28 ต.ค. 2019 เวลา 02:23 • การศึกษา
บุพกรรรมใดจึงต้องมาเกิดเป็น "พญาครุฑ" และพญาครุฑนั้นมีความเป็นมาอย่างไร?
นกยักษ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ วาสนาและบารมีแห่งแดนฉิมพลี
สวัสดีครับทุกท่าน ทุกคนเคยรู้เกี่ยวกับตำนานและโลกหน้ากันบ้างมั้ยครับ ผมเชื่อเลยว่าหลายๆท่านคงจะตอบเป็นเสียงกันว่ารู้อย่างแน่นอน และเรื่องที่ผมจะมาเล่าและนำเสนอในวันนี้นั้นก็คือเรื่องของนกยักษ์ผู้ทรงพลัง ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ วาสนาและบารมี จากที่หลายๆคนมักจะเคยได้ยินแต่เรื่องของ "พญานาค" กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ประวัติและความเป็นมาของพญาครุฑนั้นกลับแทบไม่ค่อยได้เจอกันเลย ถึงจะเจอก็น้อยกว่าเรื่องของพญานาคกันมากๆ วันนี้ผมจึงถือโอกาสที่จะมานำเสนอเรื่องราวนั้นก็คือเรื่อง "พญาครุฑ" นั่นเองครับ ทำกรรมใดจึงถึงต้องมากำเนิดเป็นพญาครุฑและพญาครุฑมีความเป็นมาอย่างไร เรื่องราวจะเป็นอย่างไรไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
1
ครุฑนะครับ เป็นสัตว์กึ่งเทพในปกรณัมอินเดียและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์ มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคและทะเลาะกันจนเป็นศัตรู นอกจากนี้ ยังมีคัมภีร์ปุราณะที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าพญาครุฑ
4
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ปกติอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ
1
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
1
- ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
- ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
- ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
- ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
- รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
1
"เทพปกรณัม"
1
เทพปกรณัมของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง
ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางรออยู่เป็นเวลา 500 ปี ไข่ก็ยังไม่ฟัก นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู นางรอต่อไปอีก 1000 ปี รอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมาจากไข่เอง อนึ่ง เมื่อพญาครุฑแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ ซึ่งทำให้บรรดาเทวดาทั้งหลายเดือดร้อนอย่างมาก บรรดาเทวดาจึงพากันไปขอร้อง ให้ลดขนาดลงมา
3
ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพที่เกิดคราวกวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ ความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า (บางตำนานว่าให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ) นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี
2
ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาสและได้ทราบเงื่อนไขจากพวกนาคว่า ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์ แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้ป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ ด้านพระวิษณุหรือพระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วยเช่นกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า
3
เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง ครุฑจึงเอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้) แต่นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ
3
ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุหรือสดายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ
"ครุฑในทางพุทธศาสนา"
ครุฑในทางพุทธศาสนาจัดเป็นเทวดาชั้นล่างประเภทหนึ่งภายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ
ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือ โอปปาติกะ (เกิดแบบผุดขึ้น) ชลาพุชะ (เกิดในครรภ์) อัณฑชะ (เกิดในไข่) และสังเสทชะ (เกิดในเถ้าไคล) มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
3
ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา แต่ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ และเนื่องจากเป็นเทวดาที่มีเศษกรรมทำให้อุบัติเป็นกึ่งเดรัจฉาน บางประเภทจับนาคกินเป็นอาหารไปตามสัญชาติญาณความเป็นเดรัจฉานของตนเอง(ไม่ปรากฏบันทึกข้อมูลชั้นต้นจากพระไตรปิฎกหมวดใดวรรคใดปรากฏเป็นหลักฐานอ้างอิงว่า ครุฑรวมถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกากลุ่มใดมีการผูกเวรแปลงกายเป็นนายนิรยบาลลงไปทำหน้าที่ลงทัณฑ์สัตว์นรกในนรก)
2
"การใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์"
1
ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑ จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น
1
จากการที่ไทย ใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ธงมหาราช เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น
1
สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ 3 ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
1
นอกเหนือจากการที่ตราครุฑปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า โดยได้รับพระบรมราชานุญาต ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน
1
ปัจจุบัน ต้องยื่นคำขอพระราชทานตราต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ
1
ประเทศอินโดนีเซียเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ใช้ครุฑ (Garuda) เป็นตราประจำแผ่นดิน โดยครุฑของอินโดนีเซียนั้นเป็นนกอินทรีทั้งตัว สายการบินประจำชาติอินโดนีเซียก็ใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์ คือสายการบิน Garuda Airlines
"ชื่อของครุฑ" ครุฑมีชื่อเรียกหลายนาม เช่น
- กาศยปิ (บุตรแห่งพระกัศยปมุนี)
- เวนไตย (บุตรแห่งนางวินตา)
- สุบรรณ (ผู้มีปีกอันงาม)
- ครุตมาน (เจ้าแห่งนก)
- สิตามัน (ผู้มีหน้าสีขาว)
- รักตปักษ์ (ผู้มีปีกสีแดง)
- เศวตโรหิต (ผู้มีสีขาวและแดง)
- สุวรรณกาย (ผู้มีกายสีทอง)
- คคเนศวร (เจ้าแห่งอากาศ)
- ขเคศวร (ผู้เป็นใหญ่แห่งนก)
- นาคนาศนะ (ศัตรูแห่งนาค)
- สุเรนทรชิต (ผู้ชนะพระอินทร์)
"วัฒนธรรมร่วมสมัย"
มีการอ้างอิงถึงครุฑไว้ในวัฒนธรรมร่วมสมัยเช่น ภาพยนตร์ไทยเรื่อง "ปักษาวายุ" ในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นไซไฟ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับครุฑซึ่งเป็นสัตว์ที่ดำรงชีวิตมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และจับไดโนเสาร์กินจนสูญพันธุ์ และยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ ออกอาละวาดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
หรือในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง เซนต์เซย่า หนึ่งในขุนพลผู้พิพากษาแห่งยมโลกที่ชื่อ "การูด้า ไออาคอส" ก็สวมชุดเซอร์พลีสที่เป็นรูปครุฑด้วยเช่นกัน
"เรื่องเล่าและตำนาน"
ตำนานพญาครุฑ
ในตำนานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้นมีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิดเช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลำตัวเป็นสิงห์แต่มีศีรษะเป็นช้าง กินรี กินนรและสัตว์แปลก ๆ อีกมากมาย ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสองอย่างที่นับว่าเป็นเทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ หนึ่งเป็นพญานาคราชจ้าวแห่งบาดาล และอีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา
นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันตามตำนาน มีเรื่องราวเล่ากันว่าสัตว์กายสิทธิ์ทั้งสองนี้มีบิดาเดี่ยวกันคือมหาฤาษีกัสยปะเทพบิดรแต่คนละแม่โดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวง ส่วนนาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรอง นางทั้งสองนี้ไม่ถูกกันมีเรื่องกันตลอดจนในที่สุดความผิดใจกันนี้ลามไปถึงลูกของตนด้วย จึงเป็นเหตุให้นาคและครุฑม่ถูกกันในเวลาต่อมา
พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในบาดาล ส่วนครุฑก็มีวิมานทิพย์อยู่ที่เชิงเขาไกรลาส กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่าท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ มีกายเป็นรัศมีสีทองมีเดชอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลายอาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์ ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตนนั้น ๆ และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว
2
ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไปเช่นเรืองสามัญ
1
เรื่องของครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์โลดโผนยิ่งกว่าเรื่องราวของพญานาคเสียด้วยซ้ำไป แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้กันเพราะไม่ได้ศึกษาและอาจไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ความเป็นจริงแล้วเรื่องครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก เพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่ง แม้ในทางไทยเราเอง ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก ดูอย่างตราแผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะเป็นครุฑ จึงน่าสนใจว่า ?ครุฑ? นั้นคงมีอานุภาพบางอย่างและน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่งเช่นเดียวกันกับพญานาค ถ้าท่านเชื่อว่าพญานาคมีจริง พญาครุฑก็ย่อมมีจริงเช่นกัน
"พลังอำนาจที่เทียบเท่า พระผู้เป็นเจ้า"
อำนาจของพญาครุฑนั้นท่านว่าลึกลับมากนัก ในตำนานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่แรกเกิดมานั้นพญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสวเป็นที่อัศจรรย์ ส่อให้รู้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีอานุภาพเป็นอเนกอนันต์ มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดารทั้งนี้มีเรื่องกล่าวไว้อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคยลองฤทธิ์กับองค์พระนารายณ์มหาเทพหนึ่งในสามของทางศาสนาพราหมณ์ การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ รบกันไปเท่าใดก็หาแพ้ชนะกันไม่ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกันว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเราและท่าน พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้ และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้เช่นกัน
จึงถือกันในหมู่ครูบาอาจารย์กันต่โบราณว่าพญาครุฑ เป็นเทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าอย่างพระนารายณ์ อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่ารพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้ จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าจริงในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกามาหนึ่งเส้นให้แก่พระอินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าตามตำนานที่กล่าวมาพญาครุฑเป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดา ๆ เลยมีอานภาพมาก ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่รู้จักศาสตร์ของครุฑเป็นอย่างดีจึงนำเอาสัญลักษณ์เกี่ยวกับครุฑ รูปครุฑต่าง ๆ มาทำสมาธิบูชาเพื่อให้เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ ทั้งนี้เพื่อการปกป้องคุ้มครองบ้าง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองบ้าง ดังที่เราจะได้เล่าให้ท่านทราบต่อไป
"สัญลักษณ์ครุฑ สัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน"
โดยสรุปจากตำนานแล้วครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่สัตว์สามัญธรรมดา เพราะพยาครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ เรียกว่าเทพเดรัจฉาน ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่งในเมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ เป็นองค์นารายณ์อวตารจึงมีการใช้ธงรูปครุฑ และมีครุฑเป็นสัญลักษณ์ประจำแผ่นดิน สามารถพบเห็นรูปครุฑได้จากเอกสารต่าง ๆ ของทางราชการ และนับว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารศักดิ์สิทธิ์ หากราชการผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ใดมีความสุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน องค์พระมหากษัตริย์ และหน้าที่ของตน องค์พญาครุฑก็จะส่งพลังปกป้องให้มีความสุข ความเจริญในหน้าที่
นอกจากนี้ยังมีเกร็ดความเชื่อว่าหากที่ใดมีอาถรรพ์แรงท่านให้นำเอาตราครุฑไปติดจะทำให้อาถรรพ์นั้นเสื่อมสลายไปในที่สุด ตราครุฑล้างอาถรรพ์ได้จึงเป็นที่เชื่อถือกันมาตลอดและได้รับความเคารพบูชาว่าเป็นของสูง เสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข ผู้ใดมีสัญลักษณ์ครุฑ รูปครุฑบูชาไว้ย่อมได้อานิสงส์มาก อาทิ มีความเจริญแก่ตัวเองและครอบครัวเป็นต้น ดังนี้แล้วครุฑจึงเป็นของสูงที่เราควรรู้ควรบูชาอย่างหนึ่ง
คนโบราณมีความเชื่อสืบกันมาว่า "ครุฑ" นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง มหาอำนาจ อย่างเด็กผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีลักษณะปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด ภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต สมเด็จเจ้าแตงโม พระสังฆราชพระองค์หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาดี และได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด เรื่องครุฑนี้คนโบราณจึงเชื่อถือกันมาก แม้เครื่องรางที่เกี่ยวกับครุฑก็เป็นเครื่องรางที่มีความหมายมีอานุภาพโดดเด่นหลายประการดงจะได้กล่าวต่อไป
"พญาครุฑเครื่องหมายแห่งสิทธิอำนาจและความเป็นมงคล "
3
ครุฑนั้นเป็นเครื่องหมายของทางราชการอยู่แล้ว เอกสารทางราชการฉบับใด ๆ ก็ล้วนต้องมีเครื่องหมายพญาครุฑประทับอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องสำคัญเป็นตราแผ่นดิน เป็นตราของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เชื่อว่าหากข้าราชการผู้ใดให้ความเคารพนับถือในองค์พญาครุฑ และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง ข้าราชการผู้นั้นจะมีความสุขความเจริญทั้งชีวิตและหน้าที่การงานสืบไป คุณไสย์อันตรายใด ๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้เพราะเครื่องหมายของพญาครุฑนี่สำคัญมากผู้ที่รู้เขาจะไม่ข้ามไม่เหยียบย่ำ ไม่นำไว้ที่ปลายเท้าเลยเพราะเป็นของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ หากเคารพนับถือให้ดีอำนาจพญาครุฑที่มีอยู่ในเอกสารราชการจะคุ้มครองผู้นั้นไม่ให้มีวันอับจน แต่คนสมัยนี้ไม่ใคร่เชื่อถือกันเท่าใดนัก เรื่องพญาครุฑจึงดูล้าสมัยไปเสีย ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่ไหนว่ากันว่าผีแรง ผีเฮี้ยน เอาตราพญาครุฑไปติดไว้ความอาถรรพ์ของสถานที่นั้น ๆ ก็จะหายไปในทันที
"๒๐ ลักษณะนิสัยผู้มีสายเลือดของพญาครุฑ"
(เป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น ทำมาให้อ่านเพื่อความบันเทิง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
1.เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ชอบโอ้อวด ถึงแม้จะเก่งมากก็ตาม
1
2.สายเลือดครุฑมีสองจำพวก อีกพวกเงียบขรึมเก็บตัว อีกพวกหนึ่งมักชอบออกงานต่างๆ ทั้งสองจำพวกนี้บารมีจะแตกต่างกัน อีกคนแก่กล้าในทางสมาธิ ส่วนอีกคนแก่กล้าในทางอำนาจและบริวาร
3.เป็นคนที่เกลียดคนโวยวาย เสียงดัง หรือคนจุกจิกจู้จี้เป็นที่สุด
4.วิบากกรรมของครุฑมักจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถึงแม้จะมีบริวารล้อมรอบกาย แต่ก็รู้สุกเหมือนโดดเดี่ยวอยู่ดี
1
5.มักมีศัตรูค่อนข้างมาก แต่ศัตรูเหล่านั้นมักทำอันตรายอะไรไม่ค่อยได้มากนัก คนที่เป็นศัตรูจะมักจะแพ้ภัยไปเอง
1
6.มีนิสัยรักการท่องเที่ยวอย่างอิสระ เป็นคนชอบปีนดูวิวบนที่สูง
7.สายเลือดครุฑที่เกิดวันเสาร์ ทิฐิมักจะสูงสุด ไม่ยอมใครง่ายๆ แม้แต่พระพุทธเจ้ามายืนตรงหน้าก็ไม่ยอมก้มกราบเพราะถือว่าตัวเองมีฤทธิ์มากมีอำนาจมาก
8.ในชีวิตไม่เคยถูกสัตว์จำพวกงูกัดเพราะเกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑเป็นที่สุด
9.เรื่องความรักของพญาครุฑ เนื่องจากเป็นคนรักอิสระกับชีวิตเรื่องเนื้อคู่อาจจะไม่จริงจัง แต่ถ้าหากมีเนื้อคู่ที่จริงจัง จะออกแนวผู้รับใช้มากกว่าที่จะเป็นสามีภรรยา เนื่องจากบารมีครุฑ มักจะไม่ยอมให้ใครมาข่ม
10.เป็นคนชอบพิสูจน์ ที่ไหนที่ว่าเจ้าที่แรง หรือเฮี้ยน อันตรายเสี่ยง มักอยากรู้อยากลองเพราะจิตครึฑจะไม่ค่อยเกรงกลัวอำนาจโอปาติกะเหล่าอื่นๆเท่าใดนัก
11.ครุฑไม่ใช่สัตว์ที่ชำนาญทางด้านรู้เห็น แต่เก่งในทางบรรดาลอิทฤทธิ์ คนที่เกิดในสายเลือดครุฑ ถ้าฝึกทางด้านสมาธิจะเกิดอำนาจทางจิต มีวาจาสิทธิ์ เก่งในด้านอาคม จะจัดอยู่ในสายครู
12.เป็นคนที่มีลักษณะความเป็นผู้นำสูง เวลาเดินไปที่ไหนๆ บุคคลต่างๆมักจะให้ความเคารพ ยกย่อง
13.เป็นคนที่มีดวงจิตแข็งกล้า เรียกได้ว่าในชีวิตไม่เคยต้องมนต์หรือคุณไสยใดๆเลย
14.เป็นคนที่มีอำนาจในตัว แม้คนแก่กว่าก็ยังนับถือ เพศตรงข้ามมักมองด้วยความเกรงขามมากกว่าที่จะมองด้วยสิเน่หาความรู้สึกประดุจว่ากำลังยืนต่อหน้าบรรดากษัตริย์
15.ครึฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะหรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไปเช้นเรื่องสามัญ
1
16.เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกอารมณ์ทางสีหน้าเท่าใดนัก
17.เป็นคนไม่ชอบอะไรซ้ำซาก จำเจ เวลาโมโหมักจะเก็บอารมณ์ไม่ปะทุออกทันที ครุฑที่บารมีสูงๆ จะไม่ใช้กาย หรือ วาจากระทำ แต่มักจะใช้อำนาจจิตกระทำ ถ้าไม่ชอบใครก็สามารถทำให้ชีวิตคนนั้นตกต่ำ แต่ถ้าชอบใครก็ทำให้ชีวิตคนนั้นดีขึ้นก็ได้
18.ครุฑเป็นสัตว์ที่มีทิฐิสูงไม่ค่อยชอบฟังใคร และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
19.บุญที่ทำให้ครุฑหลุดพ้นจากวิบากกรรมคือการหมั่นฟังธรรมะ การให้ธรรมทาน วิทยาทานความรู้แก่ทุกๆคนและอุปฐากพระอริยะสงฆ์
20.ไม่มีใครที่สามารถขึ้นทรงครุฑได้ นอกจากพระนิยตโพธิสัตว์ ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วเท่านั้น
"บุพกรรมที่มาบังเกิดเป็นพญาครุฑ"
วิบากของกรรมที่ต้องทำให้มาบังเกิดเป็นครุฑคือ ทำบุญกุศลไว้ในระดับหนึ่งแต่เป็นการทำบุญเจือด้วย "โมหะ"
(ความหลง คือความหลงในกามคุณทั้ง๕) ด้วยบุพกรรมอย่างนี้จึงต้องมาบังเกิดเป็นพญาครุฑ อยู่ในสวรรค์ชั้น "จาตุมหาราชิกาภูมิ" (สวรรค์ชั้นที่๑)
พญาครุฑ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอเหตุกสัตว์ คือ เกิดหรือปฏิสนธิไม่ประกอบด้วยเหตุที่ดีคือ อโลภะะ อโทสะ อโมหะเลย ดังนั้นจึงเป็นสัตว์ ประเภทที่เป็นเดรัจฉานภูมิครับ เพราะฉะนั้น พญานาคในสมัยพุทธกาล เมื่อได้ฟังธรรม ก็ไม่สามารถบรรลุได้เพียงแค่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เพราะเป็นสัตว์ประเภทอบายภูมิ ซึ่งเกิดด้วยผลของอกุศลกรรมนั่นเองครับ
ที่สำคัญ เมื่อต่างก็เป็นสัตว์โลกด้วยกันทั้งนั้น จะต่างกันอะไรในเมื่อก็เป็นผุ้มีอวิชชาความไม่รู้เหมือนกัน ดูภายนอกก็ดูแปลก อัศจรรย์เพราะมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันและวิจิตรต่างๆกันไปตามกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่นำเกิดที่แตกต่างกัน แต่เหมือนกันคือ สัตว์ แปลว่า ผู้ข้อง ข้องอยู่ในโลก ข้องอยู่ในกิเลส ข้องอยู่ในสังสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้เลย จึงไม่แต่กต่างกันเลยไม่ว่ามนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เทวดา พญานาค ในเรื่องของความเป็นจริง ก็คือเป็นเพียง จิต และเจตสิก รูป เท่านั้นครับไม่ต่างกันเลย และก็เหมือนกันที่ สะสมความไม่รู้ กิเลสมาทำให้เกิดวนเวียนเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยการเกิดดับสืบต่อกันไม่มีที่สิ้นสุดครับ
ก็จบไปแล้วนะครับเกี่ยวกับเรื่องของ "พญาครุฑ" ก็มีเพียงด้วยประการฉะนี้แล
ขอบคุณข้อมูล : Wikipedia , https://www.dhammahome.com
ภาพประกอบ : Google
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน"
1
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
โฆษณา