20 ต.ค. 2019 เวลา 03:01 • ประวัติศาสตร์
Modern China History 8
"ปฏิวัติซินไฮ่ กำเนิดสาธารณรัฐจีน"
1
เนื่องจากความเสื่อมถอยลงของบ้านเมืองภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิง ขุนนางและชนชั้นสูงในราชสำนักจึงพยายามปฏิรูประบบการเมืองใหม่ หรือ ที่เรียกว่าการปฏิรูป100วัน แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ในช่วงเวลาเดียวกัน ดร.ซุน ยัดเซ็น เริ่มเคลื่อนไหวก่อตั้งคณะปฏิวัติซิ่งจงฮุ่ยขึ้นเพื่อริเริ่มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ระบอบสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1894 จากนั้น ดร.ซุน ได้ก่อตั้งสมาคมสหมิตรหรือถงเหมิงฮุ่ยขึ้นที่กรุงโตเกียวในปี ค.ศ.1905 โดยมีอุดมการณ์ว่า "กำจัดชนกลุ่มน้อยทางเหนือ(ราชวงศ์ชิง) ฟื้นฟูประเทศจีน ก่อตั้งสาธารณรัฐ แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน" และนำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1911 ที่เรียกการปฏิวัติในปีนั้นว่า "การปฏิวัติซินไฮ่" (ชื่อปี 1911 นี้ตรงกับอักษรซินไฮ่ในแผนภูมิสวรรค์ของปฏิทินจีน)
1
การก่อการปฏิวัติภายใต้การนำของ ดร.ซุน และหวงซิง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ.1911 ที่เมืองกว่างโจว ทางภาคใต้ของจีน แต่ก็ประสบความล้มเหลวในเวลานั้น มีผู้ร่วมก่อการเสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมามีการนำร่างผู้เสียชีวิต 72 คน ไปฝังไว้ที่เนินหวงฮัวเรียกว่า "72 วีรบุรุษเนินหวงฮัว"
ดร.ซุน ยัดเซ็น
ชนวนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในปี 1911 คือการที่ราชสำนักจีนตัดสินใจลงนามกู้ยืมเงินจากชาวต่างชาติในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1911 เพื่อนำมาสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่ที่เชื่อมเมืองสำคัญสามเมืองได้แก่ เมืองหวูฮันทางภาคกลาง เมืองกวางโจวทางใต้ และมณฑลเสฉวนทางตะวันตก นั่นหมายความว่า ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิเหนือเส้นทางรถไฟจีนได้ซึ่งเป็นการคุกคามเอกราชและอธิปไตยของจีน จึงทำให้เกิดข้อพิพาทและนำไปสู่การก่อจลาจลขึ้น ใน 4 มณฑล ได้แก่ หูหนาน หูเป่ย เสฉวนและกวางตุ้ง รัฐบาลจึงนำกองทัพออกปราบปรามในทันที
ขณะเดียวกันที่เมืองอู่ฮั่นในมณฑลหู่เป่ย ก็เกิดกลุ่มปฏิวัติขึ้นอีกกลุ่มโดยผู้นำในกลุ่มเป็นสมาชิกของถงเหมิงฮุ่ย นำกำลังบุกต่อสู้และเข้ายึด 3 อำเภอในอู่ฮั่นได้สำเร็จ หลังจากประสบความสำเร็จในการปฏิวัติที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลต่างๆ ทั่วจีน จึงเริ่มทยอยประกาศตนไม่ขึ้นกับราชวงศ์ชิงอีกต่อไป
การสู้รบที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย
พื้นที่โทนสีส้มและเหลืองคือพื้นที่การลุกขึ้นต่อต้านราชวงศ์ชิง ในขณะนั้น
ราชวงศ์ชิงในสมัยจักรพรรดิปูยีซึ่งยังทรงพระเยาว์ในขณะนั้น จึงแต่งตั้ง หยวน ซือ ไข เป็นผู้แทนพระองค์มีอำนาจสั่งการกองทัพออกปราบปรามกลุ่มปฏิวัติ
หยวน ซือ ไข ได้แต่งตั้งแม่ทัพบุกปราบปรามกลุ่มปฏิวัติทางภาคใต้ แต่ขณะเดียวกันนั้นก็ส่งคนไปแอบเจรจากับคณะปฏิวัติ ว่าตนมีความต้องการจะเป็นประธานาธิบดีถ้าคณะปฏิวัติตกลงยินยอม ตนที่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือก็พร้อมร่วมมือล้มล้างราชวงศ์ชิง ซึ่งฝ่ายปฏิวัติจำต้องยอมรับข้อเสนอนั้นเพราะฝ่ายปฏิวัติเองกำลังทัพยังอ่อนแออยู่เมื่อเทียบกับของฝ่ายหยวน ซือ ไข่ ในขณะนั้นและฝ่าย หยวน ซือ ไข่ เองยังมีชาติมหาอำนาจหนุนหลังอยู่ด้วย
หยวน ซือ ไข
ดร.ซุนได้เดินทางกลับมาประเทศจีนที่เมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.1911 เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐ ในที่ประชุมได้เสนอให้ ดร.ซุน เป็นผู้นำรัฐบาลชั่วคราว เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1912 ที่เมืองนานกิง นับเป็นบุคคลแรกที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1912 หลงยวี่ไทเฮาซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของจักรพรรดิปูยี ได้ประกาศสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการ จากการที่ฝ่ายหยวน ซือ ไข ได้ รวบรวมรายชื่อคณะบุคคลจำนวน 47 คน ยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยสันติ เป็นอันสิ้นสุดยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบกษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดินติดต่อกันมามากกว่า 2000 ปี และจากนั้นในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1912 ดร.ซุน ยัดเซ็น จึงมอบตำแหน่งให้แก่หยวนตามข้อตกลง
3
(บน)จักรพรรดิ์ปูยีขณะทรงพระเยาว์ และ (ล่าง)หลงยวี่ไทเฮา
การปกครองภายใต้การนำของ หยวน ซือ ไข จะเป็นอย่างไรนับจากนี้ จะเกิดอุปสรรคในการพัฒนาประเทศจีนอีกหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ :)
1.ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ (History of Modern China), รศ.มาตยา อิงคนารถ, ภาควิชาประวัติศาสตร์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา