29 ต.ค. 2019 เวลา 00:42 • การศึกษา
"ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เทวราชา ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกสวรรค์ชั้น "จาตุมหาราชิกา" (สวรรค์ชั้นที่๑)
1
จอมเทพราชาผู้เป็นใหญ่ แห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ อันหาใครเปรียบได้
1
หลังจากเมื่อวานนั้นผมได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของ "พญาครุฑ" วันนี้ผมก็อยากจะมานำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกันต่อ เกี่ยวกับเรื่องของภพภูมิ และวันนี้ผมก็ได้ไปเจอข้อมูลที่น่าสนใจนั่นก็คือเรื่องท้าวมหาราชทั้ง๔ ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นที่๑ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก และเป็นเรื่องที่น่าสนใจกันเลยทีเดียวสำหรับการที่ได้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ และเรื่องราวที่ผมจะมานำเสนอในวันนี้นั้นจะเป็นอย่างไร ไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
3
ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 หรือ ท้าวมหาราชทั้ง 4 หลายคนอาจจะเคยได้ยิน ท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นใครมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
5
หากจะกล่าวถึงท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ต้องกล่าวถึงสวรรค์ ซึ่งเป็นภูมิหนึ่งในสามแดนโลกธาตุ ซึ่งสามแดนโลกธาตุประกอบด้วย
2
-มนุษย์ภูมิ
1
เป็นภูมิของผู้เกิดเป็นมนุษย์ มีความพร้อมด้วยคุณสมบัติของการเกิดเป็นมนุษย์ก็มาเกิดในมนุษย์โลก
1
-อบายภูมิ
มี นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็นภูมิของผู้ที่มีบาปเป็นกำลังส่งไป ด้วยขณะที่เกิดเป็นมนุษย์ทำบาปกรรม และอกุศลต่างๆ หลังตายจากความเป็นมนุษย์แล้ววิบากก็จะพาไปเกิดยังภูมินี้ เพื่อเสวยความทุกข์ที่เกิดจากผลของบาปที่ได้ทำมาตอนเป็นมนุษย์
1
-สุคติภูมิ มีสองอย่าง คือ
สวรรค์ มี 6 ชั้น ผู้ที่ได้มาเกิดสวรรค์นี้เรียกว่าเทวดา การที่จะได้มาเกิดเป็นเทวดานี้ มีเหตุมาจากตอนที่เป็นมนุษย์ได้ประกอบคุณงามความดี ทำบุญกุศลประเภทต่างๆ เช่นการรักษาศีล การให้ทานเป็นต้น เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว วิบากแห่งบุญกุศลก็ชักพาให้เกิดในสวรรค์ มีความสุขเสวยผลบุญกุศลที่ได้ทำมาตอนเป็นมนุษย์ โดยชั้นต่างๆของสวรรค์ก็จะจำแนกตามกำลังของบุญกุศลที่ทำมา
1
สวรรค์ทั้ง 6 ชั้นประกอบด้วย
ชั้นที่ 1 จาตุมหาราชิกา
ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์
ชั้นที่ 3 ยามา
ชั้นที่ 4 ดุสิตา
ชั้นที่ 5 นิมานรดี
ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตดี
- พรหมโลก 16 ชั้น
ผู้ที่จะได้มาเกิดในพรหมโลกนี้ เกิดจากสมัยที่เป็นมนุษย์ ได้เจริญสมาธิ จนได้ฌาน ในขั้นต่างๆ ขณะที่ตายจากความเป็นมนุษย์จิตยังทรงสมาธิฌานอยู่ วิบากของฌาน ก็ชักพาให้ไปเกิดในพรหมโลกซึ่งมีความละเอียดและความสุขมากกว่าสวรรค์
ท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นอธิปดีหรือผู้เป็นใหญ่ ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หรือสวรรค์ชั้นที่ 1 โดยจะแบ่งเขตปรกครองดังนี้
1.ท้าวธตรฐ
5
รักษาโลกด้านทิศตะวันออก และทำหน้าที่ปกครองคนธรรพ์เป็นหนึ่งในสี่จาตุมหาราช เทพเจ้าแห่งคนธรรพ์ ผู้ปกครองทิศตะวันออก ฤดูร้อน ธาตุไฟ ทรงพิณเป็นสัญลักษณ์
1
2.ท้าววิรุฬหก
รักษาโลกด้านทิศใต้ และทำหน้าที่ปกครองกุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหกหนึ่งในสี่ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นชั้นที่หนึ่งในฉกามาพจรเป็นเทพเจ้าผู้ปกครองทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่ครุฑมีเทพกลุ่มกุมภัณฑ์เป็นบริวาร มีรูปร่างท้องป่องพุ่งใหญ่ ขาสั้น กำยำล่ำสัน ตามความเชื่อบางคติจะพบได้ว่าท้าววิรุฬหกคือผู้ปกครองครุฑและนก ท้าววิรุฬหกปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิการ่วมกับ 1.ท้าวเวสสุวรรณซึ่งปกครองหมู่ยักษ์บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา 2.ท้าวธตรฐซึ่งปกครองหมู่คนธรรพ์บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา 3.ท้าววิรูปักษ์ซึ่งปกครองหมู่นาคบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ในมหาสมัยสูตรและบทภาณยักษ์ว่า โลกบาลแห่งทิศทักษิณทรงพระนามท้าววิรุฬหกมหาราช จอมกุมภัณฑ์ ส่วนในอาฏานาฏิยปริตรว่าเป็นจอมเทวดา ลัทธิข้างจีนฝ่ายมหายานว่า ทรงพระนามเตียงเชียง แปลว่า สง่างาม มือถือร่ม ทางทิเบตว่าถือกระบี่
3.ท้าววิรูปักษ์
รักษาโลกด้านทิศตะวันตก และทำหน้าที่ปกครองพญานาค ท้าววิรูปักษ์ หนึ่งในสี่จาตุมหาราชผู้ปกครองทิศตะวันตก เป็นเทพเจ้าแห่งพญานาคทั้งปวง ในเทวตำนานยุคต้นทรงดำรงตำแหน่งท้าวสักกะ (จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์) นอกจากนี้ยังมีกล่าวถึงในขันธปริตร (โบราณเรียกพระปริตรกันงู) บทสวดเจ็ดตำนาน สวดเพื่อให้สวัสดิภาพจากพวกสัตว์มีพิษทั้งหลาย เพราะท้าวมหาราชพระองค์นี้ทรงมีพญานาคเป็นบริวาร
4.ท้าวกุเวร
รักษาโลกด้านทิศเหนือ และทำหน้าที่ปกครองยักษ์ ท้าวกุเวรมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวเวสวัณ หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเวสวัณ หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์ เป็นหนึ่งในจาตุมหาราช ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ ท้าวเวสวัณคือท้าวกุเวร ในศาสนาฮินดู
คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน
สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่าท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสวัณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ คนจีนเรียกว่า "โต้เหวน" หรือ "โต้บุ๋น" คนญี่ปุ่นเรียกว่า "พสมอน"
2
ท้าวกุเวรนี้สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน
นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสวัณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้วประพาฬ หอกทอง
"ท้าวมหาราชทั้ง 4 มีความสำคัญอย่างไรกับโลกมนุษย์"
อธิบดีของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานี้ นอกจากท่านจะมีหน้าที่ดังกล่าวมาแล้ว ท่านยังมีหน้าที่ดูแลโลกมนุษย์ในเรื่องของการปรกครอง เทวดาต่างๆที่เป็นเทวดารักษาเขตต่างๆของโลกมนุษย์ รวมถึงเจ้าที่ หลายคนอาจจะงงว่าอย่างเมืองแขก เมืองฝรั่งมีเทวดา หรือเจ้าที่ด้วยหรือแท้จริงแล้วทุกที่ต่างๆมีเทวดาและเจ้าที่หมด แต่จะมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับที่ต่างๆ การปรกครองดูแลของท้าวมหาราชท่านก็จะดูแลตามลำดับชั้นกันไปโดยท้าวมหาราชทั้ง 4 ท่านเป็นเป็นใหญ่ที่สุดและมีเทวดาที่ตำแหน่งต่ำลงมาตามลำดับแบ่งหน้าที่กันปรกครองดูแลย่อยลงมา เพื่อดูแลความเรียบร้อยและความสงบสุขโดยรวมของมนุษย์
1
"อำนาจบารมีของท้าวมหาราชทั้ง ๔"
๑. (ท้าวธตรฏฐ์ เป็นท้าวมหาราช เป็นผู้มียศ ผู้เป็นใหญ่แห่งคนธรรพ์ทั้งหลาย
เป็นเทวราชาผู้ปกครองอยู่ด้านทิศตะวันออกแม้เทวดาผู้เปรียบเหมือนบุตรของท่านเป็นอันมาก
มีนามว่าอินทกะเหมือนกันหมด ล้วนแต่มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก มีรัศมี มียศต่างก็มีความยินดี
ได้มายืนอยู่แล้ว)
๒. (ท้าววิรุฬหก เป็นท้าวมหาราช เป็นผู้มียศ ผู้เป็นใหญ่แห่งกุมภัณฑ์ทั้งหลาย
เป็นเทวราชาผู้ปกครองอยู่ด้านทิศใต้ แม้เทวดาผู้เปรียบเหมือนบุตรของท่านเป็นอันมาก
มีนามว่าอินทกะเหมือนกันหมด ล้วนแต่มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก มีรัศมี มียศ
ต่างก็มีความยินดีได้มายืนอยู่แล้ว)
๓. (ท้าววิรูปักษ์ เป็นท้าวมหาราช เป็นผู้มียศ ผู้เป็นใหญ่แห่งนาคทั้งหลาย
เป็นเทวราชาผู้ปกครองอยู่ด้านทิศตะวันตก แม้เทวดาผู้เปรียบเหมือนบุตรของท่านเป็นอันมาก
มีนามว่าอินทกะเหมือนกันหมดล้วนแต่มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก มีรัศมี มียศ
ต่างก็มีความยินดีได้มายืนอยู่แล้ว)
๔. (ท้าวกุเวร (ท้าวเวสสุวัณ) เป็นท้าวมหาราช เป็นผู้มียศ ผู้เป็นใหญ่ แห่งยักษ์ทั้งหลาย
เป็นเทวราชาผู้ปกครองอยู่ด้านทิศเหนือ แม้เทวดาผู้เปรียบเหมือนบุตรของท่านเป็นอันมาก
มีนามว่าอินทกะเหมือนกันหมด ล้วนแต่มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก มีรัศมี มียศ
ต่างก็มีความยินดีได้มายืนอยู่แล้ว)
"ความหมายและอายุขัยของ
เทวดาชั้นจาตุมหามราชิกา"
จาตุมหาราชิกา โดยศัพท์แปลว่า "แห่งมหาราชทั้งสี่" เมื่อแปลแบบเอาความจึงหมายถึง "แดนเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้งสี่" หรือ "อาณาจักรของท้าวมหาราช 4 องค์" กล่าวคือ สวรรค์ชั้นนี้เป็นดินแดนที่จอมเทพ 4 องค์ผู้รักษาคุ้มครองโลกใน 4 ทิศ ซึ่งเรียกว่า ท้าวโลกบาล ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจาตุมหาราช หรือ สี่ปวงผี ปกครองอยู่องค์ละทิศ
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีอายุ 500 ปีทิพย์ (30 วันเป็น 1 เดือน 12 เดือนเป็น 1 ปี) โดย 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์ คำนวณเป็นปีโลกมนุษย์ได้ 9,000,000 ปีโลกมนุษย์ (บางแห่งกล่าวว่าเท่ากับ 90,000 ปีโลกมนุษย์)
1
"เรื่องเล่าบันทึกธรรมพระราชาพรหมยาน
เรื่อง อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล"
เรื่องที่ ๙๘
ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านท้าวมหาราชบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
"..วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ สองวันที่ผ่านมาร่างกายไม่ดี ใช้กำลังสมถภาวนาไม่ได้ ต้องใช้กำลังวิปัสสนาญาณเป็นตัวยืน อารมณ์ของคนเราถ้าเจริญพระกรรมฐานต้องเข้าใจว่า กรรมฐานที่ทรงตัวจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๑๑ อย่าง และกรรมฐานแบบคิดอีก ๒๙ อย่าง เวลาที่ร่างกายมีกำลังดี ไม่ป่วยไข้ไม่สบายมากจิตจะทรงตัว ใช้กรรมฐานทรงตัวได้ แต่ถ้าจิตเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บมันกวนมาก มันเพลียมาก ก็ต้องใช้กรรมฐานคิดใช้วิปัสสนาญาณควบ ไม่ต้องการรู้อะไรทั้งหมด
"ท้าวจตุโลกบาล"
ท้าวจตุโลกบาล มีหน้าที่รักษาคุ้มครองชาวมนุษยโลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกันช่วยเหลือ จะส่งเทวดาไปอารักขา ถ้าสร้างความชั่วก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ก็อดใจไว้ และก็มีหน้าที่บันทึกความดีความชั่วของคนทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ คนที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยได้สร้างบุญกุศลในระดับหนึ่งที่เจือด้วยกิเลสทั้งสามคือ "ราคะ โทสะ โมหะ"ฌานสมาบัติ แต่ถ้าขณะที่ตายเข้าฌานตาย ก็จะไปเกิดเป็นพรหม
1
ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
๑) ท่านท้าวเวสสุวัณ คุมด้านทิศเหนือ
๒) ท่านท้าววิรุฬหก คุมด้านทิศใต้
๓) ท่านท้าวธตรฐ คุมด้านทิศตะวันออก
๔) ท่านท้าววิรูปักข์ คุมด้านทิศตะวันตก
ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ
ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ และเป็นประธานของท้าวมหาราชทั้ง ๔ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักจะทำสัญลักษณ์เป็นรูปยักษ์ จะเห็นได้ตามวัด ตามถํ้าจะมีรูปปั้นยักษ์อยู่ทางด้านหน้าทางเข้า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นท่านท้าวมหาราชเขตจาตุมหาราช ถอยหลังไป ๑ ชาติ ในตอนต้นเลยทีเดียวที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์ ท่านมีนามว่า "กุเวรพราหมณ์" เป็นชื่อเดิม ต่อมาท่านเป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์มหานครทรงพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์" ท่านเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารครองกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งต่อมาทรงออกผนวชบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรง พระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม" ท่านมีพระสหายอีก ๒ องค์คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลครองกรุงสาวัตถีกับท่านพันธุรเสนา รวมเป็น ๔ องค์ เป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ สมัยนั้นไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลาด้วยกัน
1
ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่ามีเรื่องราวกับใคร จึงนิมนต์ให้เข้าประทับในเมือง จะมอบอำนาจให้ครึ่งหนึ่งและสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นมหาอุปราช พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า "ไม่ได้หนีใคร ทรงเบื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องการแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากความตาย และต้องการเอาธรรมนั้นมา สอนคนอื่น"
พระเจ้าพิมพิสารจึงบอกว่า "ถ้าพระองค์ทรงบรรลุเมื่อไร ขอมาโปรดท่านก่อน"
พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ทรงสอนคนมาตามทาง จนกระทั่งถึงกรุงราชคฤห์มหานคร พบพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ก็ทรงเทศน์ พอเทศน์จบปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันพร้อมกับคนจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าประทับในพระเวฬุวันมหาวิหาร
"อานิสงส์ของการถวายทาน"
ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นั้น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าทุกวัน ได้ถวายทานทุกวัน ฟังเทศน์ทุกวัน จึงมีอานิสงส์ดังนี้คือ
การถวายทาน เป็นปัจจัยให้ได้ทิพยสมบัติ
การถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร เป็นเหตุให้ได้วิมานสวยงาม
กำลังความเป็นพระโสดาบันและทรงฌานสมาบัติด้วย เป็นเหตุให้มีกำลัง เมื่อไปเป็นเทวดาก็ทรงอำนาจมาก
เวลาที่ท่านจะตาย ท่านถูกลูกชายคือ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรมาน คือพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกบฏทรยศต่อพ่อ แย่งราชสมบัติแล้วก็ทรมานพ่อ โดยจับขังคุก ต่อมาให้อดข้าว เมื่อท่านยังเดินจงกรมได้ ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านก็มีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดน่ะปวด แต่ท่านก็ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน แม้ฐานะจะต่างกัน แต่สภาพจริงๆ มันเหมือนกันคือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกคน และก็เดินเข้าไปหาความแก่ มีทุกขเวทนา มีการทรมานจากร่างกาย และในที่สุดก็เป็นคนตาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นเศรษฐี คหบดี หรือคนยากจนก็ตาม มีสภาพเหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน
1
พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ท่านเป็นพระโสดาบันขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาตายท่านออกด้วยกำลังของฌาน ๔ จะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่พอจิตแยกออกจากกายแล้ว ท่านมีความรู้สึกด้วยอำนาจกำลังจิตที่เป็นทิพย์ว่า ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารท่านเคยเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชมาก่อน ท่านก็เลยไม่ไปอยู่พรหม มาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่เดิม เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว ท่านก็ฝึกฝนจนเป็นพระอนาคามี และท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้
ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็น กุมภัณฑ์
"กุมภะ" แปลว่า "หม้อ" ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ ตาใหญ่มาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมาบอกอาตมาว่า ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก แคล้วคลาดจากอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเอง ถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติ แต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย
ก่อนที่ท่านจะมาเป็นท้าวมหาราชเขตจาตุมหาราช ถอยหลังไป ๑ ชาติ ในตอนต้นเลยทีเดียวที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์ ท่านมีนามว่า กุเวรพราหมณ์ เป็นชื่อเดิม
ต่อมาท่านเป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์มหานครทรงพระนามว่า “พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์” ท่านเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ครองกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งต่อมาทรงออกผนวชบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรง พระนามว่า “สมเด็จพระสมณโคดม”
ท่านมีพระสหายอีก ๒ องค์คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ครองกรุงสาวัตถี กับท่านพันธุลเสนา รวมเป็น ๔ องค์ เป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ สมัยนั้นไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลาด้วยกัน
ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่ามีเรื่องราวกับใคร จึงนิมนต์ให้เข้าประทับในเมือง จะมอบอำนาจให้ครึ่งหนึ่งและสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นมหาอุปราช พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า
“ไม่ได้หนีใคร ทรงเบื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องการแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากความตาย และต้องการเอาธรรมนั้นมา สอนคนอื่น”
พระเจ้าพิมพิสารจึงบอกว่า ถ้าพระองค์ทรงบรรลุเมื่อไร ขอมาโปรดท่านก่อน พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ทรงสอนคนมาตามทาง จนกระทั่งถึงกรุงราชคฤห์มหานคร พบพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ก็ทรงเทศน์
พอเทศน์จบปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันพร้อมกับคนจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าประทับในพระเวฬุวันมหาวิหาร ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นั้น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าทุกวัน ได้ถวายทานทุกวัน ฟังเทศน์ทุกวัน จึงมีอานิสงส์ ดังนี้ คือ
การถวายทาน เป็นปัจจัยให้ได้ทิพยสมบัติ
การถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร เป็นเหตุให้ได้วิมานสวยงาม
กำลังความเป็นพระโสดาบันและทรงฌานสมาบัติด้วย เป็นเหตุให้มีกำลัง เมื่อไปเป็นเทวดาก็ทรงอำนาจมาก
เวลาที่ท่านจะตาย ท่านถูกลูกชายคือ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรมาน คือพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกบฏทรยศต่อพ่อ แย่งราชสมบัติแล้วก็ทรมานพ่อ โดยจับขังคุก ต่อมาให้อดข้าว เมื่อท่านยังเดินจงกรมได้ ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส
ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านก็มีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดน่ะปวด แต่ท่านก็ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน แม้ฐานะจะต่างกัน แต่สภาพจริงๆ มันเหมือนกันคือ
มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกคน และก็เดินเข้าไปหาความแก่ มีทุกขเวทนา มีการทรมานจากร่างกาย และในที่สุดก็เป็นคนตาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นเศรษฐี คหบดี หรือคนยากจนก็ตาม มีสภาพเหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน
2
พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ท่านเป็นพระโสดาบันขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาตายท่านออกด้วยกำลังของฌาน ๔ จะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่พอจิตแยกออกจากกายแล้ว ท่านมีความรู้สึกด้วยอำนาจกำลังจิตที่เป็นทิพย์ว่า
ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ท่านเคยเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชมาก่อน ท่านก็เลยไม่ไปอยู่พรหม มาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่เดิม เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว ท่านก็ฝึกฝนจนเป็นพระอนาคามี และท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
หลวงพ่อพบท้าวเวสสุวัณเป็นครั้งแรก
........ตามปกติฉันนอน 22.00 น. และตื่น 1.30 น. เป็นปกติ ทำวัตรสวดมนต์แบบย่อ ๆ พอเวลาใกล้ 2 น. ฉันก็เริ่มทำสมาธิ พอถึง 4 น. ฉันก็ดูตำรา 5 น. ฉันก็กลับทำสมาธิใหม่เพื่อรักษาอารมณ์ เวลาออกบิณฑบาตรตามแบบฉบับของพระโบราณ
ปฏิปทาของพระสมัยใหม่ท่านทำกันอย่างไรฉันไม่รู้ ด้วยฉันแก่แล้ว และมานั่งเป็นฤาษีหัวล้านอยู่ในป่าห่างเมืองหลวงตั้ง 300 กม.เศษ จะรู้เรื่องของพระในเมืองหลวงได้อย่างไร
วิธีที่เข้าฌานก่อนแล้วคลายอารมณ์มาสู่อุปจารฌานหรือปฐมฌานแล้วออกบิณฑบาตร แบบนี้ท่านเรียกว่าพระโปรดสัตว์ เพราะท่านที่ใส่บาตรมีผลมาก ได้บุญแรง มีลาภง่าย ยิ่งได้พระอริยเจ้าท่านเข้า ผลสมาบัติ คือ
พิจารณาวิปัสสนาญาณก่อน เมื่อจิตสะอาดดีแล้วเข้าฌานเต็มกำลังแล้วคลายออก ทรงอยู่เพียงอุปจารฌานฌานหรือปฐมฌานอย่างนี้อานิสงส์ยิ่งมาก บุญมาก ลาภสูง ที่ท่านพอตื่นก็ร้องเพลงหรือนึกถึงคนรัก นึกถึง
สถานหรือวิธีหากิน ซักซ้อมความคล่องเพื่อลาภสักการ อย่างนี้ท่านไม่เรียกพระโปรดสัตว์ ท่านเรียกว่าไปให้สัตว์โปรด ด้วยท่านไม่มีอะไรดีที่จะให้บรรดาท่านที่สงเคราะห์เลย นี่ว่ากันตามแบบพระโบราณไม่ทันสมัยนะ สำหรับท่านที่ทันสมัย มีลาภ มียศ มีคนสรรเสริญ มีกามสุขสมบูรณ์
ท่านอาจจะมีความเห็นไปอีกอย่างหนึ่งและทำให้พระทันสมัยขึ้น อาจจะมีผลดีกว่าที่ฉันว่าอย่างนี้ ได้ฟังแล้วอย่าถือเอาไปเป็นแบบแผนนะ ประเดี๋ยวจะหาพระครึ ๆ อย่างฉันพูดไม่ได้ เลยไม่มีโอกาสทำบุญ
พูดเลยเรื่องไปเสียแล้วอีกกระมัง มาเข้าประเด็น คำว่าประเด็นหมายความว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง เคยเข้าในเมืองหลวงเห็นเขาพูดกันฉันก็เลยพูดบ้าง มันเข้าท่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาแบบเก่าดีกว่านะ พูดว่าเรามาเข้าเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า อย่างนี้ฟังง่ายดีนะ ขณะที่หลวงพ่อท่านเชิญ พอท่านหยุดนิ่ง ฉันไม่ประสงค์องค์อื่น อยากรู้จักท้าวเวสสุวัณองค์เดียว
เห็นช่างภาพเขาเขียนรูปท่านเป็นยักษ์ ไม่ใช่ยักยอก เป็นยักษ์มีเขี้ยวยาว มีกระบองยาวคล้ายพลองลูกเสือ ท่าทางน่ากลัว ก็เลยอยากเห็นยักษ์ ตามข่าวที่เล่าลือกัน เขาว่าท่านมีอานุภาพมาก ฉันเลยขอท่านท้าวเวสสุวัณองค์เดียว กรุณามาให้เห็นเวลา 2 น.
ฉันก็เข้าสมาธิ เรื่องของสมาธิ เข้าเพียงหายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็จมเบ้า (เต็มอัตรา) คำว่าจมเบ้าเป็นภาษาเด็กเลี้ยงควาย เกรงว่าจะหายสาบสูญไปเสีย ก็เลยเอามาพูดไว้เพื่อรักษาศัพท์วัฒนธรรมเลี้ยงควาย เมื่อถึงเวลา 2 น. ตรง ฉันก็คลายออกมาสู่อุปจารสมาธิเป็นอารมณ์ที่พอจะเห็นนิมิตได้
1
เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลา 2 นาฬิกาเพียงเป๋งแรก ทั้ง ๆ ที่หลับตา ก็มองเห็นชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวห่มผ้าสไบเฉียงขาว ถือไม้พลองยาวแค่หัว เดินลิ่ว ๆ มาทางทิศเหนือ แกเดินเร็วเหลือเกิน ไม่ถึงนาทีมาถึงที่ฉันอยู่แล้ว ใจฉันบอกเลยว่าท่านผู้นี้คือท่านท้าวเวสสุวัณ
ดูท่านแล้ว ท่านมายืนห่างจาก ฉันสัก 2 วา ท่านไม่มีเขี้ยว หน้าตาท่านสวย ผิวสวย ทรงงามมาก ไม่สวยตื้อต้าอย่างฉัน หัวท่านไม่ล้าน ความจริงตอนที่ฉันเห็นท่านวาระแรกหัวฉันไม่ล้าน แต่มีผมสั้นมากเพราะถูกโกน
1
ดูท่านสักครู่ ท่านยืนเฉยไม่พูดอะไรเลย ชักนึกกลัวตะบองท่าน จึงออกปากเชิญ ท่านกลับบอกว่าขอบใจท่านอาจารย์ อาตมาขอชมบารมีเท่านี้ เชิญท่านกลับได้ ท่านยิ้มแล้วพูดว่า เมื่อท่านอยากเห็นผม ผมมาให้ท่านเห็นแล้ว ท่านกลัวผมทำไม (ท่านแอบรู้ใจเสียนี่ พวกเทวดานี่แย่มาก รู้แม้การนึก)
2
เมื่อเห็นท่านพูดเพราะ ความจริงเสียงท่านเพราะมาก พูดจานิ่มนวลดีมาก ไม่เหมือนเสียงฉัน เสียงฉันไม่ต่างอะไรกับเสียงกะทะแตก เวลาพูดก็ไม่มีสำเนียงเพราะ ก็เรื่องของคนไกลเมืองหลวง มายาไม่ทันสมัย มันก็อย่างนั้นเอง จะดัดแปลงให้ทันสมัยหรือก็แก่จะเข้าเตาเผาเสียแล้ว ขนเอาวาจาโฮกฮากทิ้งไว้ เก็บเอาวาจาเพราะพริ้งมาใช้แทน ดีไม่ดีใครเดินมาพบวาจาโฮกฮากที่วางไว้เอาไปใช้แทน
ถ้าอายุยังน้อยอยู่ อีกนานกว่าจะตายก็จะต้องใช้ไปอีกหลายปี เมื่อไม่มีคนชอบฟังก็จะลำบากอย่างฉัน ต้องเอาป่าเอาดงเป็นเรือนอาศัย และจะต้องตายในป่า ไม่มีเครื่องตั้ง ไม่มีเมรุประดับศพ อย่าทิ้งมันเลยพาตายไปด้วยดีกว่า เมื่อเห็นท่านพูดด้วยก็ชักมีกำลังใจ เลยชวนท่านคุย ท่านก็คุยด้วย เรื่องที่คุยก็ถามท่านว่า เมื่อช่วยหลวงพ่อได้ ช่วยฉันมั่งได้ไหม บอกท่านว่า ฉันมีสมาธิไม่ดี เวลาท่านมาขอให้เห็นง่ายๆ
ท่านบอกว่าได้ ท่านว่าลืมตาหรือหลับตาก็ได้ จะได้เห็นสบาย ๆ
เลยถามต่อไปว่าขอเห็นองค์อื่นและบริวารทั้งหมดด้วย องค์อื่น ๆ ท่านจะยอมไหม
ท่านบอกว่ายอมทุกองค์ เลยบอกว่าอยากเห็นเดี๋ยวนี้ ท่านบอกว่าเขามากันครบแล้ว
พอท่านพูดขาดคำก็เห็นครบทั้ง 4 องค์ ไม่เห็นมีเขี้ยวสักองค์ ท่านสวย ๆ ทุกองค์เมื่อท่านใจดีผีเลยเข้า ถามท่านว่า เทวดาเขามีชฎา ท่านมากันนี้ไม่เห็นมีชฏาสักองค์
1
ท่านบอกว่ามาหาพระจะเอาหมวกสวมมาทำไม ท่านไม่ยักเรียกชฏา เรียกหมวก ถามท่านว่าขอเห็นภาพเต็มยศได้ไหม ท่านพูดว่าเขาไม่เรียกเต็มยศ เขาเรียกว่าเครื่องประดับเต็มอัตรา โดนท่านสอนภาษาไทยเข้าให้ ระยำจริง ๆ ท่านบอกอยากเห็นก็ได้ พอท่านพูดจบต่างก็มีเครื่องประดับแพรวพราวไม่เห็นไปแต่งตัวเปลี่ยนเครื่องเดิมที่ไหนเลย ถามท่านว่าทำไมแต่งตัวเร็วนัก ท่านบอกว่าพอนึกก็เสร็จ
ดูของท่านมันง่ายทุกอย่างทั้ง 4 ท่าน ท่านถามว่าจำได้ไหม บอกว่าจำไม่ได้ ท่านพูดว่ามนุษย์ลืมง่าย
ท่านกับพวกผม 4 องค์นี้เคยอยู่ร่วมกันมา วันหน้าจะเล่าให้ฟัง ท่านว่าอย่างนั้น เวลานี้สว่างมากแล้ว พระกำลังจะออกบิณฑบาตร ท่านเตรียมตัวไว้ออกบิณฑบาตร อยากฉันอะไร
ตอบท่านว่า อยากฉันผักบุ้งต้มน้ำปลาที่เขาหั่นพริกใส่รวมกัน
ท่านบอกว่า พอกลับถึงวัดจะมีคนเอามาให้ ถามว่าเมื่อบิณฑบาตรไม่ได้หรอกหรือ ท่านบอกว่าถือมาลำบาก เมื่อกลับถึงวัดจะมีคนนำมาให้เอง ท่านลากลับ
ฉันก็ไปบิณฑบาต พอกลับมาวัด หลวงปานท่านเรียกเข้าไปหา
ท่านถามว่าเมื่อคืนนี้ คุยกับท่านท้าวมหาราชสนุกไหม เรียนท่านว่าสนุก
ท่านบอกว่าท่านท้าวมหาราชมาฟ้องว่า กลัวท่าน นึกในใจว่าเทวดานี่ปากบอนจริง แล้วก็รับกับท่านว่ากลัว
ท่านบอกว่า ขอผักบุ้งต้มน้ำปลาใส่พริกเขาไว้หรือ เรียนท่านว่าขอรับ
ท่านหัวเราะ แล้วหยิบถ้วยใส่ผักบุ้งต้มที่ถอนทั้งต้น ผักบุ้งอะไรแปลกจริง มันใหญ่ขนาดแขนเกือบจะลงไปได้ ยาวหลายวา ถ้วยที่ใส่เป็นถ้วยดินโบราณ โตเกือบเท่าชามกะละมัง มีน้ำปลาผสมพริก ไม่รู้ว่าพริกอะไรมันเผ็ดน่าดู แตะเข้าไปนิดเดียวน้ำหูน้ำตาไหล
ท่านบอกว่าเก็บเอาไว้ ผักกินไม่หมดตากแดดไว้ เอาไว้ดูเป็นอนุสรณ์
ถ้วยใบนั้นหายเสียเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ทราบว่าใครเอาไป ฉันไปอยู่เสียที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนภาษาบาลี ถ้าอยู่สมัยนี้ลูกหลานคงจะได้ชมของโบราณ
เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่ท่านทั้งหลายสมัยใหม่มั่ง เก่ามั่งหาว่าครึหรือไร้ผลนั้น มันไม่แน่นักหรอกนายเอ๋ย ทำกันจริง ๆ ค้นกันจริง ๆ คงเห็นว่าไม่ไร้ผล แต่เอาผลตามที่ควรเอา อย่าหวังผลเลิศจนเกินพอดี เชิญมาขอหวย เชิญมาขอให้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่ว่าตามภาษาคนเก่า สมัยนี้บรรดาศักดิ์ไม่มีแล้ว ของเก่ายังเหลือแต่ทว่าของใหม่ไม่มี หรือใครจะนึกมีเอาเองก็ไม่ทราบ
1
เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่พูดมาแล้วขอผ่านไป มาพูดถึงท่านขุนด่าน ที่พวกฉันรู้จักก็เพราะเมื่อหลวงพ่อปานท่านจะสร้างวัดที่ไหน ท่านต้องบวงสรวงก่อนเสมอเพื่อขอให้ช่วย เมื่อท่านบวงสรวง พวกฉันสามลิงรวมอยู่ด้วย จึงรู้จักท่านขุนด่าน เพราะท่านขุนด่านท่านรับเชิญมาในพิธีบวงสรวงด้วย ท่านขุนด่านเป็นเทวดาชั้นอำมาตย์ของท่านท้าวเวสสุวัณ
ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้
ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็นกุมภัณฑ์ “กุมภะ” แปลว่า “หม้อ” ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ ตาใหญ่มาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมาบอกอาตมาว่า
ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก แคล้วคลาดจากอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ
1
การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเองถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติแต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย
เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ต่อมาก็ขึ้นเป็น เทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า“อินทกะ” แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่” คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์ พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี ในเมื่อท่านท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้ คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าไปเป็นพรหมบ้าง หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม) จากอินทกะท่านก็เป็นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบันนี้
ท่านท้าวธตรฐ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันออก
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เห็นท่านท้าวมหาราชมานั่งอยู่ องค์หนึ่งมาตัวสูงเท่ายอดตาล จึงหันไปถามว่า “ใคร” ท่านท้าววิรุฬหกตอบว่า “ท่านธตรฐครับ” พอท่านเข้ามาใกล้ก็เลยถามว่า “ทำไมสูงเหมือนเปรตแบบนี้ล่ะ” ท่านตอบว่า “อย่างนี้เขาเรียกสูงแบบเทวดา ไม่ใช่สูงแบบเปรต” ถามท่านท้าวธตรฐว่า “อดีตของท่านเคยเป็นอะไรมาตอนเป็นมนุษย์”
ท่านตอบว่า “อดีตผมเป็นพระราชาเมืองพาราณสีครับ” ก็เลยถามท่านว่า “เวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นเทวดาได้อย่างไร” ท่านตอบว่า “เทวดาหรือพรหมไม่จำเป็นต้องนับถือพระพุทธศาสนาเสมอไป พราหมณ์ก็เป็นเทวดาเป็นพรหมได้” เวลานี้ท่านเป็นพระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ท่านไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว
ท่านท้าววิรูปักษ์ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันตก
ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ วันเดียวกันนั้นอาตมาได้หันไปถาม ท่านวิรูปักษ์ว่า “อดีตท่านเป็นอะไร” ท่านตอบว่า “อดีตผมอยู่ปักษ์ใต้ ประเทศไทยนี่เอง เป็นผู้ชายไทย ฐานะสูงมากสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ฌานสมาบัติแต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ตายแล้วไปเป็นอินทกะเลย เมื่อท่านวิรูปักษ์องค์เก่าขึ้นไปเป็นพรหม ท่านก็ขึ้นเป็นแทน ท่านเก่งมาก
1
เป็นอันว่าก็ได้ทราบประวัติของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วว่าใครเป็นใคร ทำให้ทราบว่าการเป็นเทวดาก็ไม่หนักสำหรับพวกเรา การเป็นพรหมก็ไม่หนัก การไปพระนิพพานก็ไม่หนัก การไปนรกก็ไม่หนัก ชอบทางไหนก็ไปได้ทั้งนั้น.."
"ความรัก และความเป็นอยู่ของเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา"
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาจัดอยู่ในกามภพ คือ ภพยังข้องเกี่ยวกับการเสพกามอยู่ ในสวรรค์ชั้นนี้ มีการเสพกามเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ว่ามีความละเอียดอ่อนกว่า และการบริโภคกามแต่ละชั้นก็แตกต่างกัน การบริโภคกามของสวรรค์ชั้นนี้ ก็คล้ายมนุษย์และมีน้ำเป็นที่สุด
 
ในสวรรค์ชั้นนี้ จะมีการเกิดที่หลากหลาย เพราะมีการเกิดของเหล่าเทวดาได้ถึง 4 แบบ คือ
 
เกิดแบบโอปปาติกะ คือ เกิดแบบไม่ต้องมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด เกิดแล้วก็โตทันที เป็นพวกเทพบุตรเทพธิดา ชั้นสูง
 
เกิดแบบสังเสทชะ คือ เกิดในเหงื่อไคล น้ำหมักหมม การเกิดแบบนี้ มีทั้งครุฑ นาค ยักษ์
 
การอุบัติของชาวสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามี 4 แบบ
การเกิดของเหล่าเทวดาทั้ง 4 แบบ
 
เกิดแบบชลาพุชะ คือ เกิดจากครรภ์มารดา มีการครองเรือนเหมือนมนุษย์ การเสพกามก็คล้ายมนุษย์ โดยมีน้ำเป็นที่สุด แล้วก็มีวิตถารเหมือนมนุษย์ และก็มีเพศที่ 3 พวก เป็นพวกกะเทยเหมือนอย่างมนุษย์
 
เกิดแบบอัณฑชะ คือ เกิดในฟองไข่ แล้วก็เป็นตัว เหมือนพวกครุฑ พวกนาค เป็นต้น การเกิดในกำเนิดต่างๆ นั้น ก็เกิดตามกำลังบุญ ถ้าบุญมากก็เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที หากบุญหย่อนหน่อยก็เกิดแบบสังเสทชะ ถ้าบุญน้อยมาอีกก็เกิดแบบชลาพุชะ ถ้าบุญน้อยที่สุดก็เกิดแบบอัณฑชะ
1
ระบบการปกครองของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นพุทธศาสนิกชน ที่มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย มีหน้าที่ดูแลสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา และดูแลปกครองทวีปทั้ง 4 ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ จะมีการแบ่งสายการปกครอง เป็น 4 สาย ตามเผ่าพันธุ์ของสวรรค์ชั้นนี้ ระบบการปกครองไม่ใช่ประชาธิปไตยเหมือนมนุษย์ แต่เป็นการปกครองระบบปุญญาธิปไตย คือคนมีบุญมาก ปกครองคนมีบุญน้อย ระบบการปกครองของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามีดังนี้
 
ท้าวมหาราชซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนทำหน้าที่ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ท้าวมหาราชทั้ง 4 ดูแลสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
อีกทั้งยังดูแลปกครองทวีปทั้ง 4 ที่มนุษย์อาศัยอยู่ด้วย
 
1. ท้าวธตรฐ ปกครองสวรรค์ด้านทิศตะวันออก มีหน้าที่ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร และกุมภัณฑ์
 
คนธรรพ์ เป็นเทวดาที่เกิดอยู่ตามไม้หอม 10 จำพวก ได้แก่ รากไม้ แก่นไม้ เนื้อไม้ เปลือกไม้ น้ำหอม ตะคละต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ เหง้าใต้ดิน คนธรรพ์มี 3 ประเภท ได้แก่ คนธรรพ์ชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นล่าง
 
- คนธรรพ์ชั้นสูง มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เช่น ปัญจสิกขเทวบุตร มีเทพธิดาประจำอยู่ในวิมาน คนธรรพ์ชั้นกลาง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ มีวิมานอยู่ในต้นไม้ เป็นบริวารของคนธรรพ์ชั้นสูง ส่วนคนธรรพ์ชั้นล่างอยู่บนพื้นมนุษย์ เป็นชาวพื้นบ้าน มีทั้งที่มีครอบครัว และไม่มีครอบครัว สิงอยู่ในต้นไม้จำพวกไม้หอม เช่น นางตะเคียน นางตานี
 
คนธรรพ์มีความถนัดในการดนตรี การละคร ระบำรำฟ้อน ศิลปะ วรรณกรรม กวีนิพนธ์ เมื่อมีเทวสมาคมครั้งใดคนธรรพ์มักทำหน้าที่ ขับกล่อมให้ความสำราญแก่หมู่ทวยเทพทั้งหลาย คนธรรพ์นี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเจือด้วยกามคุณ จึงได้มาเกิดเป็นคนธรรพ์
 
- วิทยาธร เป็นพวกที่ทรงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ตั้งแต่ศิลปศาสตร์ 18 ประการ เป็นพวกที่ศึกษาศาสตร์ ต่างๆ เช่น แพทยศาสตร์ โหราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น พวกนี้เหาะได้ มีเวทมนต์ คาถา อาคมต่างๆ วิทยาธร มีรูปร่างหลากหลาย อยู่แบบเดี่ยวก็มี อยู่เป็นหมู่เป็นกลุ่ม ก็มี มีคู่ครองก็มี ไม่มีคู่ครองก็มี เป็นทั้งฤาษี นักบวช นักพรต คล้ายๆ มนุษย์ธรรมดาก็มี
 
กุมภัณฑ์ที่มีน่าตาไม่น่ากลัว
กุมภัณฑ์ที่ไม่น่ากลัวเหมือนยักษ์ ผมหยิก ผิวดำ ท้องโต พุงโร
 
- กุมภัณฑ์นี้มีรูปร่างแปลก หน้าตาพองๆ ไม่น่ากลัวเหมือนยักษ์ และก็ไม่ใช่ยักษ์ ไม่มีเขี้ยว ผมหยิกๆ ผิวดำ ท้องโต พุงโร และมีอัณฑะเหมือนหม้อ กุมภัณฑ์มีตั้งแต่ ชั้นสูงจนถึงชั้นล่าง มีหน้าที่ลงไปทรมานสัตว์นรกในยมโลก
 
2. ท้าววิรุฬหก ปกครองสวรรค์ด้านทิศใต้ มี หน้าที่ปกครองพวกครุฑ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑ เพราะทำ บุญเจือด้วยมานะทิฏฐิ มีความถือตัวอยู่มาก
 
3. ท้าววิรูปักษ์ ปกครองสวรรค์ด้านทิศตะวันตก มีหน้าที่ปกครองพวกนาค เหตุที่มาเกิดเป็นนาคเพราะ ทำบุญเจือด้วยมานะทิฏฐิ มีความถือตัวอยู่มาก
2
พญานาค เป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เหมือนกัน เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้วย นาคแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูล วิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง ตระกูลเอราปถ พญานาค ตระกูลสีเขียว ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง และตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ
 
พญานาคในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ราชาแห่งงู คือพญานาคมีที่อยู่ตั้งแต่แม่น้ำ ลำคลอง บึงต่างๆ ไปจนถึงสวรรค์ชั้น 1
 
พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์ แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
 
4. ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวรมหาราช ปกครองสวรรค์ด้านทิศเหนือ มีหน้าที่ปกครองพวกยักษ์ เหตุที่มาเกิดเป็นยักษ์เพราะทำบุญเจือด้วยความโกรธ มักหงุดหงิดรำคาญใจเป็นอาจิณ
 
- ยักษ์ คือ ผู้ที่เขาบูชาเซ่นสรวง หรือ ผู้ทำความพยายามให้เขาบูชาเซ่นสรวง ยักษ์มีหลายระดับ ตั้งแต่ยักษ์ชั้นสูง ยักษ์ชั้นกลาง ยักษ์ชั้นล่าง มีความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญ ถ้ายักษ์ชั้นสูง จะมีวิมาน เป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม มีเครื่องประดับ มีรัศมี แต่ผิวจะดำ ดำอมเขียว อมเหลือง ดำแดงก็มี แต่ว่าดำเนียน มีอาหารทิพย์ มีบริวารคอยรับใช้ เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา
 
ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อย ก็จะมีรูปร่างน่าเกลียด ผมหยิก ตัวดำ ตาโปน ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย นิสัยดุร้าย ขนาดของยักษ์ มีตั้งแต่ตัวป้อมๆ ตัวอ้วนล่ำ ตัวใหญ่ ตัวเตี้ยก็มี ขนของยักษ์มีหลายแบบ ไม่มีขนก็มี มีขนก็มี ที่มีขนก็มีหลายแบบ ทั้งขนยาว ขนสั้น ขนเหนียว ผมของยักษ์ก็มีทั้งผมเหยียด ผมยาว ผมกระเซอะกระเซิง หัวล้านไม่มีผมก็มี ตาของยักษ์ มีตั้งแต่ ตาโปน ตาถลึง ตาแดง ตาเหลือก ตาเข ตาบอด
 
ยักษ์น่าตาน่ากลัว มีเขี้ยวยาว ผิวดำ
ยักษ์ในสวรรค์ชั้น 1 มีทั้งชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นล่าง
 
ยักษ์เกิดได้ 3 แบบ คือ เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ และสังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคล ที่อยู่ของยักษ์ก็มีอยู่ตามถ้ำ ตามเขา ในน้ำ ในดิน พื้นมนุษย์ บนอากาศ และมีวิมานอยู่ที่ เขาสิเนรุในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
 
การปกครองของชาวสวรรค์ชั้นนี้ จะแบ่งเขตเหมือนในเมืองมนุษย์ แล้วบางเขตก็จะปรับเปลี่ยนตามพื้นมนุษย์ เพราะมนุษย์จะปรับเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ การแบ่งเขตการปกครองก็เพื่อให้สังคมของตัวเองอยู่เย็นเป็นสุข เพราะอย่างไรก็ยังมีกิเลสอยู่ และเทวดาชั้นนี้มีบุญน้อยกว่าเทวดาชั้นอื่น มีโอกาสจะเบียดเบียนกันง่าย เช่น พวกยักษ์ก็จะปกครองกันตั้งแต่สวรรค์ที่เขาสิเนรุ ไล่เรื่อยไปจนถึงอากาสเทวา รุกขเทวา ภุมมเทวาที่ปนอยู่บนพื้นมนุษย์ ไม่ให้ทะเลาะกัน ไม่ให้เบียดเบียนกันเอง และก็ไม่ให้เบียดเบียนมนุษย์ และดูแลรักษามนุษย์ด้วย และก็ไม่ให้เบียดเบียนข้ามเขตแดนกัน ข้ามเผ่าพันธุ์กัน ระหว่างยักษ์ ครุฑ นาค คนธรรพ์ ให้อยู่กันอย่างเป็นสุข โดยที่ท้าวมหาราชทั้ง 4 จะประชุมปรึกษาหารือกันอยู่บ่อยๆ เพื่อให้การปกครองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งท่านจะมีความรักสามัคคีกัน และยังมีที่ปรึกษา มีอำมาตย์ เสนาบดี ในการช่วยดูแล คล้ายกับเมืองมนุษย์อีกด้วย
 
วิญญาณเร่ร่อนหรือผีตามศาลเจ้า
พวกผีสาง นางไม้ จะมีเทวดาคอยดูแลอีกชั้นหนึ่งเพื่อไม่ให้มาเบียดเบียนมนุษย์
 
การปกครองในพื้นมนุษย์ ถ้าสถานที่ใดที่มีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ปกครอง คือ มีบุญมาก มีรัศมีมาก มีสมบัติอันเป็นทิพย์มาก ถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ตรงนั้นจะเจริญ ถ้าเทวดาศักดิ์ปานกลางความเจริญก็ลดลงมา ถ้าเทวดาที่มีศักดิ์น้อย บุญน้อย ที่ตรงนั้นก็เจริญน้อยลง เขาก็จะปกครองตามลำดับชั้นกันอย่างนั้น และที่สำคัญก็มีหน้าที่ดูแลคุ้มครองรักษามนุษย์ ไม่ให้พวกอมนุษย์ พวกผีสาง พวกนางไม้ พวกยักษ์ มาเบียดเบียนมนุษย์ เพราะพวกนี้บุญน้อย จึงคิดไม่ค่อยเป็น แล้วพื้นที่ใดที่มนุษย์สั่งสมบุญมาก เทวดาเหล่านี้ก็จะลงมาดูแลรักษามาก แล้วยิ่งมนุษย์ทำบุญแล้วอุทิศไปให้ผู้ปกครองเขต เขาจะอนุโมทนาบุญ แล้วก็ยิ่งลงมารักษา ทำให้มนุษย์คนนั้นเจริญรุ่งเรือง เทวดาจะเป็นส่วนเสริมบุญในตัวของคนนั้นเป็นหลัก
1
เรื่องราวที่มานำเสนอไปก็จบไปด้วยประการฉะนี้แล ของคุณที่เข้ามาอ่านครับ🙇
ข้อมูลจาก : จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน หลวพ่อพระราชพรหมยาน , Wikipedia , DMC
ภาพประกอบ : Google/DMC
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน"
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
"ทุกท่านสามารถย้อนอ่านเรื่องราวของภพภูมิได้"
โฆษณา