3 พ.ย. 2019 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
“ลอนดอน (London) เมืองหลวงแห่งสหราชอาณาจักร” ตอนที่ 4
ความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของลอนดอน
จำนวนประชากรในลอนดอนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหมดยุคค.ศ.1700 (พ.ศ.2243-2342) ลอนดอนก็ได้กลายเป็นเมืองแรกในยุโรปที่มีประชากรเกินหนึ่งล้านคน
ลอนดอนในเวลานั้นสวยหรูและโอ่อ่า มีร้านค้าต่างๆ มากมาย รวมทั้งบ้านเรือนที่สวยหรูสำหรับคนรวยและถนนใหม่ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ
สถาบันการศึกษาต่างๆ ก็ได้เกิดขึ้นในลอนดอน รวมทั้ง “พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Musuem)” ก็ได้เปิดให้เข้าชมในปีค.ศ.1759 (พ.ศ.2302) และได้มีการแสดงศิลปะและวัตถุทางประวัติศาสตร์มากมาย
ในเวลาเย็นๆ ของฤดูร้อน เหล่าเศรษฐีในลอนดอนมักจะออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ รวมทั้งยังเต้นรำ ดื่มกิน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังมีการจัดงานแสดงตามสถานที่สาธารณะอีกด้วย
ในแต่ละปี ผู้คนจากชนบทจะย้ายเข้ามาลอนดอนเพื่อหางานทำ บางคนก็ทำงานเป็นพนักงานในร้านค้าต่างๆ บางคนก็ทำงานเป็นคนรับใช้
แต่ในขณะที่ลอนดอนเริ่มจะมีประชากรเยอะขึ้นเรื่อยๆ สภาพความเป็นอยู่ของประชากรก็แย่ลงเรื่อยๆ
ผู้คนต่างเครียดกับสภาพความเป็นอยู่ ทำให้คนยากจนส่วนใหญ่คลายเครียดด้วยการ “ดื่มเหล้า” ซึ่งเหล้าที่เป็นที่นิยมก็คือ “ยิน (Gin)” เหล้าราคาถูกที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ผสมกับสมุนไพรต่างๆ
ยิน (Gin)
ค.ศ.1751 (พ.ศ.2294) รัฐบาลได้ออกกฎหมายควบคุมการค้าเหล้ายิน แต่ชีวิตของคนยากจนในลอนดอนก็ยังคงไม่ดีขึ้น มีแต่แย่ลงเรื่อยๆ
ฤดูร้อน ค.ศ.1858 (พ.ศ.2401) แม่น้ำเทมส์ก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว เป็นผลมาจากน้ำเสียที่โรงงานต่างๆ ทิ้งลงมา
ลอนดอนนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยความรวดเร็วนี้เอง ก็ทำให้เมืองนี้สกปรก
ได้มีผู้อพยพมาจากไอร์แลนด์และจากหลายประเทศทั่วยุโรปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย โปแลนด์ ฮอลแลนด์ รวมถึงเยอรมนี
ระหว่างค.ศ.1800-1850 (พ.ศ.2343-2393) ประชากรของลอนดอนก็ได้เติบโตกว่าเท่าตัว และเติบโตขึ้นอีกจนลอนดอนมีประชากรราวหกล้านคน
ลอนดอนจึงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในเวลานั้น
แต่ด้วยความที่ประชากรเยอะ ปัญหาก็เยอะตามมา ขยะเกลื่อนแม่น้ำ เมืองสกปรก โรคระบาดก็ตามมาอีก ผู้คนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
ไม่มีใครรู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จนในปีค.ศ.1859 (พ.ศ.2402) ได้มีวิศวกรชื่อ “โจเซฟ บาซาลเก็ตต์ (Joseph Bazalgette)” ได้ทำการสร้างระบบท่อน้ำทิ้งไว้ใต้ลอนดอน ทำการนำน้ำเสียจากในเมืองไปปล่อยลงทะเล
1
โจเซฟ บาซาลเก็ตต์ (Joseph Bazalgette)
ในเวลานั้น นี่เป็นงานวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนั้น ทำให้ลอนดอนกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมชั้นนำ
ในเวลานั้น ได้มีการสร้างทางรถไฟรวมถึงสถานีรถไฟแห่งใหม่ในลอนดอน
ค.ศ.1863 (พ.ศ.2406) รถไฟใต้ดินสายแรกของโลกก็ได้เริ่มวิ่งยังใต้ดินของเมืองลอนดอน
ในเมื่อตอนนี้ได้มีการสร้างรถไฟใต้ดิน คนลอนดอนสามารถเดินทางไปได้ไกลขึ้น เมืองจึงยิ่งขยายใหญ่กว่าเดิม
คนรวยในลอนดอนได้ย้ายไปยังแถบชนบท โดยคนที่รวยมากๆ ก็จะเก็บห้องแถวหรือห้องพักในย่านคนรวย เช่น ย่านเมย์แฟร์
คนรวยเหล่านี้จะแต่งตัวอย่างดี เสื้อผ้าทำมาจากผ้าอย่างดี และมักจะไปงานเต้นรำ ดูโอเปร่า รวมถึงจัดงานเลี้ยงต่างๆ
แต่ในขณะที่เหล่าคนรวยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี คนยากจนนั้นมีชีวิตที่ตรงกันข้าม
คนยากจนพักอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ อาหารการกินก็ขัดสน
ผู้คนในชุมชนแออัดไม่มีน้ำประปา ต้องไปหอบน้ำมาจากแม่น้ำ และคนยากจนก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแลกอาหารเพียงน้อยนิด
และด้วยความที่ลอนดอนเติบโตขึ้นมาก งานก็มีไม่พอสำหรับคนยากจน
ภายในปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) เด็กในลอนดอนกว่าครึ่งไม่ได้รับการศึกษา ต้องทำงานหนัก ขายแรงงาน
เด็กเหล่านี้บางคนก็ต้องทำความสะอาดปล่องไฟ บางคนก็ต้องมองหาของที่ตกหล่นบนถนนเพื่อนำไปขาย
เด็กอีกจำนวนมากก็ต้องไปเป็นเด็กรับใช้ในบ้านคนรวย
ด้วยความที่ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมีมากขนาดนี้ คนยากจนหลายคนจึงหันไปประกอบอาชญากรรม
กลุ่มนักล้วงกระเป๋าได้ออกล้วงกระเป๋าผู้คนในลอนดอน รวมทั้งยังเกิดการฆาตกรรมอีกมาก
ค.ศ.1888 (พ.ศ.2431) ฆาตกร “Jack the Ripper” ได้ออกไล่ฆ่าหญิงสาวในลอนดอนหลายราย
ในเวลานั้น การประหารจะจัดขึ้นในที่สาธารณะ สร้างความสนใจให้ผู้คนเป็นอย่างมาก
ผู้คนกว่า 30,000 คนต่างมามุงดูการประหารนักโทษอย่างสนใจ พวกเขาทั้งส่งเสียงเชียร์และตะโกนโห่ร้องอย่างสนุกสนาน
ต่อมา เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ลอนดอนก็ยังคงเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่
แต่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ และความเป็นมหาอำนาจของสหราชอาณาจักรก็เริ่มจะลดลง
ซึ่งนั่นก็รวมถึงความเสื่อมถอยของลอนดอนเช่นกัน
ลอนดอนจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าซึ่งจะเป็นตอนจบของซีรีย์นี้นะครับ
และผมบอกให้ทราบไว้ล่วงหน้า สำหรับแฟนๆ Hello Kitty ซีรีย์ที่จะมาต่อจากเรื่องนี้ คือซีรีย์เกี่ยวกับ Hello Kitty
หวังว่าจะถูกใจแฟนๆ Hello Kitty นะครับ
โฆษณา