ทำไมคำว่า island ไม่ออกเสียงว่า อิสแลนด์?
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคำว่า island (ไอแลนด์) ที่แปลว่าเกาะ จึงไม่ออกเสียงว่า อิสแลนด์?
ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่เขียนว่า iLand เหมือน iPhone หรือ ipad ไปเลย
จะใส่ s ไว้ทำไม?
นอกเหนือไปจากคำว่า island แล้วคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมีตัวอักษรที่ไม่ออกเสียงอยู่มากมาย ตัวอย่างอื่นๆที่น่าจะคุ้นเคยก็เช่น
คำว่า debt ที่แปลว่า หนี้ คำนี้ออกเสียว่า เด็ท คือไม่ออกเสียงตัว b
คำว่า doubt ที่แปลว่า สงสัยหรือคลางแคลงใจ คำนี้ก็ออกเสียงว่า เดาท์ คือออกเสียงเหมือนสะกดว่า dout ไม่มีตัว b
คำว่า subtle ที่แปลว่า เป็นนัยๆ ไม่ชัด หรือละเอียด คำนี้ออกเสียงว่า "ซะเทิ้ล" ไม่มีเสียงตัว b คือออกเสียงเหมือนสะกดว่า satle ไม่ได้ออกเสียงว่า ซับ-เทิ้ล
คำว่า knight ที่แปลว่าอัศวิน เราก็ไม่ออกเสียงตัว k แต่ออกเสียงเหมือนการสะกดว่า night (ไนท์)
1
คำถามคือ
ถ้าเราไม่ออกเสียงตัวอักษรเหล่านี้แล้วภาษาอังกฤษใส่ตัวอักษรเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร?
แน่นอนครับ คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเข้าใจได้มากขึ้น ถ้าเราย้อนเวลากลับไปเข้าใจประวัติศาสตร์
1
ผมอยากจะพากลับไปเริ่มต้นที่ประมาณ ศตรวรรษที่ 16
ช่วงเวลานั้น เพิ่งมีการคิดค้นแท่นพิมพ์มาใช้ในยุโรปเป็นครั้งแรกได้ไม่นาน
ลองนึกภาพดูนะครับ ยุโรปก่อนที่จะมีแท่นพิมพ์ หนังสือทุกเล่มต้องเขียนด้วยมือล้วนๆ ปากกาก็เขียนลำบาก หมึกก็ยังต้องฝน
ดังนั้นหนังสือจึงเป็นของที่หายากและแพงมากๆ ชาวบ้านทั่วไปจึงไม่ค่อยได้เห็นหนังสือกันหรอกครับ
เมื่อไม่มีหนังสือ คนก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอ่านหรือเขียน
ภาษาที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นก็จะมาจากการออกเสียงล้วนๆ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ออกเสียงเหมือนกัน
คนแต่ละพื้นที่ก็จะมีสำเนียง(หรือการพูดเพี้ยน)ในรูปแบบของตัวเองที่ต่างกันไป พ่อค้าต่างชาติที่หัดพูดภาษาก็ยิ่งมีสำเนียงที่เพี้ยนในไปจากเจ้าของภาษา แต่ก็ยังพอคุยกันรู้เรื่อง
การสะกดในยุคที่การเขียนส่วนใหญ่ยังเขียนด้วยมือนี้ นิยมสะกดให้ออกเสียงได้ตามการออกเสียงหรือวิธีพูดที่นิยมในแต่ละท้องถิ่น ประมาณว่า ถ้าออกเสียงว่า กินข้าว ก็สะกดว่า กินข้าว แต่ถ้าออกเสียงว่า กินเข่า ก็สะกดว่ากินเข่า คือ การสะกดจะเลียนแบบการออกเสียงจริงๆ ดังนั้นคนแต่ละพื้นที่ซึ่งพูดต่างกัน เสียงต่างกัน ก็มีแนวโน้มจะสะกดต่างกันไปได้
ความรู้สึกที่ว่าต้องสะกดให้ถูกจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ซึ่งเราจะเห็นได้จากหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยคนๆเดียว บางครั้งสะกดคำเดียวกันต่างกันไปในหลายๆที่ก็มี
เมื่อมีแท่นพิมพ์เกิดขึ้นครั้งแรกในยุโรปอุตสาหกรรมการพิมพ์ก็เกิดขึ้นและกระจายไปท่ัวยุโรปอย่างรวดเร็ว
การพิมพ์หนังสือจะต่างไปจากการเขียนที่ผลิตหนังสือได้แค่ทีละหนึ่งเล่ม เมื่อเรียงแม่พิมพ์เสร็จครั้งหนึ่งแล้ว สามารถผลิตหนังสือขึ้นได้มากมาย และส่งให้คนอ่านได้ในพื้นที่กว้างไกล
ดังนั้นก่อนพิมพ์ก็จะมีการตรวจปรู๊ฟก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการพิมพ์ตกหล่น การให้ความสำคัญกับการสะกดให้ "ถูกต้อง" จึงเริ่มต้นขึ้น
ก็ต้องมาคิดกันว่า การสะกดแบบไหนคือการสะกดที่ถูกต้อง เพราะคนแต่ละพื้นที่ก็ออกเสียงต่างกัน การสะกดก็ต่างกันไป การสร้างมาตรฐานการสะกดแบบที่ถูกต้องจึงเกิดขึ้น
มาตรฐานการสะกดที่เลือกใช้ก็มักจะยึดตาม การออกเสียงของชนชั้นปกครอง ไม่ได้สะกดตามที่คนส่วนใหญ่ (ชาวบ้าน) ออกเสียง
ด้วยเหตุนี้ การสะกดจึงมีการสะกดแบบผิดและแบบถูก ทุกคนที่มีการศึกษาควรจะสะกดให้ถูก ผลที่ตามมาคือ การสะกดจึงเหมือนกับถูกแช่แข็งไว้ มีการเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการข้ามเจเนอเรชั่นน้อยลง ในขณะที่ภาษาพูดยังมีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเร็วเช่นเดิม และมีแนวโน้มจะมากขึ้นเพราะคนเดินทางกันมากขึ้น
นอกเหนือไปจากนั้น ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีการยืมคำมาจากภาษา ฝรั่งเศสและอิตาลี ค่อนข้างมาก
การนำคำต่างชาติมาใช้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่มีคำจากฝรั่งเศสและอิตาลีเข้ามาเรื่อยๆ
คำบางคำยืมมาตั้งแต่คนส่วนใหญ่จะอ่านออกเขียนเป็น
คำบางคำเข้ามาหลังจากคนส่วนใหญ่อ่านออกเขียนเป็นแล้ว
ถ้าเป็นคำที่ยืมตอนที่คนส่วนใหญ่ยังเขียนหนังสือกันไม่เป็น ก็จะยืมมาเฉพาะเสียง แล้วมาคิดวิธีสะกดขึ้นเองภายหลัง
แต่ถ้าเป็นคำที่ยืมมาหลังจากคนส่วนใหญ่เขียนกันเป็นแล้ว ก็มักจะนำวิธีการสะกดมาด้วย
ประเด็นทั้งหมดคือ ภาษาอังกฤษในยุคสมัยหนึ่งจึงมีความสับสนในการสะกดและออกเสียงอยู่ประมาณนึง
เมื่อเข้าสู่ยุค Renaissance หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ชาวยุโรปก็สนใจความรู้เก่าๆของกรีกและโรมันเพิ่มมากขึ้น มีการนำหนังสือเก่าๆของกรีกและโรมันมาพิมพ์ใหม่มากขึ้น
1
สำหรับอังกฤษ เริ่มเข้ายุค renaissance หลังเมืองในคาบสมุทรอิตาลีเล็กน้อย คือในช่วงประมาณศตวรรษที่ 16
นักวิชาการ นักคิด ชาวอังกฤษเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของคำศัพท์มากขึ้น สนใจที่มาของการสะกดมากขึ้น แล้วก็เกิดฟิตลุกขึ้นมาปรับปรุงเรื่องการเขียนภาษาอังกฤษให้ "ถูกต้อง" มากขึ้น
มีความพยายามที่จะปรับการสะกดเพื่อให้กลับไปหารูปดั้งเดิมเลย นั่นคือ กลับไปหาภาษาลาติน (ภาษาฝรั่งเศสและอิตาลี วิวัฒนาการมาจากภาษาลาติน คำศัพท์อังกฤษที่รับมาจากฝรั่งเศสและอิตาลีจึงมีรากดั้งเดิมจากลาติน)
ยกตัวอย่าง คำว่า debt ที่แปลว่าหนี้
คำๆนี้ภาษาอังกฤษรับมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสที่สะกดว่า det หรือ dette และออกเสียงว่า “เด็ต” ตรงๆ
คนก็พูดว่า “เด็ต” กันมาเกือบสองร้อยปี
พอเข้าช่วงศตวรรษที่ 16 ก็มีการพยายามกลับไปหารากศัพท์ของคำน้ี และพบว่าคำนี้พ้องกับคำในภาษาลาตินว่า debitum (เดบิตุ้ม)
จึงมีการเปลี่ยนการสะกดโดยเติมตัว b เข้าไปเพื่อให้สะท้อนความเป็นลาตินเดิม แต่การออกเสียงคนก็ยังออกเสียงเหมือนเดิมคือ dett
ว่า doubt (ที่แปลว่าสงสัย) ก็เช่นกัน
คำนี้เริ่มมาจากคำลาตินว่า dubitare ดูบิทาเร่
ต่อมากลายเป็นคำในภาษาฝรั่งเศสว่า doute ซึ่งมีไม่เสียงตัว b ออกเสียงตรงๆว่า เดาท์
เมื่ออังกฤษรับคำนี้ไปใช้ ก็ออกเสียงว่า dout ตรงๆ
แต่ในศตวรรษที่ 16 ก็มีคนมองกลับไปที่รากในภาษาลาตินว่า dubitare แล้วคิดว่า ควรจะมีตัว b ตามรากศัพท์ เลยใส่ตัว b เข้าไป แต่ก็ยังออกเสียงว่า เดาท์ เช่นเดิม
คำว่า subtle ที่แปลว่า เป็นนัยๆ ออกเสียงว่า ซะเทิ้ล ไม่มีเสียง b (ไม่ใช่ ซับเทิ้ล)
คำนี้อังกฤษรับมาจากฝรั่งเศสว่า sotil คือไม่มีเสียง b แต่เมื่ออังกฤษมองกลับไปที่รากลาตินว่า subtilis ก็เติมตัว b เข้าไป แต่ก็ยังออกเสียงแบบเดิมคือ ซะเทิ้ล ที่ไม่มีตัว b
แต่บางครั้งการสะกดก็เกิดมาจากความเข้าใจผิด เช่น คำว่า island ที่แปลว่า เกาะ
คำนี้ในภาษาอังกฤษออกเสียงว่า ไอแลนด์ หรือ อิกแลนด์ (iland หรือ igland) ในศตวรรษที่ 16 เมื่อมีการมองกลับไปหารากที่มาของคำนี้ก็ไปเจอคำว่า insula ในภาษาลาติน
เมื่อภาษาลาตินมี s ก็เลยมีการเติม s เข้าไปใน iland ทำให้เกิดเป็นคำว่า island แต่ยังออกเสียงว่า iland เช่นเดิม
หลังจากสะกดว่า island มาระยะหนึ่งจนชินและการสะกดแบบนี้เป็นมาตรฐานไปแล้ว ก็มารู้กันในภายหลังว่า จริงๆคำว่า iland เป็นคำเก่าแก่ดั้งเดิมของอังกฤษเองที่ไม่ได้รับมาจากฝรั่งเศสหรือลาติน
ดังนั้นการเติม s เข้าไปจึงผิด
แต่เมื่อเติมไปแล้วคนใช้กันไปแล้ว หนังสือพิมพ์แบบนี้ไปแล้ว
การสะกด island ซึ่งผิดจึงกลายเป็นการสะกดที่ถูกไป
2
สำหรับคำว่า knight ที่ออกเสียงว่า nite นั้น ตัวอักษร k และตัวอักษร gh ที่เห็นทำหน้าที่เหมือนเป็นวัตถุโบราณฝังอยู่ในคำว่า Knight
เพราะแม้ว่าทุกวันนี้ เราจะไม่ออกเสียง k และ gh ในคำว่า knight แต่ในยุคโบราณ คำนี้เคยออกเสียง k ที่อยู่ด้านหน้าด้วย ออกเสียงประมาณว่า คะนิชท์
เมื่อเวลาผ่านไปเสียง k หรือ "เคอะ" ที่เคยนำหน้าก็หายไป เช่น เดียวกับ k ที่พบในคำว่า knife, know เป็นต้น
ก็พอจะได้คำตอบกันไปบ้างแล้วนะครับว่าทำไมภาษาอังกฤษจึงมีการสะกดที่ไม่ตรงกับการออกเสียงอยู่มากมาย
คำเหล่านี้แม้ว่ามองมุมหนึ่งมันคือ การสะกดผิด หรือเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต
แต่เห็นด้วยไหมครับว่าความผิดพลาดเหล่านี้มันก็แอบซ่อนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเอาไว้
และเช่นเดียวกับประวัติศาสตร์เรื่องอื่นๆ คือ ถ้าเราไม่พยายามไปบิดเบือนหรือปกปิดความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ความผิดพลาดเหล่านี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้เราได้เรียนรู้มากมาย
(Ads)
ชอบเรื่องราวแบบนี้ อย่าลืมอ่านหนังสือ ทำไมเราเลี้ยง pig แต่กิน pork และ ทำไมแฮมเบอร์เกอร์จึงไม่มีแฮม
สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จากลิงก์
1
อ่านบทความประวัติศาสตร์อื่นๆเพิ่มเติมได้ที่
อ่านบทความวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้ที่
คลิปวีดีโอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เพิ่งเริ่มทำนะครับ ช้านิดแต่จะมีคลิปใหม่ๆตามมาอีกแน่นอน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา