26 ต.ค. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“ประวัติศาสตร์การสอดแนมและจารกรรมข้อมูล (The History of spy and espionage)” ตอนที่ 1
สายลับและการจารกรรม
ซีรีย์ชุดนี้อาจจะแปลกกว่าซีรีย์อื่นๆ ซักหน่อยนะครับ
ซีรีย์ชุดนี้เป็นเรื่องราวของการสอดแนมและจารกรรม เหมาะกับคนที่ชอบเรื่องสายลับ การหักเหลี่ยม ชิงไหวชิงพริบ
ปัจจุบันนี้ หากถามว่าเหนือพื้นโลกขึ้นไปยังอวกาศ ทุกท่านคิดว่าดาวเทียมที่โคจรรอบโลกนั้นเป็นดาวเทียมอะไรครับ?
ส่วนมากก็น่าจะเป็นดาวเทียมสำหรับการคมนาคมต่างๆ หรือไม่ก็ดาวเทียมที่ใช้สำหรับตรวจสอบสภาพอากาศใช่มั้ยครับ?
แต่อันที่จริงแล้ว มีดาวเทียมบางดวงที่มีจุดประสงค์เพื่อการสอดแนมครับ
1
ดาวเทียมเหล่านี้จะมีทั้งกล้องที่มีความละเอียดสูงซึ่งคอยบันทึกภาพฐานทัพทหารและอาวุธของชาติศัตรู
ในทุกวันนี้ การสอดแนมหรือจารกรรมข้อมูลจากศัตรูเป็นอะไรที่ซับซ้อนและมีเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมายเต็มไปหมด
แต่ทราบมั้ยครับว่าที่จริงแล้วการสอดแนมรวมถึงสายลับนั้นมีมาเป็นเวลานานกว่า 2,500 ปีแล้ว
1
“พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)” กษัตริย์แห่งกรีกในสมัยโบราณได้ทรงตั้งเครือข่ายสายลับที่พระองค์จะส่งไปล่วงหน้าทัพ และทำหน้าที่สอดแนมศัตรู โดยสายลับเหล่านี้จะหลบอยู่แถบเนินเขาและคอยสังเกตการณ์ทัพศัตรู
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)
หากว่าสายลับโดนศัตรูจับ พวกเขาก็จะเขียนข้อความโดยใช้ภาษาลับที่ศัตรูอ่านไม่ออกและแอบส่งให้พวกเดียวกัน
ในเวลาต่อมา เมื่อชาติต่างๆ ในยุโรปได้ทำสงครามกัน แต่ละประเทศก็ได้ทำการตั้งเครือข่ายสายลับเพื่อสอดแนมฝ่ายศัตรู โดยสายลับเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนอย่างดี และมีหัวหน้าสายลับคอยควบคุม
ในช่วงศตวรรษที่ 16 หัวหน้าสายลับอังกฤษคนแรกๆ ชื่อ “เซอร์ ฟรานซิส วัลซิงแฮม (Sir Francis Walsingham)” ได้รับหน้าที่ในการปกป้อง “สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 (Elizabeth I of England)” พระประมุขแห่งอังกฤษ
เซอร์ ฟรานซิส วัลซิงแฮม (Sir Francis Walsingham)
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 (Elizabeth I of England)
วัลซิงแฮมได้ทำการตั้งโรงเรียนสอนสายลับ ทำหน้าที่สอนสายลับกว่า 50 คน
การสอนนั้นมีทั้งการสอนการดักฟัง การถอดรหัสจดหมายลับ การปลอมลายมือ รวมทั้งการส่งข้อความล่องหน
ข้อความล่องหนในจดหมายนั้นมักจะเขียนโดยใช้นมหรือน้ำมะนาว และจะอ่านได้โดยการนำจดหมายไปอังกับไฟจากแสงเทียน
1
การสอดแนมของวัลซิงแฮมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปีค.ศ.1586 (พ.ศ.2129) เมื่อเขาสามารถเปิดโปงแผนการลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ได้
1
ที่สำคัญคือ เขายังทราบว่าตัวการสำคัญของแผนการนี้คือ “สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ (Mary, Queen of Scots)”
สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ (Mary, Queen of Scots)
ในเวลานั้น สมเด็จพระราชินีนาถแมรีได้ถูกจองจำข้อหาเข้าร่วมกับศัตรูของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 และวัลซิงแฮมเองก็เกลียดสมเด็จพระราชินีนาถแมรีอีกด้วย ทำให้เขาดีใจมากเมื่อเขาสามารถตรวจพบจดหมายลับที่สมเด็จพระราชินีนาถแมรีตั้งใจจะลอบส่งจากเรือนจำ โดยซ่อนจดหมายนั้นไว้ในถังเบียร์
2
เนื้อความในจดหมายนั้นเป็นเรื่องการวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1
แต่นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังต่างสันนิษฐานว่าวัลซิงแฮมอาจจะเป็นผู้ปลอมจดหมายนี้ขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายสมเด็จพระราชินีนาถแมรี
1
จดหมายของสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่เขียนด้วยรหัสลับ
เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถแมรีทรงเห็นจดหมายนี้ในศาล พระองค์ก็ทรงกริ้วและทรงด่าว่า
“สายลับคือพวกคนที่ไม่น่าเชื่อถือ พวกเขานั้นเสแสร้งและพูดอีกอย่าง”
แต่ไม่ว่าสมเด็จพระราชินีนาถแมรีจะรับสั่งว่าอย่างไร แต่ศาลก็ตัดสินให้ประหารพระองค์ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1587 (พ.ศ.2130)
สมเด็จพระราชินีนาถแมรีขณะถูกนำไปประหาร
เครือข่ายสายลับนั้น นอกจากสายลับที่ถูกฝึกมาอย่างดีแล้วยังมีการจ้างจิตรกรเข้ามาเป็นสายลับอีกด้วย
จิตรกรนั้นสามารถเป็นสายลับที่ดีได้ เนื่องจากพวกเขาต้องเดินทางไปหลายๆ ที่เพื่อวาดภาพใหม่ๆ ทำให้การสอดแนมศัตรูไม่เป็นที่น่าสงสัย
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 “เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)” จิตรกรชื่อดัง ได้ทำการวาดภาพภูมิประเทศรวมทั้งออกแบบอาวุธให้แก่ขุนนางชาวอิตาลีที่กำลังทำการจัดทัพทหาร
ภาพสเกตช์อาวุธที่ดาวินชีออกแบบ
ในเวลาต่อมา ก็ได้มีจิตรกรอีกหลายคนได้ทำการวาดภาพเรือของศัตรู และส่งกลับมายังประเทศตนเพื่อให้ประเทศตนศึกษารูปแบบเรือของศัตรูและหาจุดอ่อน
ต่อมาในศตวรรษที่ 18 การจารกรรมข้อมูลได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสหรัฐอเมริกา
ตั้งแต่ค.ศ.1775-1783 (พ.ศ.2318-2326) กองทัพภาคพื้นทวีปสหรัฐอเมริกาได้ทำการต่อสู้กับกองทัพสหราชอาณาจักรในสงครามประกาศอิสรภาพ
ผู้ที่เป็นผู้บัญชาการทัพอเมริกันรวมถึงยังเป็นหัวหน้าสายลับอเมริกันคือ “จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)”
จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)
วอชิงตันได้วางแผนปล่อยข่าวลวงให้ฝ่ายศัตรูได้รับข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับกำลังทัพและที่ตั้งทัพอเมริกัน ทำให้ทัพอเมริกันได้รับชัยชนะ
อีกเกือบ 100 ปีต่อมา สหรัฐอเมริกาก็กำลังแตกแยกจากสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ในช่วงปีค.ศ.1861-1865 (พ.ศ.2404-2408)
สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา
ในเวลานั้น ได้มีเจ้าของโรงแรมในเวอร์จิเนียชื่อ “เบลล์ บอยด์ (Belle Boyd)” ซึ่งเป็นผู้ที่เกลียดรัฐทางเหนือหรือ “สหภาพ” เนื่องจากกองทัพสหภาพเคยโจมตีบ้านของแม่บอยด์มาก่อน
1
เบลล์ บอยด์ (Belle Boyd)
เมื่อกองทัพสหภาพได้เข้ายึดครองเมืองที่บอยด์อยู่ บอยด์ก็ถือโอกาสนี้ทำงานเป็นสายลับให้แก่กองทัพฝ่ายใต้หรือ “สมาพันธรัฐ”
บอยด์มักจะแต่งตัวอย่างหรูหรา สวยงาม และแทรกซึมเข้าไปในเหล่าทหารสหภาพ และใช้สเน่ห์ของเธอล่อลวงเอาข้อมูลของฝ่ายสหภาพมา อีกทั้งยังแอบฟังข้อมูลการพูดคุยของทหารศัตรูผ่านรูในห้องของโรงแรมอีกด้วย
บอยด์จะนำข้อมูลที่ได้รู้มานั้น นำไปจดไว้ในกระดาษ ก่อนจะนำไปซ่อนในกล่องใส่นาฬิกา จากนั้นก็จะขี่ม้าไปยังค่ายทหารฝ่ายสมาพันธรัฐในยามค่ำคืนเพื่อนำข้อมูลนั้นไปส่งมอบ
ขณะมีอายุได้ 21 ปี บอยด์ก็ได้ถูกจับไปแล้วกว่าเจ็ดครั้ง แต่เธอก็สามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง เธอเคยถึงขนาดโน้มน้าวให้ทหารยามที่เฝ้าตัวเธอแต่งงานกับเธอและยอมปล่อยเธอเป็นอิสระ
1
ภายหลังสงครามสงบ บอยด์ก็ได้ออกบรรยายเล่าเรื่องราววีรกรรมระหว่างสงครามของเธอ และทำให้เธอโด่งดังไปทั่วสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ วิวัฒนาการการสอดแนมจะเป็นอย่างไรต่อ
ติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
โฆษณา