Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Culture Butterfly by Nina
•
ติดตาม
23 ต.ค. 2019 เวลา 09:54 • ไลฟ์สไตล์
Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา (Episode 2)
มาต่อจากบทความที่แล้วกันเถอะ ใครยังไม่อ่านอย่าลืมไปอ่านตอนที่แล้วก่อนนะ จะได้ต่อติด ...
https://www.blockdit.com/articles/5d8c419a4b1ade063b4555ed
คำถามจากครั้งที่แล้ว หลังจากที่เห็นคนแก่ดูแลตัวเองเต็มไปหมดคือ "ทำไมลูกๆที่อเมริกาถึงไม่อยู่กับพ่อแม่เพื่อดูแลพ่อแม่?" แต่นีน่าก็มาเจออีกเหตุการณ์นึงที่ทำให้เกิดคำถามที่ตรงข้ามกัน คือ "ทำไมพ่อแม่อเมริกันถึงอยากให้ลูกๆออกจากบ้านเมื่อลูกๆอายุประมาณ 18 ปี?" คือสรุปเขาก็ไม่ดูแลลูกๆเหมือนคนไทยที่ยังคิดว่าลูกอายุ 18 ปีนั้นยังเด็กอยู่ ก็ยังคงต้องดูแลเหมือนเดิม
เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดคำถามที่ 2 ขึ้นมา เกิดขึ้นเมื่อตอนที่นีน่าเริ่มทำงานกับคนอเมริกันที่อเมริกาแล้ว ก็ห่างจากเหตุกาณ์ตอนแรกประมาณ 2-3 ปีได้ นีน่าได้ยินเพื่อนอเมริกันคนหนึ่งบ่นมาหลายวันแล้วว่าเมื่อไหร่ลูกชายของเขาซึ่งอายุ 18 ปีแล้วจะออกจากบ้านซะที เขาแทบทนไม่ไหว คุยกับลูกหลายทีแล้วก็ยังไม่ยอมออกจากบ้านสักที ฟังไปนีน่าก็แทบทนไม่ไหวหมือนกันก็เลยโพล่งออกไปวันหนึ่งว่ายูเป็นอะไร ไม่รักลูกเหรอ เห็นบ่นมาหลายวันแล้ว ทำไมถึงอยากให้ลูกออกจากบ้านนักหนา เขาออกจากบ้านแล้วเขาจะไปไหน นีน่าก็บ่นๆประมาณว่าทำไมยูใจร้ายจัง ไม่รักลูกเลย เขาก็เลยมานั่งอธิบายให้ฟังว่า ก็เพราะเขารักลูก เขาถึงอยากให้ลูกสามารถยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองให้ได้ อายุ 18 ปี เขาถือว่าโตพอแล้ว คือเขามองด้าน physical (สรีระ) ว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องคอยมีพ่อแม่ดูแล ส่วนด้านจิตใจก็ต้องออกไปเจอประสบการณ์เอง ก็เรียนรู้กันไป เพื่อนนีน่าเน้นว่าก็เพราะเขารักลูก แล้วเขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะดูแลลูกได้ตลอดไป สักวันเขาก็ต้องตายเพราะฉะนั้นเขาต้องการให้ลูกสามารถที่จะเรียนรู้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง ลูกจะต้องรู้จักการรับผิดชอบชีวิตตัวเอง สามารถจะทำงาน หาเงิน ดูแลตัวเองได้เหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่งเลย นั่นหมายถึงว่าลูกของเขาต้องออกไปหาที่อยู่เอง เลือกเอง ตัดสินใจเองว่าจะอยู่ที่ไหน ค่าเช่าต่อเดือนเท่าไหร่่ งานที่จะทำ(ขณะเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย)และเงินเดือนจะพอกับค่าเช่าไหม ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่นๆจะหามาอย่างไร ซื้อของใช้ หาข้าวกินหรือจะทำข้าวกินเองอย่างไร ช่วงแรกๆพ่อแม่ก็จะคอยช่วยเหลืออยู่ แต่เขามีคอนเซปต์ว่าลูกต้องช่วยตัวเองก่อน ต้องพยายามเต็มที่ก่อน พ่อแม่อเมริกันก็จะให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจด้วย แต่อย่างที่บอกไป เขาจะให้คำแนะนำ คอยเป็นกำลังใจให้ แต่ลูกต้องตัดสินใจเองเพราะเป็นชีวิตของลูกๆเอง เขาจะชัดเจนมากในเรื่องนี้
ทำให้นีน่าหวนไปคิดอีกเรื่องที่เจอตอนเรียนปริญญาโท นีน่าต้องเรียนตอนเย็นคือเรียนหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม แทบทุกวันก็จะเห็นเพื่อนคนหนึ่งมาเข้าเรียนสายตลอด ก็นึกแอบด่าเขาอยู่ในใจ จนวันหนึ่งก็ถามเขาแบบดูถูกนิดๆว่ายูมาสายประจำ ทำอะไร ทำไมไม่มาให้ทัน class เขาก็บอกแบบซื่อๆว่าก็เขาต้องทำงาน พึ่งทำงานเสร็จตอนห้าโมงเย็นก็รีบมาทันที ไม่งั้นเขาจะเอาเงินที่ไหนมาเรียนหนังสือ นีน่าในตอนนั้นเหมือนโดนตบหน้า ว่าเราไป judge เขาทั้งๆที่ตัวเองนั่นแหล่ะที่ไม่รู้อะไรเลย ตอนนั้นนีน่าก็อายุประมาณ 20 ต้นๆ จบปริญญาตรีก็ทำงานประมาณปีเดียวก็มาเลย พ่อแม่ก็ออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง ไม่เคยต้องกังวลอะไรเลย หลังจากนั้นนีน่าด้วยความอายก็เลยไปทำงานเป็นเด็กเสริฟที่ร้านอาหารจีน (ก็มีเรื่องสนุกหรือไม่สนุก แต่คงต้องเล่าในตอนต่อๆไป) ทำงานเก็บเงินได้เยอะเลยเพราะเก็บอย่างเดียว ไม่ต้องเอามาใช้ แล้วก็มีไปทำงานเป็น GA (Graduate Assistant) ในแผนก International Students ของมหาลัยที่ตัวเองเรียน ได้เงินเดือนบวกกับค่าเรียนที่มหาลัยจะออกให้เราทั้งหมด ก็เป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เราโตขึ้น รู้จักการดูแลชีวิตตัวเองทางด้านการเงิน และเรื่องทั่วๆไป
สรุป วัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นของประเทศไหนก็มีความสวยงาม ขึ้นอยู่กับความเชื่อของชนชาตินั้นๆ อยากจะบอกว่าเด็กไทยโดยทั่วไป ค่อนข้างโชคดีที่มีพ่อแม่ดูแล คอยช่วยเหลือในทุกๆอย่าง นีน่าก็แชร์กับเพื่อนๆอเมริกันว่า ถ้านีน่าไม่ได้แต่งงาน ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็คงต้องอยู่กับพ่อแม่ไปเรื่อยๆ แต่ก็อาจจะมีความอึดอัดเพราะจริงๆเราโตแล้ว แต่พ่อแม่ก็จะดูเราเป็นเด็กตลอดเวลา มีทั้งดีและไม่ดี เมื่อไม่กี่วันมานี้ นีน่าพึ่งอ่านข้อความใน group เที่ยวญี่ปุ่น ใน Facebook ก็มีสมาชิกคนหนึ่งมา post ข้อความบ่นน้อยใจว่าทะเลาะกับแม่ เพราะน้องเขาเก็บเงินอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อพักผ่อน แต่แม่ไม่ให้ ก็ทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง ทำให้นีน่าก็รู้สึกถึงความรักและห่วงใยที่พ่อแม่คนไทยมีให้ลูก แต่ถ้ามากไปก็สร้างความอึดอัด กดดัน และทำให้ลูกไม่สามารถรู้จักการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ที่ต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง ไม่ใช่แบมือขอเงินพ่อแม่ตลอด ทำอะไรก็ทำไม่เป็น กว่าจะโตจริงๆก็ตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ก็คงต้องมาเรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่กันเอง in a hard way ...
ส่วนแบบของคนอเมริกันก็เอาตามธรรมชาติเลย พอ 18 โตพอทางร่างกาย ก็ออกไปทำงานเองเลย อยากให้พ่อแม่ช่วยอะไรก็บอก แต่พอช่วยเยอะพ่อแม่ก็อาจจะไม่ช่วยแล้ว เพราะเขาจะพยายามให้ลูกๆดูแลตัวเอง เพราะฉะนั้นลูกๆก็จะมีอิสระที่จะคิด ตัดสินใจเองทุกอย่าง ถ้าผิดพลาดมันก็คือชีวิต ก็เรียนรู้กันไป ไม่ต้องคอยมีพ่อแม่มาโอ๋ตลอด เพราะฉะนั้น ในทางกลับกัน พ่อแม่อเมริกันก็ไม่คิดว่าลูกๆจะต้องมาคอยดูแลตอนแก่ เพราะลูกๆต้องไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ชีวิตใครชีวิตมัน มาเจอกันก็ปีละครั้งช่วงคริสต์มาส หรือเวลาต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น
ตอนนี้นีน่าก็สามารถตอบคำถามที่มีก่อนหน้านี้และมีความเข้าใจมากขึ้น ถ้าถามก็ขอบอกว่าการผสมผสานกันของทั้ง 2 วัฒนธรรมดีที่สุด … ทำอะไรที่ทำให้เรามีความสุขแต่ต้องมีความเข้าใจคนอื่นด้วย
Until next time ...
สนใจอ่านบทความก่อนหน้านี้ กดที่ links ข้างล่างนี้เลยคะ
1. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 1
https://www.blockdit.com/articles/5d7ca38eb352790fa6a95472
2. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 2
https://www.blockdit.com/articles/5d7f3aa9494e230e3f4a669c
3. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 3
https://www.blockdit.com/articles/5d89cd8ada9589133f549e00
8 บันทึก
39
32
12
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Nina's Life @ America
8
39
32
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย