ช่วงเย็นเมื่อวาน คุณพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิตออกมาเปิดเผยครับว่าขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการ เร่งร่วมมือศึกษากับกระทรวงสาธารณสุขในการขยายฐานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ในกลุ่มสินค้าที่มีความเค็ม เพื่อ
ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชน กับการเลือกบริโภคสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ เพราะหลายปีที่ผ่านมาเห็นประชาชนชาวไทยใช้ชีวิตทานอาหารรสจัดมาตลอดครับ กินหวานไปก็ไม่ดี กินเค็มไปก็ไม่ดี
ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวจะเก็บภาษีความหวาน ซึ่งผ่านมาหลายสัปดาห์ก็ถึงข่าวของการจัดเก็บภาษีความเค็มครับ
.
โดยวิธีคือ จะมีการจัดเก็บภาษีตามสัดส่วนของความเค็มหรือโซเดียม หากสินค้าชนิดใดมีความเค็มมากก็จะโดนจัดเก็บภาษีสูงครับ หากสินค้าไหนเค็มน้อยก็โดนจัดเก็บภาษีน้อย
ซึ่งนโยบายนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปเสนอเพื่อเสนอคุณอุตตม สาวนายนภายในสิ้นปี
.
สำหรับภาษีความเค็มนะครับ คุณพชรบอกว่า แม้จะเป็นภาษีตัวใหม่ที่กรมคิดจะจัดเก็บ แต่ในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีการพัฒนาแล้วก็มีการจัดเก็บเช่นกันนะ
และหากถึงเวลาเกิดต้องจัดเก็บภาษีนี้จริงๆ กรมก็จะไม่จัดเก็บในอัตราเดียวทันที แต่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัว เพื่อลดอัตราความเค็มในสินค้าหรือให้เวลาไปปรับสูตรผลิตให้ออกมาดีต่อสุขภาพก่อน โดยจะให้ระยะเวลาผู้ประกอบการปรับตัวอยู่ที่ 1-2 ปี แต่ ณขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะจัดเก็บในอัตราชัดเจนที่ตัวเลขภาษีเท่าไหร่
.
โดยสินค้าที่เข้าข่ายจัดเก็บภาษีความเค็มครับ เบื้องต้นจะถูกคิดจากปริมาณโซเดียมต่อการบริโภคอย่างที่เล่าก่อนหน้า และสินค้าที่จะถูกจัดเก็บแน่นอนก็คือ กลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง อาหารปรุงสำเร็จ อันนี้โดนแน่นอน
ส่วนสินค้าประเภทเครื่องปรุงต่างๆ เช่นน้ำปลา เกลือ ซีอิ๊วขาว รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวสำหรับเด็กจะยังไม่มีการถูกจัดเก็บภาษีครับ เพราะการประชุมมองว่าสินค้าเหล่านี้ไม่ได้มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันแต่อย่างใด เรียกง่ายๆก็คือ เป็นสินค้าที่ประชาชนเลือกเองได้
.
จะว่าไปก็ใช่ว่าจะมีเรื่องนี้ในไทยอย่างเดียวครับ
เพราะก่อนหน้านี้ในการประชุมองค์กรอนามัยโลก หรือ WHO รวมถึงกลุ่มสหประชาชาติ UN เขาก็ได้พยายามผลักดัน ให้หลายประเทศมีนโยบายออกภาษีเพื่อลดปริมาณอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะอาหารเหล่านี้เป็นที่มาของโรคร้ายครับ เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตและโรคมะเร็งด้วย