เพราะรายได้ของคนส่วนมากจะมาจากเงินเดือนซึ่งออกในช่วงปลายเดือน แต่บริษัทจะมีรายได้อยู่ตลอด
ซึ่งงบการเงินจะแสดงถึงสภาพคล่องทางการเงิน หรือถ้าหากมีจุดบกพร่อง ขาดดุล ก็จะทราบได้ทันที การจัดทำงบการเงินส่วนบุคคลแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ
1.งบรายรับ-รายจ่าย รายเดือน แยกเป็น 4 ส่วนชัดเจนคือ
-รายรับ อาจจะเป็นเงินเดือน เงินจากการค้าขาย เงินจากค่าเช่าต่างๆเป็นกระแสเงินบวกให้กับเรา
-เงินออม เป็นส่วนที่เราหักออกมาจากรายได้ หรือเป็นส่วนที่เหลือจากรายจ่ายก็แล้วแต่ ที่เราจะออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหรือตามความต้องการของเรา
-ค่าใช้จ่าย ในส่วนนี้ค่อนข้างเจ็บใจในการทำงบการเงินเพราะมันทำให้เราเสียเงิน แต่ก็สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องเขียนลงไปให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่จำเป็นเช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสารพัดแล้วแต่บุคคล
-เงินคงเหลือ เป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่มีอยู่น้อย ถึงกับไม่มีเลย บางคนถ้าไม่หักเงินออมไว้ตั้งแต่ต้นเดือนก่อน เงินคงเหลือในส่วนนี้ก็จะไม่มีเลย ข้อนี้สำคัญตรงที่จะทำให้เราเห็นภาพได้ชัดว่าในเดือนนั้นๆ เรามีเงินเพิ่มหรือลดลงอย่างไร
งบรายรับ รายจ่าย ประจำเดือน
2.งบดุล แยกรายการของทรัพย์สินและหนี้สินให้ชัดเจน ข้อนี้จะสื่อถึงความมั่งคั่งของเรา มีทรัพย์สินมากก็คือมั่งคั่ง มีหนี้สินมากก็ทำให้เรามีรายจ่ายมาก เงินก็จะติดลบได้ง่าย โดยเกณฑ์การจำแนกง่ายๆคือ สิ่งที่มีรายได้ให้ กับสิ่งที่มีรายจ่ายให้เรา เป็นเกณฑ์แยกอย่างง่าย
เช่น รถยนต์ที่จอดอยู่ที่บ้าน แต่เรากลับนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปทำงานทุกวัน อันนี้ก็ถือเป็นหนี้สิน เพราะเราต้องเสียค่าบำรุงรักษา ต่อทะเบียนมันทุกปี โดยที่มันไม่ได้มีส่วนช่วยให้เรามีค่าใช้จ่ายที่ลดลง หรือสร้างรายได้ให้เราเลย เป็นต้น
งบดุล ทรัพย์สิน หนี้สิน
3.บันทึกรายจ่ายประจำวัน เป็นข้อที่เราได้ยินเป็นประจำว่าใครอยากรวย อยากมีเงินเหลือ ให้จดบันทึกรายจ่ายทุกวัน แต่มันจะไม่ช่วยอะไรเราเลยถ้าเราจดไปโดยที่ไม่ได้กลับมาดูเลยว่า เงินของเราไหลไปที่ไหน ใช้ไปกับอะไร แล้วเรามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ ถ้าไม่ได้มาพิจารณาในส่วนนี้การจดบันทึกทุกวันก็ไม่มีประโยชน์
บันทึกรายจ่ายประจำวัน
เมื่อเราทำงบการเงินเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าเรามีสภาพการเงินแบบใด ทุกเดือนมีเงินเพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือเงินของเราติดลบทุกเดือน ต้องกู้เงินมาหักกลบลบหนี้เป็นประจำ การใส่ใจในสถานภาพทางการเงินของตัวเอง ผมถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในด้านการเงินเลยทีเดียว
สุดท้ายคือ แผนการเงินในอนาคต ข้อนี้คล้ายๆกับการทำงบการเงินส่วนบุคคล ต่างกันเพียงเป็นการทำล่วงหน้าอย่างน้อย 12 เดือน เพื่อเป็นการคาดคะเนว่าสภาพการเงินในอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะจัดการอย่างไรหากเกินสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
วางแผนการใช้จ่ายในอนาคต
4.เรียนรู้เรื่องการลงทุน
เมื่อเราทราบสถานะทางการเงินของเราค่อนข้างจะชัดเจนดีแล้ว ทีนี้มาพูดถึงเรื่องที่สามารถทำให้เงินของเรางอกเงยได้ โดยที่เราไม่ต้องลงแรงโดยตรง ที่ว่าไม่ต้องลงแรงโดยตรงก็คือ ต้องศึกษาการลงทุนนั้นๆให้ถี่ถ้วน
การศึกษาการลงทุนแบบนี้ก็เป็นการลงแรงทางอ้อมเช่นเดียวกัน หรืออาจจะเป็นการลงแรงหนักๆเพียงครั้งเดียวแล้วคอยดูแลเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นในระยะยาว ผมจะยกตัวอย่างการลงทุนหลักๆ แบ่งเป็น 5 ประเภท
-ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ตราสารเงิน และการลงทุนในพันธบัตร หุ้นกู้ระยะยาว ผมจับมันมัดรวมเป็นข้อเดียวเพราะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกัน ต่างกันแค่ระยะเวลาในการลงทุน สำหรับตราสารหนี้ระยะสั้น หรือตราสารเงินเป็นการลงทุนที่จะสิ้นสุดใน 1 ปี
โดยได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ซึ่งจะได้เงินคืนรวดเร็ว แลกมากับดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่ชนะเงินเฟ้อเลยก็ว่าได้ โดยเราจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ที่ให้บริษัทต่างๆกู้เงินเราไปลงทุน เช่น ตราสารหนี้บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร ตราสารหนี้บริษัทปูนซีเมนต์ไทย เป็นต้น
https://www.set.or.th/set/education/html.do?name=bond
ส่วนการลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ระยะยาว โดยส่วนมากจะใช้เวลาลงทุน 5-10 ปี พันธบัตรหรือหุ้นกู้ คือใบแสดงหลักฐานว่า ลูกหนี้(ผู้ออกพันบัตรหรือหุ้นกู้) ได้ยืมเงินของผู้ลงทุนไปจำนวนเท่าไหร่ แล้วจะใช้คืนวันไหน จ่ายดอกเบี้ยเท่าไหร่ เราในฐานะผู้ลงทุนก็จะอยู่ในสถานะเจ้าหนี้
นิยมเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ของบริษัทใหญ่ๆ ที่มั่นใจได้ว่าสามารถชดใช้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามกำหนดได้ การลงทุนแบบนี้ค่อนข้างจะปลอดภัย เพราะไม่ทำให้เงินลงทุนของเรามีความเสี่ยงที่จะลดลงไป แต่ก็ต้องแลกมากับผลตอบแทนที่น้อยกว่าการลงทุนในหุ้นนั่นเอง
https://www.set.or.th/set/education/html.do?name=bond&showTitle=F
-ลงทุนในหุ้น การซื้อหุ้นจริงๆแล้วหมายถึง การที่เราเข้าไปซื้อสิทธิความเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ เราจึงเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับการมีกำไรและขาดทุนของบริษัท ที่จะสะท้อนผ่านราคาของหุ้น ซึ่งก็ถือเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในหุ้นกู้ หรือพันธบัตร
เพราะถ้าเรามีการศึกษารูปแบบการลงทุน ศึกษาผลประกอบการ ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ และคาดการไปถึงอนาคตที่เราจะซื้อแล้วถือหุ้นนั้นไว้ได้ ผลตอบแทนที่ได้จะให้ได้มากกว่าการไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเดียวกันเสียอีก
ทั้งนี้สำหรับผมจะเน้นการลงทุน ในแบบระยะยาว ซื้อหุ้นแล้วถือครองไว้ เพื่อรับปันผล และราคาของหุ้นที่เราวิเคราะห์ดีแล้วว่าจะขึ้นแน่ๆในอนาคต ผมจะไม่ลงทุนระยะสั้นที่ว่าราคาขึ้นก็ขายทิ้ง ราคาลงก็ปวดหัวเพราะเงินต้นหาย และสำหรับหุ้น ยิ่งเรารู้มากเรายิ่งเสี่ยงน้อย ยิ่งเรารู้น้อยเรายิ่งเสี่ยงมาก
การลงทุนในหุ้น
-ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ใครๆก็อยากลงทุน จากการที่เห็นความร่ำรวยของบุคคลในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อยู่มากมาย แต่ก็ไม่น้อยที่ต้องขาดทุนหรือระบบการเงินพังเพราะอสังหาก็มี
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีหลายรูปแบบ เช่น บ้านจัดสรร ที่ดินให้เช่า โรงงาน โกดัง บ้านพัก หอพัก คอนโด ตึกแถว อาคารพาณิชย์ และอีกหลากหลายรูปแบบจากการทำประโยชน์ที่เกิดจากการมีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง
http://เพื่อนนักลงทุน.com/wp-admin/setup-config.php
สำหรับการเริ่มต้น ผมจะแนะนำอสังหาในแบบที่มีรายรับให้เราทุกเดือน ก็คือประเภทที่เอาไว้ปล่อยเช่าได้ ไม่ว่าจะเป็น คอนโด บ้านเดี่ยว ตึกแถว หรือหอพักก็ตาม อสังหาเหล่านี้เราสามารถลงทุนได้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเองทั้งหมดของราคาอสังหาชิ้นนั้น
ใช้หลักการกู้ธนาคาร แล้วคำนวณให้รายรับจากค่าเช่าและอื่นๆมาทบเงินที่ต้องชำระกับธนาคารในทุกๆเดือน เมื่อนำเงินจากค่าเช่านั้นไปจ่ายธนาคารแล้วที่เหลือก็เป็นของเรา เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเองจริงๆ
อสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า
แต่ทั้งนี้ความเสี่ยงก็จะเกิดขึ้นได้หากเราทบทวนหรือวิเคราะห์น้อยเกินไป โดยไม่วิเคราะห์ผลกระทบอื่นๆในระยะยาวว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ใดๆที่ส่งผลต่อผู้เช่า หรือทำให้ผู้เช่าของเราน้อยลงไป
อย่างที่บอกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าเรารู้มากเราก็เสี่ยงน้อยดังว่า การลงทุนอสังหาที่ว่ามานี้เป็นเพียงการยกตัวอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หลายรูปแบบมากๆ อยากให้ทุกท่านไปศึกษาเพิ่มให้มากๆนะครับ
-การลงทุนในของสะสมมีค่า ข้อนี้คงต้องเป็นกลุ่มคนที่รู้จริงในเรื่องนั้นๆอย่างเฉพาะตัวมาก ต้องรู้ทั้งราคาตลาด แนวโน้มของราคาในอนาคต รวมถึงความนิยมใรสิ่งของสะสมนั้นๆในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
สะสมของมีค่า
ของสะสมที่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น นาฬิกา รถยนต์ กระเป๋า ไวน์ ภาพวาด เครื่องประดับ รถโบราณ เรียกได้ว่าการลงทุนแบบนี้ค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่มจริงๆถึงจะเข้าใจ และประเมินความเป็นไปในอนาคตได้ ยิ่งหายากยิ่งแพง ยิ่งมีความต้องการมากราคาก็ยิ่งมาก
ถ้าหากเราเป็นคนนอกวงการก็อาจจะค่อยๆศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เราอยากสะสมไว้ลงทุนก็ได้ ค่อยๆเรียนรู้ไป เพราะโอกาสที่จะได้กำไร 10-100 เท่าเป็นไปได้ไม่ยากเลย
-ลงทุนทรัพย์สินทางปัญญา ข้อสุดท้านนี้อาจจะดูยากไปซักหน่อย แต่ก็เป็นหนึ่งในการลงทุนที่มีอยู่ แล้วก็สร้างรายได้ให้กับเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญานั้นๆได้ไม่น้อย
ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาที่ว่ามานี้ เช่น หนังสือ เพลง ภาพถ่าย วีดีโอบนYoutube เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เมื่อตอนสร้างมันขึ้นมา มันจะยังไม่ให้ผลตอบแทนอะไรกับเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีคนเข้ามาใช้ เข้ามาสนใจมันมากขึ้น เราก็จะได้ผลผลิตจากมันโดยที่เรานอนอยู่บ้านเฉยๆยังได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำงานหรือทำอะไรอีกเลยตลอดชีวิตนะครับ เพราะยังไงของเหล่านี้มันก็มีวันเสื่อมค่า มีวันที่มันจะเสื่อมความนิยมลงไป เราจึงไม่ควรหยุดที่จะพัฒนามันไปอีกเรื่อยๆ
ทรัพย์สินทางปัญญา
สุดท้ายนี้ผมอยากฝากไว้ให้ทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านว่า การเข้าใจตัวเองให้ถ่องแท้ ปรับแก้เมื่อผิดพลาด เสริมในส่วนที่ยังขาด จะทำให้เราสำเร็จทางการเงินได้ไม่ยาก
และไม่มีการลงทุนใดๆ ในโลกใบนี้ที่มันจะง่ายดายชนิดที่ว่านอนตีพุงก็มีเงินมีทองใช้ อย่าเร่งรีบกับการลงทุน จึงศึกษาให้ชัดเจนและถูกต้อง เมื่อมั่นใจแล้วก็ปล่อยให้เงินทำงานของมัน
ติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
โฆษณา