14 ต.ค. 2019 เวลา 03:00 • บันเทิง
ตอนที่ 20 ก่อน
https://youtu.be/xUGZWBDfgks?t=151
20:50 น.
สัมผัสเย็นเฉียบของราวสะพานพุทธทำให้รู้สึกว่ามือผมยังอุ่นอยู่
ผมทอดสายตาออกไปไกล ๆ ผ่านความมืดของสายน้ำเจ้าพระยา
แสงสะท้อนดวงไฟในริ้วคลื่นเล็ก ๆ สั่นกระเพื่อมพริ้วไหวราวกับเชื้อเชิญให้ผมร่วมเต้นรำ
สายลมเอื่อย ๆ โอบรอบตัวผม แต่ก็ไม่อบอุ่นเหมือนกับการกอดที่ผมต้องการ
เสียงกลุ่มวัยรุ่นเดินผ่านข้างหลังฟังดูสนุก
หวังว่าวันพรุ่งนี้ของพวกเขาจะมีมากพอที่จะทำความฝันสำเร็จ
ผมหยิบมือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์ข้อความ
“เจอกันครั้งหน้าเราขอกอดเธอได้มั้ย”
นิ้วโป้งเกิดลังเลว่าจะกดส่งดีไหม แต่ช่างมันเถอะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน
แล้วแรงโน้มถ่วงของโลกก็ดึงนิ้วโป้งของผมให้ต่ำลง
20:00 น.
“เราขอจับมือเธอได้หรือเปล่า” ผมรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงสั่น ๆ ออกไป ผมอยากกอดเธอด้วยซ้ำ แต่ด้วยสถานที่ เอ้อ ไม่ใช่ละ จะอ้างสถานที่ทำไมกัน ไม่ว่าจะที่ไหนผมก็ไม่กล้าพอที่จะขออยู่ดี
เธอคว้ามือผมขึ้นมาแทนคำตอบ
“มือนายเย็นนะ แต่เดี๋ยวก็อุ่น เชื่อมือฉัน”
ผมเห็นสายตาเธอจ้องมองสองมือที่ลูบไล้ไปมาจนผมรู้สึกแปลก ๆ
กว่าเธอจะสังเกตเห็นว่าผมมองเธอ ทุกตารางนิ้วของมือผมคงอยู่ในหัวเธอแล้ว
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันจะผ่านไปด้วยดี” เธอพูดพลางค่อย ๆ ปล่อยมือผมช้า ๆ แล้วอ้อยอิ่งที่ปลายนิ้ว
“เอามือเราไปเล่นที่บ้านมั้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะอยากเห็นเธอยิ้ม
“ไอ้บ้า” เธอคงไม่ได้หมายความอย่างที่เธอพูดหรอก ก็เธอยิ้มแล้วแลบลิ้นแบนใหญ่ใส่ผมนี่นา
เราเดินออกมาจากร้าน ผมอยากชวนเธอเดินเล่นอีกสักนิด
“มืดแล้ว ต้องกลับบ้านละ” เธอมองท้องฟ้าแล้วตัดบท
“โชคดีนะ เดินทางปลอดภัย วันนี้เราสนุกมาก” ผมยิ้ม ยกฝ่ามือขึ้นมาระดับหัวไหล่โบกไปมาเล็กน้อย
‘อื้มมม โชคดี ไว้นัดกันใหม่นะ”
ผมมองเธอจนลับสายตาแล้วเดินเล่นไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย
ผ่านเสาชิงช้า ดิโอลด์สยาม พาหุรัด
19:40 น.
หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวข้างทางไปคนละ 2 ชาม มันต้องตบท้ายด้วยของหวานสิ
ร้านมนต์คือเป้าหมายต่อไป
เธอสั่งนมช็อคโกแลต 1 ขวด ขนมปังเนยช็อกโกแลต 1 แผ่น เนยน้ำตาล 1 แผ่น
https://www.edtguide.com/drink/61932/mont-nom-sod
“นายสั่งของนายเลย ห้ามแย่งด้วย” สีหน้าเธอดูจริงจังมาก
“เอาเหมือนกันครับ” ผมหันไปบอกพนักงาน
“เกลียดคนเลียนแบบ” เธอพูดลอย ๆ
“ก็ชอบแบบที่เธอสั่งนี่ ถ้าเราสั่งก่อน เธอก็เลียนแบบเราเหมือนกัน”
“ไม่ ฉันจะสั่งอย่างอื่น จะได้แย่งกินไม่ซ้ำรส”
“ขนมปังขอเปลี่ยนเป็นเนยแยมสตรอเบอรี่กับเนยเผือกนะคะ”
เรานั่งคุยกันเพียงแค่สองเรื่องของที่สั่งมาทุกอย่างก็หมดเกลี้ยง
อันที่จริงตอนที่ขนมปังเธอหมด ผมเพิ่งกินไปได้ 4 ชิ้น
ผมทนสายตาเว้าวอนของเธอไม่ได้จึงยกขนมปังทั้งหมดให้เธอ
“จำที่เธอคุยกับเราเรื่อง Source Code ได้หรือเปล่า พระเอกถามนางเอกว่า ถ้าชีวิตคุณเหลือไม่ถึงนาที คุณจะทำอะไร นางเอกตอบว่า I'd make those seconds count.”
“จำได้สิ ฉันชอบประโยคนี้มาก มีอะไรเหรอ”
“เราว่าไม่ถึงนาทีมันสั้นไป ถ้าเปลี่ยนเป็นไม่ถึงวันล่ะ เธอจะทำอะไร”
เธอนิ่งคิดนิดหนึ่ง
“ฉันคงพาคนในครอบครัวไปเที่ยวมั้ง ใช้ทุกนาทีให้คุ้มเหมือนที่นางเอกบอก แล้วนายล่ะ”
ผมนิ่งเงียบ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พยายามเก็บทุกสิ่งที่มองเห็น ทุกเสียงที่ได้ยิน ทุกกลิ่นที่ได้สูด
แล้วพูดไปตามที่ผมตั้งใจไว้
18:30 น.
“นายชอบภาพนี้เหรอ” เสียงใส ๆ แว่วมาจากข้างหลัง คงเป็นเพราะผมยืนตรงนี้นานแล้ว
“อือ ชอบ น่ารักดี ความรักนี่ไม่มีกำแพงกั้นเนอะ”
ในภาพนั้นมีเรือนไม้เก่า ๆ ล้อมรอบด้วยสวนผัก ผลไม้ คนวาดเก็บรายละเอียดดีมาก เห็นพริกเม็ดเล็ก ๆ ใบกะเพรา มะนาว มะละกอ กล้วย
ใกล้ ๆ กันมีแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มเงาไม้ หญิงชราร่างอ้วน ผิวคล้ำ กำลังนอนหนุนตักชายหนุ่มผิวขาวผอมกะหร่องจนเห็นซี่โครง ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุข ท่ามกลางท้องฟ้าสดใส เหล่านกน้อยร้องเพลง
“แม่ลูกกันหรือเปล่า ดูอายุห่างกันเยอะมาก” เสียงของเธอเจือความสงสัย
“เราคิดว่าเค้าคงอยู่ด้วยกันแบบเพื่อนสนิทต่างวัย รู้สึกปลอดภัย อบอุ่น ได้หัวเราะกันจนปวดท้อง ตดเรอใส่กันเป็นเรื่องขำ ๆ”
“ฉันไม่เอาด้วยล่ะ ถ้าต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตก็อยากให้อายุไม่ห่างกันมาก คุยกันรู้เรื่องด้วย แล้วยิ่งอายุห่างกันมาก ๆ เกิดเค้าตายก่อน ฉันก็ต้องทุกข์อีกหลายสิบปีเลย”
“นั่นสิ ถ้าได้แก่ตายอ่ะนะ” ผมพูดท่อนหลังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ
“จะทุ่มแล้ว ที่นี่ปิดทุ่มนึง ไปหาอะไรกินกัน”
“นายเลี้ยงนะ”
“หารครึ่งสิ... ล้อเล่นน่า สบายมาก” เธอทำแก้มป่องเมื่อได้ยินประโยคแรก น่าทัชชะมัด
13:28 น.
“ดูสิ มีกิจกรรมสอนวาดภาพสีน้ำด้วย เข้าไปดูหน่อยนะ” น้ำเสียงเหมือนเด็กน้อยเห็นของเล่นทำให้ผมรู้สึกสนุกไปด้วย
“เราอยากหัดวาดเหมือนกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันสอน” ผมเคยเห็นภาพสีน้ำฝีมือเธอแล้ว และนั่นทำให้ผมเริ่มสนใจงานศิลปะ
ผมเลื่อนเก้าอี้ออกมาให้เธอนั่ง บนโต๊ะตรงหน้าแต่ละคนมีกระดาษ 1 แผ่น พู่กัน 3 ขนาด จานสี แก้วใส่น้ำ สีหลอด น้ำเงิน แดง เหลือง เขียว ส้ม ม่วง น้ำตาล
“นายวาดอะไรน่ะ นมผู้หญิงเหรอ ลามก”
“ไม่ใช่ซะหน่อย ภูเขาสองลูกแล้วมีลำธารไหลลงมาต่างหาก”
“ภาพสุดฮิตของเด็กน้อยหัดวาดนี่เอง”
“ก็เราวาดไม่เป็นนี่ ไหนว่าจะช่วยสอน”
เธอใส่ใจสอนผม ทั้งการผสมสี การลากเส้นพู่กันขนาดต่าง ๆ วางแผนลงสีจากสว่างไปมืด อื่น ๆ อีกมากมาย มันเป็นช่วงเวลาธรรมดาที่น่าจดจำ แล้วเธอก็แยกไปวาดภาพของตัวเอง
“วาดเสร็จยัง ดูหน่อย” เสียงใส ๆ เจื้อยแจ้วราวกับเด็กน้อยช่างถาม
“ว้าว ภาพสุดฮิตนี่สวยไม่เบาเลย เอ้านี่ แลกกัน” เธอยื่นกระดาษที่เธอวาดให้ผม
“เฮ้ย น่ารัก ชอบมาก ขอบคุณนะ” มันเป็นภาพเด็กเนิร์ด ผมฟูเหมือนไอน์สไตน์ มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นตัวผมเอง
เธอยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่ทำให้โลกของผมสดใสขึ้น
09:35 น.
https://youtu.be/8GEKUuxqHyk?t=354
ผมมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เดินวนไปมาช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้น
ผมบอกเธอว่าผมใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงสามส่วนสีกากี รองเท้าหุ้มส้นสีครีม ถ้าเจอให้ทักได้เลย
ให้ตายเถอะ มีคนแต่งตัวเหมือนผมตั้งสามคน
ไม่นานผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปทักคนที่แต่งตัวเหมือนผม แล้วก้มหัวผงก ๆ
เป็นเธอแน่ ๆ ผมยกมือขึ้นโบกไปมาสูง ๆ ในอากาศ
นั่น เธอเห็นแล้ว เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผม
รูปร่างเธอออกจะท้วมนิด ๆ ไม่สูงมาก ผมสามารถเกยคางบนหัวเธอได้สบาย
มองลอดผ่านแว่นเห็นดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใส จมูกใหญ่ไร้ดั้ง
ฟันยื่นน้อยกว่าแก้วหน้าม้านิดนึง ผมยาวตรงประบ่า ดูรวม ๆ เธอก็มีเสน่ห์ในแบบของเธอ
“ใช่โจหรือเปล่าคะ” เธอคงอยากแน่ใจว่าเป็นผมจริง ๆ
“ใช่ครับ”
“โห ชุดนายโคตรโหลอ่ะ ทักผิดเลย นายดูดีกว่าที่คิดไว้อีก”
“อยากรู้จริงว่าในความคิดเธอ รูปร่างหน้าตาเราเป็นยังไง แต่เธอใกล้เคียงกับที่เราคิดไว้นะ”
“ไม่บอก นั่น ประตูเปิดแล้ว เข้าไปกัน” เธอยิ้มยียวนตอบผมขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเปิดประตูพอดี
5 วันที่แล้ว
“ไอ้โจ มึงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้ายว่ะ” หมอเคเพื่อนผมพยายามเค้นเสียงแหบพร่าออกมาจากลำคอ
ผมนิ่งพักหนึ่งแล้วยิ้มนิด ๆ อย่างไม่แยแสกับโรคร้ายที่เพิ่งได้ยิน ถึงคิวผมแล้วสินะ แซงคิวเพื่อน ๆ หลายคนเลย
“ไอ้เหี้ย ทำหน้าระรื่น มึงไม่กลัวเหรอวะ”
“ถ้ากลัวแล้วหาย กูจะเปิดหนังผี หนังฆาตกรรม ดู 24 ชั่วโมงเลย มึงก็รู้กูตัวคนเดียวไม่มีอะไรให้ห่วง มึงก็ต้องตายเหมือนกัน กูแค่ไปก่อน ไปเป็นรุ่นพี่มึงไง”
“เออ แล้วมึงมีอะไรอยากทำก่อนตายบ้าง กูช่วยมึงเต็มที่” เสียงของมันกลับมาเป็นปกติ
“ไม่มีว่ะ ตอนนี้ยังนึกไม่ออก”
“มึงอยากเจอใคร มันต้องมีคนที่อยากเจอก่อนจากโลกนี้ไปบ้างสิวะ เอางี้ เดี๋ยวกูนัดเพื่อน ๆ เลี้ยงส่งมึง”
“ไม่ต้องเสือกเลยมึง กูอยากไปเงียบ ๆ”
ทันใด ใครคนนั้นก็แว่บเข้ามาในหัว
“กูนึกขึ้นมาได้คนนึงว่ะ กูเคยคุยกับเค้าช่วงสั้น ๆ แล้วจู่ ๆ ก็หายไปจากชีวิต”
“ผู้หญิงผู้ชายวะ”
“กูก็ไม่รู้ เค้าใช้คำแบบผู้หญิงก็น่าจะเป็นผู้หญิงมั้ง”
“อ้าว ไอ้เหี้ย มึงไม่เคยเจอเค้างั้นสิ”
“เออ กูคุยผ่านแอพว่ะ แต่นี่มันก็จะ 4 ปีแล้ว”
“มึงนัดเจอเลย กูเอาใจช่วย”
“กูไม่รู้ว่าเค้ายังเล่นแอพนั่นอยู่หรือเปล่า”
“ถ้ามึงคิดถึงเค้ามากพอ ยมบาลอาจเห็นใจมึง”
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดแอพที่ผมก็เลิกใช้มานานเหมือนกันแต่ยังไม่ได้ลบออก
ข้อความสุดท้ายในกล่องยังเป็นข้อความเดิม เหมือนถูกหยุดเวลาไว้
ผมนึกออกอยู่ที่หนึ่ง บางทีถ้าเธอได้เห็น เธออาจจะอยากไป
ผมพิมพ์ข้อความอย่างตั้งใจและคงเผลอร่ายเวทมนต์อย่างที่เคยอ่านในนิยายเรื่องหนึ่ง
“ไปหอศิลป์กันมั้ย”
มันเป็นข้อความสั้น ๆ แต่ได้ผล เธอตอบกลับมาในอีก 3 วัน
.
.
หลังจากที่ผมไปหอศิลป์ราวสองอาทิตย์ อาการผมก็ทรุดฮวบ
ผมกลายเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลที่หมอเคอยู่
สภาพของผมตอนนี้เหมือนเด็กทารกตัวน้อย ๆ ต้องใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา
เพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมผมต่างก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่
ในห้องนั้นมีผมคนเดียวที่ยิ้ม คนเดียวเท่านั้น
เช้าธรรมดาวันหนึ่ง
ผมได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากมือถือ ผมรอกระทั่งหมอเคเข้ามา
“มื อ ถื อ” ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะเปล่งเสียงออกมาให้เป็นคำ
“อะไรนะ มือถือเหรอ กูหาแป๊บ” หมอเคเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง เปิดลิ้นชักทุกชั้น
“มึงวางไว้ตรงไหนวะ”
“ห ม อ น” ยากจริง ๆ ที่จะสื่อสารในยามนี้
หมอเคควานหาใต้หมอนแล้วหยิบมือถือของผมออกมา
“กูเจอแล้ว มีแจ้งเตือนจากแอพว่ามีข้อความเข้าว่ะ เดี๋ยวกูเปิดก่อน”
'ไม่ได้หรอก เราเพิ่งรู้จักกันในโลกจริง แต่ถ้าเราเจอกันหลายครั้งแล้ว นายลองถามใหม่นะ'
“ให้กูพิมพ์ตอบป่ะ”
ผมยิ้ม มองภาพวาดสีน้ำที่แปะอยู่บนเพดาน พยักหน้าเบา ๆ
“พิมพ์ว่าอะไร” หมอเคยื่นหูเข้ามาใกล้กับปากผม
“ข อ บ คุ ณ”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินบนโลกใบนั้น
ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะไม่มีสำหรับเรา เราขอกอดเธอในฝันนะ
ผมปิดภาพมิติคู่ขนานของโลกนั้น
“ดูไม่เบื่อเลยนะ โลกมิตินั้นน่ะ” เสียงแข็ง ๆ กระซิบจากด้านหลังผมเหมือนทุกที
“ก็มันเป็นหนึ่งในไม่กี่มิติคู่ขนานที่ผมได้ใกล้ชิดเธอนี่นา ถึงผมจะตายก็เถอะ”
กลุ่มควันคล้ายไอร้อนสีดำเคลื่อนมาข้างหน้าช้า ๆ
“เรื่องความรักข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรซะด้วย แต่ถ้าเจ้ามีลูกแล้ว พลังพิเศษของข้าอย่างไหนนะที่มันจะคู่ควร หึ หึ”
.
.
"ตื่น ตื่น คิดนานจัง" มืออวบวาดขึ้นลงข้างหน้าผม ผมย้อนเวลาหรือฝันไปกันนะ
บนโต๊ะมีขวดนม ถาดกระดาษใส่ขนมปังที่หมดเกลี้ยง ส้อมจิ้ม
"เราขอกอดเธอได้มั้ย" ผมโพล่งออกไปก่อนความคิด
"ได้สิ" เธอลุกขึ้น เดินเบี่ยงหลบเก้าอี้มาหาผม
ผมลุกขึ้น กางแขนออกช้า ๆ ก้มลงนิดหนึ่งโอบกอดเธอ
แล้วทุกสิ่งก็หยุดเคลื่อนไหว คงเหลือเพียงสัมผัสที่อบอุ่น
"ขอบคุณ"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา