31 ต.ค. 2019 เวลา 03:00 • ไลฟ์สไตล์
ผมเลิกสูบบุหรี่มา 18 ปีแล้ว เลิกยากมั้ยเหรอ? มีคำตอบ
kapook.com
สวัสดีครับ กลับมาต่อซีรีส์ "การเดินทางย้อนเวลา" ตอนใหม่กันดีกว่า
การใช้ชีวิตวัยเรียนอาชีวะซึ่งในห้องมีแต่ผู้ชาย ทำให้เราอยู่ในสังคมของเด็กวัยรุ่นชายทั่วๆไป การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเรา
แต่ตอนเรียนผมไม่ได้สูบบุหรี่ หรือกินเหล้ากับเพื่อน เพราะเงินไปโรงเรียนแค่พอกินข้าว ส่วนใหญ่ปั่นจักรยานกลับไปกินที่บ้าน จำได้ว่าเคยลองเหล้าขาวผสมน้ำแดง กับเหล้าต้มพื้นบ้านไปครั้งเดียว
จริงๆผมมาเริ่มหัดสูบบุหรี่หลังเรียนจบ ปวช. เพราะเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ทำงานหลังเรียนจบทันที หาเงินเองได้แล้ว ครั้งแรกก็แอบซื้อร้านไกลบ้าน แอบดูดในห้องน้ำซึ่งอยู่หลังบ้านสุด ใครเดินมาก็ได้ยินเสียงมาก่อน
แต่คนสูบบุหรี่ส่วนใหญ่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ หรือคิดว่ากลิ่นมันเหม็น ผมก็เหมือนกัน นึกว่าแม่จะจับไม่ได้ แต่แปลกที่แม่ไม่ดุด่ามากนัก แต่จำได้ว่า แม่บอกว่าเดี๋ยวก็เป็นมะเร็งเหมือนป๋าหรอกด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ
ตอนเป็นวัยรุ่นผมไม่ค่อยคิดถึงหัวอกแม่ซักเท่าไหร่ เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วก็คิดว่ามันถูกต้อง เพราะผมโตมาเพียงลำพัง (นั่นเป็นความคิดของเด็กผู้ชายที่ไม่มี Hero ประจำบ้าน ก็คือพ่อนั่นเอง ผมเสียพ่อไปตอนอยู่ ป.6)
แต่ลืมไปว่าผมโตมาเพราะแม่ มีจิตใจเข้มแข็งอดทนเหมือนแม่ ผมมาคิดได้ก็เมื่อผ่านการใช้ชีวิตมาพอสมควรแล้ว (รักแม่จัง)
ผมก็สูบมาเรื่อยๆจากแบ่งซื้อเป็นมวนๆ ก็เริ่มซื้อเป็นซอง หนักเข้าก็สูบในบ้าน แต่เฉพาะตอนไม่มีคนอยู่เท่านั้น ส่วนนอกบ้านไม่ต้องพูดถึง
1
จากบุหรี่ ก็เริ่มมีเหล้า และสัปดาห์นึงต้องมีสองสามวัน ที่ตั้งวงกับเพื่อนๆ กัญชาก็หาได้ไม่ยากนักถ้ารู้แหล่งและมีเงิน
มาเริ่มสูบเยอะขึ้นตอนอยู่กรุงเทพ เพราะเงินเดือนมากกว่าอยู่บ้านนอก เริ่มสิงอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ บอกไปโต๊ะไหนคนอยู่แถวนั้นต้องร้องอ๋อแน่นอน ไม่ได้เล่นหนักนะครับ ส่วนใหญ่ไปนั่งดู เพราะเลิกงานมาถ้าไม่ทำ OT ก็ไม่มีอะไรให้ทำ เพื่อนๆก็อยู่โต๊ะสนุ๊กกันหมด
นั่งดูไปเรื่อยๆก็สูบไปเรื่อยๆแบบมวนต่อมวน ถ้ายิ่งได้เล่นเองด้วย รับรองต้องคาบคาปากตลอดเวลา
การสูบบุหรี่ทำให้ฟันผมเป็นคราบเหลือง ตรงโคนฟันยังสังเกตุเห็นได้อยู่ ยิ่งตรงระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่ไว้คีบบุหรี่ จะเหลืองเห็นชัดเลยทีเดียว ริมฝีปากก็จะคล้ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่ปัจจุบันก็จางไปตามกาลเวลา เพราะเลิกมานานแล้ว
ตอนทำงานโรงงานไปสี่ห้าปีก็ลองเลิกแต่ก็ทำไม่ได้ การอยู่คนเดียวเป็นเรื่องที่ต้องหนักแน่นพอสมควร ผมมีโอกาสกลับบ้านปีละครั้งหรือมากสุดก็สองครั้ง ที่เหลืออยู่คนเดียว
1
ตอนแรกอาศัยอยู่กับเพื่อน ต่อมาผมแยกออกมาอยู่คนเดียวตอนเริ่มเรียนรามฯ ต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้ ทำให้ผมมีก้าวแรกที่กรุงเทพฯ เรียนจบ ม.ต้นมาด้วยกัน
ต่อมาทราบว่าเพื่อนคนนี้อยู่ใน C130 ที่บินไปรับคนไทยในเขมร ตอนเกิดวิกฤตอะไรซักอย่าง หลายปีมาแล้ว มีเวลาจะไปสัมภาษณ์มันดูอีกที เค้าเป็นทหารอากาศครับ หวังว่ามันจะไม่หลอกผม
การเลิกบุหรี่สามครั้งแรกผมใช้วิธีหักดิบ คือหยุดไปเลย อีกสองสามวันก็กลับมาสูบใหม่ จนไม่คิดจะเลิกสูบบุหรี่อีกเลย
จนวันนึงผมเจอแรงจูงใจมากพอ และทำให้ผมเริ่มคิดถึงชีวิตวัยเด็กที่ต้องกำพร้าพ่อที่เสียชีวิตจากมะเร็ง ทำให้ผมต้องหาวิธีใหม่ ถ้าใช้วิธีเดิมก็น่าจะได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม ผมลองลดจำนวนมวนต่อวัน
1
ช่วงพีคผมสูบเกือบสามซองต่อวัน แรงสุดสมัยนั้นเรียก 85 ปกติดูดกรองทิพย์ ผมเปลี่ยนมาเป็นสายฝนก่อน แล้วลดจำนวนลงมาเรื่อยๆประมาณหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย ผมสูบเหลือวันละซองได้แล้ว ผมก็ลดลงมาอีกจนเหลือวันละ 3 มวน
การสูบ 3 มวนทั้งวันต้องแบ่งสูบเป็นเวลา จุดแต่ละครั้งผมดูดไม่กี่ทีแล้วดีดปลายทิ้งเก็บไว้ดูดต่อครั้งหน้า ทำให้ 3 มวนพอดูดตลอดหนึ่งวัน การดีดปลายที่จุดทิ้งแล้วมวนเก็บในกระดาษฟอยล์ที่ใช้ห่อบุหรี่ ถ้าเคยทำจะทราบว่ากลิ่นแรงมาก
นอกจากการลดจำนวน ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบด้วย เช่น ตื่นมาไม่ทันได้ล้างหน้าแปรงฟันก็คว้าบุหรี่ไฟแช็คก่อน จัดไปละ 1 อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินมารอรถบัสรับส่งอีก 1-2 แล้วแต่ว่ารอนานมั้ย อยู่บนรถบางทีก็สูบต่ออีกเวลาเจอเพื่อน ก็นั่งคุยไปสูบไปอยู่เบาะหลังหรือยืนโหนที่ประตูหลังรถบัส
ตอนมาเที่ยวกรุงเทพครั้งแรกปี 2534 ยังเห็นคนสูบบุหรี่บนรถเมลอยู่นะถ้าจำไม่ผิด เดี๋ยวไปหาดูอีกทีว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลบังคับใช้ปีไหน ปัจจุบันทราบว่าห้ามถึงในบ้านแล้ว ปี 2535 เกิดวิกฤตการเมือง ผมขึ้นมาหางานทำตอนปี 2536
ถึงโรงงานแล้วกินข้าวเสร็จจัดอีก 1 ถ้าเข้าห้องน้ำด้วยก็อีก 1 ทำงานไปชั่วโมงนึงต้องแว่บไปห้องน้ำ และทุกครั้งที่ไปก็อีก 1 ไม่รวมช่วงเบรค 10 นาทีและพักเที่ยง
พฤติกรรมพวกนี้ต้องเปลี่ยนให้ได้ โดยเฉพาะเวลาหลังทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำ ถ้าเปลี่ยนตรงนี้ได้ แนวโน้มสูงมากที่จะเลิกได้ เสริมด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่ง ล้างหน้าบ่อยๆ หรืออาบน้ำบ่อยๆ ไม่พกบุหรี่ไฟแช็คติดตัว อะไรก็ได้ที่ทำให้โอกาสสูบลดลง ช่วงพักก็อ่านหนังสือ ท่องคำศัพท์ อะไรทำนองนี้
ผมซื้อหนังสือนิยายภาษาอังกฤษมือสองมาเล่มนึง เพื่อใช้ฝึกคำศัพท์ คู่ไปกับ Dictionary เล่มเล็ก แปลคำต่อคำ จนทุกวันนี้ยังอ่านไม่จบ ผมยังเก็บไว้ข้างโต๊ะหัวเตียงทุกวัน มีเวลาจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้
หลังจากเลิกงาน เวลากลับถึงห้องพัก กิจกรรมที่โปรดปรานคืออ่านหนังสือนิยายแปล
ตอนอยู่ประถมผมใช้เวลาวันหยุดทั้งวันในห้องสมุดประชาชนของจังหวัด โชคดีผมอยู่อำเภอเมือง ผมอ่านวรรณกรรมเยาวชนแปลทุกเล่มที่มี เวลาเริ่มต้นเทอมใหม่ ตอนนั้นยังเป็น ปิติ มานะ มานี ผมอ่านรวดเดียวจบ แล้วเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะเปิดเทอมใหม่อีกครั้ง
กลับมาเรื่องพฤติกรรมกันต่อ ส่วนวันหยุดก็ดูหนัง อาบน้ำบ่อยๆ หรืออยู่กับสิ่งของหรือคนที่เป็นกำลังใจให้เรา ไปเที่ยวเดินห้างให้สบายใจ
ผมใช้เวลาประมาณสามเดือนในการเลิกสูบบุหรี่ ครั้งสุดท้ายจำได้ว่าซื้อซองใหม่มาเคาะออกมาหนึ่งตัวแล้วส่งที่เหลือให้เพื่อนพร้อมไฟแช็ค
บอกเพื่อนไปว่ากูสูบมวนนี้มวนสุดท้ายละ ผมสูบมวนนั้นรวดเดียวแล้วดีดก้นกรองทิ้งด้วยท่าที่เท่ห์ที่สุดเท่าที่จะคิดออก มันถูกดีดออกไปไกลทีเดียว
แล้วนั่นก็เป็นมวนสุดท้ายในชีวิตการสูบบุหรี่ตลอดสิบปีของผม
หลังจากนั้นผมไม่สูบอีกเลย จนเพื่อนๆพากันแปลกใจ
จะบอกว่ากำลังใจตัวเองสำคัญ เป้าหมายในชีวิตก็สำคัญ และเราต้องเชื่อก่อนว่าเราทำได้ มันก็ทำได้เอง ช้าเร็วนิดหน่อยจากเป้าหมายผมว่าเป็นเรื่องรอง
เส้นทางแต่ละคนต่างกัน กำลังใจไม่เท่ากัน แต่คำตอบสุดท้ายคือการเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ต่างหากที่เหมือนกันและต้องไม่เลิกหรือยอมแพ้ระหว่างทาง
หากครั้งแรกทำไม่ได้ก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเรื่อยๆ มันไม่ยากเลย
ทุกวันนี้ถ้าได้กลิ่นบุหรี่เมื่อไหร่ นอกจากจะเหม็นแล้ว แป๊บเดียวเสียงผมจะเปลี่ยน แหบพร่าทันทีและเริ่มเจ็บคอไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน เรียกว่าเข้าใกล้ไม่ได้เลยล่ะ
ไม่ได้มาโอ้อวดตนเองหรืออะไรนะครับ แค่มาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆที่อยากเลิก คิดจะเลิก แต่ยังกลัวโน่นนี่อยู่ ขอให้เริ่มก่อนนะครับ ถ้าเราไม่เริ่มออกเดินก้าวแรกมันก็อยู่ที่เดิม
ไม่รู้ว่าเขียนยาว น่าเบื่อไปมั้ย ช่วยติชมสำนวนและการเล่าเรื่องด้วยครับ เขียนไปเรื่อยๆมันเพลินดี ตัดสองตอนก็ไม่อยากทำ
อยากทำหนังสั้น ถ่ายและตัดต่อกับมือถือ เป็นอีกความฝันที่อยากทำ มีเวลาจะเขียนบทสนทนาเรื่องที่น่าสนใจของซีรีส์ "การเดินทางย้อนเวลา" อย่างที่บอกมันคือความฝันในตอนนี้
สวัสดีครับ
โฆษณา