เมื่อจิตใจมนุษย์ต่างระดับกันดังนี้ เมื่อถึงเวลาตาย ความเป็นไปย่อมแตกต่างกัน
พวก ที่ ๑ ขณะใกล้ตาย ย่อมระลึกนึกถึงเรื่องที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่ตนได้เคยประกอบเอาไว้ได้มาก บุคคลเหล่านี้ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติภูมิ
พวก ที่ ๒ บุคคลพวกนี้ยามใกล้ตาย ถ้าตนเองได้พยายามระลึกนึกถึงบุญกุศลให้มากเข้าไว้ หรือมีผู้อยู่ใกล้คอยช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศลกรรมนั้น บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถพ้นจากอบายภูมิได้เหมือนกัน เว้นแต่ตนเองไม่พยายามนึก อีกทั้งไม่มีผู้ใดคอยช่วยเตือนให้นึก จิตใจจึงมีแต่ความกลุ้มใจ เสียใจ ห่วงใยในทรัพย์สมบัติ ผู้คน หรือเรื่องกังวล อื่น ๆ ตายแล้วย่อมเข้าสู่อบายภูมิ
พวกที่ ๓ พวกนี้มีอกุศลอาจิณกรรม คือบาปที่กระทำสั่งสมอยู่เป็นนิจ มากกว่ากุศล เมื่อใกล้ตาย ลำพังตนเองแล้วไม่มีทางที่จะนึกถึงกุศลกรรมได้ และการที่จะให้คนธรรมดา เช่น ญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิด ก็ไม่สามารถช่วยเตือนสติใหระลึกได้โดยง่าย จะต้องช่วยเหลือกันอย่างแข็งกล้าเป็นพิเศษจริง ๆ จึงพอจะช่วยได้
พวก ที่ ๔ พวกนี้ตายแล้วไม่พ้นจากการไปสู่อบายภูมิได้เลย ยกเว้นจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านผู้มีบุญบารมีแก่กล้าแท้จริง เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้น นอกจากนี้ตนเองยังจะต้องมีกุศลกรรมที่เคยสร้างสมไว้ในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมากด้วย จึงจะพอพ้นจากอบายภูมิได้
ในบุคคลใกล้ตายทั้ง ๔ ประเภทนี้ พวกที่ ๑ ตายแล้วไปสู่สุคติภูมิ พวกที่ ๔ ไปสู่ทุคติภูมิ โดยทันที ไม่ต้องพบพระยายมราชแต่ประการใด
ส่วน พวกที่ ๒ และ ๓ นั้น ถ้าระลึกถึงกุศลกรรมไม่ได้ จะต้องไปสู่นรก แล้วจะมีโอกาสได้พบพระยายมราชเพื่อทำการไต่ถาม และช่วยตนเองให้พ้นจากนรกอีกครั้ง หากได้สติตอบคำถามของพระยายมราชได้ถูกต้อง